ตอนที่ 1935 ดูหมิ่น
ศิษย์ก่อนของปรมาจารย์จื่อเฉิงมีอยู่ทั้งหมดสามคน และเนื่องจากทั้งสามคนได้รับอิทธิพลจากปรมาจารย์จื่อเฉิงผู้เป็นอาจารย์มากเกินไป หากยังติดตามปรมาจารย์จื่อเฉิงต่อไปพวกเขาก็จะไม่มีวันก้าวข้ามปรมาจารย์จื่อเฉิงได้ เพราะงั้นปรมาจารย์จื่อเฉิงจึงแยกห่างออกจากศิษย์ทั้งสามเป็นเวลานานแล้ว
ไม่ใช่ว่าเขาไม่รัก แต่ที่ทําเช่นนี้ก็เพราะหวังให้ทั้งสามทีพัฒนาการที่ดีขึ้น
ศิษย์คนที่สามมีชื่อว่าจูเฟิง อีกฝ่ายบรรลุเป็นนักปรุงยาสี่ดาวสําเร็จแล้ว แต่ในด้านของ กษะห้วงจิตปรับแต่งนั้นอยู่เพียงแค่ขั้นที่ห้าเท่านั้น แม้จะสามารถเรียกได้ว่าเป็นปรมาจารย์แต่ก็ยังห่างชั้นกับปรมาจารย์จื่อเฉิงมากนัก
เผิงฮวาเหนียนชําเลืองมองหลิงฮัน ภายในแววตาของเขาปรากฏร่องรอยความไม่พอใจ รุ่นเยาวผู้นี้เป็นเพียงนักปรุงยาสองดาวเท่านั้น แต่จะให้เขานับถืออีกฝ่ายเป็นอาจารย์ลุงงั้นรึ?
ช่างน่าขันยิ่งนัก
เพียงแต่ตอนนี้เบื้องหน้าเขามีปรมาจารย์จื่อเฉิงอยู่ด้วย ซึ่งเขาไม่กล้าคัดค้านคําพูดของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากอีกฝ่ายคือนักปรุงยาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดดินแดนแห่งเซียนฝั่งตะวันออก!
แม้แต่ปรมาจารย์เทียนซิน หรือปรมาจารย์ชิวเย่ก็ต้อยกว่าปรจารย์จื่อเฉิง เนื่องจากทักษะหัวงจิตปรับแต่งของทั้งสองอยู่ในขั้นหก
ด้วยเหตุนี้เผิงฮวาเหนียนจึงทําได้เพียงระงับความรู้สึกไม่พอใจเอาไว้ “คารวะอาจารย์ลุงสี่”
หลิงฮันมองไปยังอีกฝ่ายและยิ้ม “ยินดีที่ได้พบศิษย์หลานเผิง”
เมื่อได้ยินคําว่าศิษย์หลาน จิตใจของเผิงฮวาเหนียนก็เกิดความหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม จนใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นมืดมน
ปรมาจารย์จื่อเฉิงยิ้มไปยังหลิงฮัน “ศิษย์พี่สามของเจ้าในที่สุดก็เลื่อนระดับทักษะหัวงจิตปรับแต่งจากขั้นห้าเป็นขั้นหกสําเร็จแล้ว ฮวาเหนียนจึงได้นําข่าวนี้มาแจ้งแก่ข้า อม… ถ้างั้นเจ้าเป็นตัวแทนของข้าไปร่วมแสดงความยินดีก็แล้วกัน เจ้าเองก็จะได้พบเจอศิษย์พี่ของเจ้าด้วย”
“ขอรับ!” หลิงฮันกล่าวด้วยน้ําเสียงหนักแน่น
เผิงฮวาเหนียนอดไม่ได้ที่จะแย่งขึ้นมา “อาจารย์ลุงสี่ยังเยาว์วัยเกินไป เขาจะรับผิดชอบหน้าที่สําคัญขนาดนั้นไหวงั้นรึ?”
ปรมาจารย์จื่อเฉิงไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันใด ประการแรกเลยคือนี่เป็นการตัดสินใจของเขาและประการที่สองคือหลิงฮันเป็นศิษย์ที่เขาเอ็นดูมากที่สุด เผิงฮวาเหนียนมีศิษย์อะไรมาตั้งคําถามกัน? เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใคร ถึงได้เห็นบุคคลที่อาวุโสกว่าอยู่ในสายตา?
เพียงแต่ตามหลักแล้ว เขาคืออาจารย์ทวดของเผิงฮวาเหนียน เพราะงั้นจึงไม่อาจลงมือทําอะไรที่รุนแรงเกินไปได้ ปรมาจารย์จื่อเฉิงทําเพียงจ้องมองไปยังอีกฝ่ายด้วยแววตาขึงขังน่ายําเกรง
จิตใจของเผิงฮวาเหนียนสั่นสะท้านและเกิดความรู้สึกเย็นยะเยือกอย่างไม่อาจพรรณนา
ปรมาจารยจ์จื่อเฉิงไม่ใช่เพียงราชาของเหล่านักปรุงยาสี่ดาว ที่ไร้เทียมทานที่สุดของดินแดนแห่งเซียนฝั่งตะวันออกเท่านั้น แต่อีกฝ่ายยังเป็นตัวตนระดับข้ามผ่านกําเนิดแท้อีกด้วย เพราะงั้นต่อให้เป็นแค่การจ้องมอง ตัวเขาที่เป็นจอมยุทธระดับบางแยกวิญญาณก็ไม่อาจต้านทานไหว
ร่างของเผิงฮวาเหนียนสั่นสะท้าน และรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคําพูดได้
“เจ้าไปเตรียมตัวให้เรียบร้อยแล้วออกเดินทางได้” ปรมาจารย์จื่อเฉิงกล่าวกับหลิง ยันด้วยรอยยิ้มเขารู้สึกเอ็นดูศิษย์ตัวน้อยผู้นี้เป็นอย่างมาก ครั้งนี้เขาจึงตั้งใจจะให้หลิงขั้นเป็นตัวแทนเดินทางไปแสดงความยินดีกับจูเฟิงแทนเขา เพื่อเป็นการประกาศว่าหลิงฮันเป็นศิษย์ของเขา โดยชอบธรรม และสามารถเป็นตัวแทนที่ใช้อํานาจของเขาได้เต็มที่
หลิงฮันพยักหน้าและกล่าวกับเผิงฮวาเหนียน “จะเริ่มออกเดินทางเมื่อใด?”
“ระยะทางไม่ใช่ใกล้ๆ หากเป็นไปได้ออกเดินทางในวันนี้เลยก็ดี” เผิงฮวาเหนียนกล่าว
ปรมาจารย์จื่อเฉิงเอ่ยแทรก “ในขวดนี้คือกําเนิดลมปราณที่ข้าจะมอบให้ศิษย์พี่สามของเจ้า”เขายื่นขวดเม็ดยาให้ไปให้กับหลิงขั้น
หลิงฮันพยักหน้าและรับขวดเม็ดยามาเก็บเอาไว้
เผิงฮวาเหนียนใบหน้าอิจฉาออกมาอย่างปิดไม่มิด เม็ดยากําเนิดลมปราณคือเม็ดยาสีดาวที่ยอดเยี่ยมที่สุดโดยที่ตัวตนระดับข้ามผ่านต้นกําเนิดแท้สามารถใช้มันเพื่อเสริมแกร่งแก่นกําเนิด พลังได้เม็ดยาชนิดนี้กล่าวได้ว่าหาค่าไม่ได้อย่างแท้จริง
“ข้าจําเป็นต้องเตรียมตัวเล็กน้อย ถ้างั้นออกเดินทางพรุ่งนี้ก็แล้วกัน” หลิงฮันกล่าวกับเผิงฮวาเหนียนโดยที่ไม่รับฟังความเห็นใดๆ จากอีกฝ่าย
เขามีสถานะคืออาจารย์ลุง การตัดสินใจของเขาย่อมเด็ดขาดและไม่จําเป็นต้องขอความคิดเห็นจากอีกฝ่าย
เผิงฮวาเหนียนยิ่งไม่พอใจมากกว่าเดิม เพียงแต่ปรมาจารย์จื่อเฉิงยังอยู่ข้างๆ เขาจึงไม่กล้าเถียงอะไรออกมาและทําได้เพียงคิดในใจว่า หลังจากที่ออกเดินทางแล้ว เขาดูแลอาจารย์ลุงผู้นี้ให้ดีและทําลายความหยิ่งผยองของอีกฝ่ายทิ้งซะ
หลิงฮันมองไปยังดวงตาของเผิงฮวาเหนียน และยิ้มอย่างไม่แยแส
ทั้งสองกล่าวลาปรมาจารย์จื่อเฉิงก่อนจะแยกกันจากไป
หลิงฮันเล่าเรื่องนี้ให้จักรพรรดินีกับซูหนิวฟัง ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนมีความเห็นตรงกันว่าไปแสดงความยินดีกับปรมาจรย์จูเฟิงด้วยกัน
“โชคดีที่เมืองผนึกแปรผันที่เป็นจุดหมายอยู่ไม่ไกลจากหุบเขาสามบุปผา ที่นัดหมายกับอู่เซียนสู่เอาไว้ กําหนดการพบเจอคืออีกราวๆ หนึ่งเดือน ซึ่งน่าจะมีเวลาเพียงพอให้ไปทัน” หลิงฮันครุ่นคิดและพยักหน้ากับตัวเอง
“ท่านพ่อ พวกเราก็จะไปด้วย!” สองพี่น้องสือเหล่ยกล่าว
เนื่องจากทั้งสองคนไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่แก่กว่า ทั้งสองจึงต่อสู้กันเพื่อตัดสินว่าใครจะเป็นพี่ใหญ่ซึ่งในตอนนี้สือเหลยเป็นฝ่ายที่แข็งแกร่งกว่าเล็กน้อย
“ตกลงไปด้วยกันนี่ล่ะ” หลิงอันยิ้ม ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่ได้รับสองพี่สองคู่นี้เป็นศิษย์ แต่รับทั้งสองเป็นบุตรบุญธรรมและทุ่มเทฝึกฝนให้แทน
ถึงแม้อายุของทั้งสองจะอยู่ที่เพียงแค่ราวๆ สิบกว่าปี แต่สองพี่สองก็บรรลุระดับดาราเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หลังจากใช้เวลาเตรียมตัวอยู่หนึ่งวัน พวกเขาก็ทําการออกเดินทางไปยังเมืองผนึกแปรผัน
คราวนี้พวกเขาไม่ได้เดินทางด้วยมังกรอินทรี แต่เดินทางทางน้ําแทน เรือที่พวกเขาเลือกใช้นั้นมีขนาดไม่ใหญ่มาก ตัวเรือมีความยาวเพียงห้าสิบฟุตและกว้างสิบฟุตเท่านั้น เพียงแต่ตัวเรือได้มีรูปแบบอาคมบางอย่างติดตั้งเอาไว้ ความเร็วของมันจึงน่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง
ทันทีที่เรือออกแล่น ท่าทีของเผิงฮวาเหนียนก็เปลี่ยนไปทันที บนเรือมีห้องพักอยู่สามห้อง ซึ่งเขาได้ทําการเลือกห้องที่ใหญ่ที่สุดโดยที่เมินเฉยหลิงฮันไปอย่างสิ้นเชิง
ตัวเรือนั้นสามารถเล่นได้ด้วยตัวเอง โดยที่ไม่จําเป็นต้องมีคนควบคุม
“หลิงฮันให้หนิวเป็นคนทุบตีหมอนั่นเอง” ซูหนิวกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
“เห็นแก่หน้าศิษย์พี่สาม ไม่จําเป็ตต้องเป็นสนใจเขา” หลิงฮันกล่าว แม้แต่ใบหน้าของศิษย์พี่เขาก็ยังไม่เคยเห็นคงไม่ดีเท่าไหร่หากไปทุบตีศิษย์ของอีกฝ่ายเข้า
ฮูหนิวพึมพําและกลอกตาไปมา เห็นได้ชัดว่านางยังคงไม่ล้มเลิกความคิด
เรือแล่นอย่างไม่มีหยุด โดยที่หลังจากเวลาผ่านไปเกือบๆ สามเดือน พวกเขาก็ออกจากอาณาเขตสวรรค์ไม่อันและเข้าสู่อาณาเขตสวรรค์กว่างลง
หลังจากเข้าสู่อาณาเขตสวรรค์กว่างลั่งแล้ว พวกเขาก็ใช้เวลาอีกครึ่งเดือนในจนกระ ทั่งมาถึงเมืองผนึกแปรผัน
เมืองผนึกแปรผันถูกควบคุมโดยราชานิรันดร์ผู้หยุน ที่เป็นราชานิรันดร์ระดับสี่
หลังจากลงจากเรือแล้ว ทุกคนก็มุ่งหน้าเข้าสู่เมืองผนึกแปรผัน
“นักปรุงยาเผิง!” เมื่อเห็นเผิงฮวาเหนียน ทหารยามที่เฝ้าประตูเมืองก็ทําการคารวะทักทายอย่างเคารพ
เผิงฮวาเหนียนเผยสีหน้าภาคภูมิใจและจงใจมองไปยังหลิงฮั่นเพื่อแสดงอํานาจ
“เหอะ จงดูซะนี่ล่ะคือความน่ายําเกรงของนักปรุงยาสามดาว ทีนี้เจ้ารู้รึยังว่าตนเองอวดดีขนาดไหน ที่กล้าให้ข้าเรียกเจ้าว่าอาจารย์ลุง?”
“เจ้าคิดว่าตนเองมีคุณสมบัติพองั้นรึ?”