ตอนที่ 1954 อาณาเขตสวรรค์ไท่อัน
ใครบางคนที่ไม่รู้สถานการณ์ เมื่อมาถึงก็ต่างจ้องมองอย่างงงวย
เกิดอะไรขึ้นกัน? เหตุใดถึงได้มีคนมากมายมาแออัดกันอยู่ที่นี่?
สําหรับจอมยุทธทั่วไป แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่สนใจในศาสตร์ปรุงยา เมื่อไม่เข้าใจสถานการณ์พวกเขาจึงหันหลังเดินจากไปในทันที เพียงแต่กับเหล่านักปรุงยาแล้วนั้น ปฏิกิริยาของพวกเขาแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขาถูกการชี้แนะของหลิงฮันดึงดูด และนั่งลงฟังอย่างสงบเสงี่ยม
นอกจากเสียงของหลิงฮันแล้ว ไม่มีใครเลยที่ส่งเสียงออกมา นักปรุงยาทุกคนจ้องมองหลิงฮันด้วยความเคารพและเลื่อมใส ราวกับกําลังสักการะพระเจ้า
จนกระทั่งเมื่องานเฉลิมฉลองเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ หลิงฮันถึงจะหยุดการชี้แนะและทุกคนก็กลับมาลุกขึ้นยืน นักปรุงยาทุกคนต่างโค้งตัวคํานับหลิงฮัน ซึ่งแม้แต่นักปรุงยาสามดาวก็ไม่มีข้อยกเว้น
ในแง่ของเข้าใจพื้นฐานอย่างลึกซึ้งนั้น ความเข้าใจของหลิงฮันเหนือกว่านักปรุงยาสามดาวแทบจะทั้งหมด เพราะงั้นต่อให้เป็นนักปรุงยาสามดาวก็ยังได้รับผลประโยชน์จากคําชี้แนะของหลิงฮัน และให้ความเคารพต่อหลิงฮันสูงสุด
พวกเขามั่นใจว่าในอนาคตภายภาคหน้า หลิงฮันจะต้องกลายเป็นปรมาจารย์นักปรุงยาที่ยิ่งใหญ่ได้แน่นอน หรือบางทีอาจจะถึงขั้นสร้างประวัติศาสตร์ บรรลุเป็นนักปรุงยาห้าดาวคนใหม่ ในรอบแสนล้านปีของดินแดนแห่งเซียนฝั่งตะวันตกเลยด้วยซ้ำ
เพียงแต่คิดร่างกายของพวกเขาก็รู้สึกสั่นเทิ้มแล้ว บางที่เหตุการณ์ในวันนี้ อาจจะถูกจารึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ตลอดกาลในฐานะจุดเริ่มต้นอันเฉิดฉายของหลิงฮันในดินแดนแห่งเซียน
หลิวซิงแน่นิ่งพูดอะไรไม่ออก
เขาตั้งใจจะสร้างความอัปยศให้กับหลิงฮันแท้ๆ แต่เหตุใดถึงได้กลายเป็นทําให้ชื่อเสียงของหลิงฮัน กลายเป็นที่รู้จักแทนกัน? เขารู้สึกเจ็บปวดจนปากกระตุกไปมา
“ตุบ” เพียงแต่ทันใดนั้นเอง เขาก็รู้สึกหนักอึ้งที่ไหล่ และมองเห็นมือข้างหนึ่งตบมายังหัวไหล่ของเขา
“จงหมั่นเพียรมุ่งมั่นในศาสตร์ปรุงยาให้มากกว่านี้ และขัดเกลาจิตใจตนเองเสียใหม่ แล้วอนาคตของเจ้าจะสุกสกาวกว่านี้” หลิงฮันกล่าวชี้แนะ
เขาไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นอะไรกับเรื่องเล็กน้อย หลิวซิงยังเยาว์วัยมากแท้ๆ แต่ก็กําลังเริ่มฝึกฝนเป็นนักปรุงยาสามดาวแล้ว ความสําเร็จเช่นนี้ควรแค่แก่การชื่นชมเป็นอย่างมาก เพราะงั้นเขาจึงเลือกที่จะโน้มน้าวอีกฝ่ายเข้าสู่เส้นทางที่ถูกต้อง
หลิวซิงใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดง และไม่แม้แต่มองไปยังหลิงฮันตรงๆ
หลิงฮันตบไหล่หลิวซิงอีกครั้ง ก่อนจะเดินไปโดยไม่สนใจอะไรอีก
“ปรมาจารย์หลิง!”
“ปรมาจารย์หลิง!”
เมื่อหลิงฮันเดินผ่าน เหล่านักปรุงยารอบด้านต่างคํานับทักทายด้วยรอยยิ้มจริงใจ
ถึงแม้หลิงฮันจะยังห่างไกลจากการเป็นปรมาจารย์ที่แท้จริง แต่การที่หลิงฮันแบ่งปันความรู้ในศาสตร์ปรุงยาอย่างไม่เห็นแก่ตัวนั้น ทําให้ทุกคนรู้สึกเลื่อมใสเป็นอย่างมาก
ศิษย์พี่ทั้งสองของจูเฟิงเองก็มาร่วมงานฉลองเช่นกัน ทั้งสองลากตัวหลิงฮันไปพูดคุยด้วยโดยที่หัวข้อหลักคือการไถ่ถามถึงสถานการณ์ของปรมาจารย์จ่อเฉิงในปัจจุบัน
ศิษย์พี่ทั้งสามของหลิงฮันนั้น ยิ่งอาวุโสกว่า ความสําเร็จในศาสตร์ปรุงยาก็ยิ่งต่ำ อย่างศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่สอง ถึงแม้พวกเขาจะเป็นนักปรุงยาสี่ดาว แต่ความสําเร็จในห้วงจิตปรับแต่งกลับอยู่ที่ขั้นห้าเท่านั้น ในขณะที่จูเฟิงบรรลุนไปที่ขั้นหกแล้ว ศิษย์พี่ใหญ่จางหนิงนั้นคงไม่สามารถบรรลุทักษะห้วงจิตปรับแต่งขั้นหกได้ในชีวิตนี้ ในขณะที่ศิษย์พี่สองเซียวลี่สิ่งยังพอมีโอกาสอยู่
หลิงฮันและศิษย์พี่ทั้งสองพูดคุยกันอยู่เป็นเวลานาน จางหนิงและเซียวลี่สิ่งเชิญชวนหลิงฮันไปเป็นแขก ซึ่งหลิงฮันก็ตอบตกลงไปว่า หากมีเวลาเมื่อไหร่ก็จะไปพบ เนื่องจากเขาในตอนนี้มีเรื่องให้ทําเยอะมาก
งานเฉลิมฉลองดําเนินไปเป็นเวลาห้าวัน หลังจากงานสิ้นสุด หลิงฮันก็รีบออกเดินทางไปยังหุบเขาสามบุปผาทันที
หากพูดในชัดๆแล้ว หุบเขาสามบุปผานั้นตั้งอยู่ในพื้นที่ของอาณาเขตสวรรค์ไม่อัน แต่เนื่องจากหุบเขาสามบุปผาตั้งอยู่ที่ขอบมุมของอาณาเขตสวรรค์ไม่อันพอดี จึงมีเรื่องข้อพิพาทการแบ่งพื้นที่เกิดขึ้น
กลุ่มของหลิงฮันออกเดินทาง โดยที่ธิดาโวยังคงยืนกรานจะติดตามไปด้วย ซึ่งนางได้ถูกฮูหนิวจ้องมองอย่างโหดเหี้ยมอยู่เป็นระยะ หากไม่ใช่เพราะจักรพรรดินีห้ามเอาไว้ละก็ ฮูหนิวคงจะทุบตีใบหน้าของธิดาโร่วจนปูดบวมเป็นหัวหมู และโยนกระเด็นไปนานแล้ว
กลุ่มของพวกเขาข้ามผ่านภูเขาและแม่น้ำมากมาย จนเวลาล่วงเลยไปสามเดือน ถึงจะพ้นจากอาณาเขตสวรรค์กว่างล๋ง และกลับมายังอาณาเขตสวรรค์ไม่อัน หลังจากมุ่งขึ้นเหนือไปอีกหนึ่งเดือน พวกเขาก็มาถึงหุบเขาสามบุปผาในที่สุด
ที่นี่คือหุบเขาจริงๆ รึ?
หลิงฮันมองไปยังหมู่เมฆเบื้องหน้า หุบเขาแห่งนี้มีพื้นที่กว้างขวางราวกับมหาสมุทรไร้พรมแดน โดยเมฆที่ลอยอยู่บนท้องฟ้านั้นราวกับว่าเป็นคลื่นสมุทร
“ตูม” ทันใดนั้นเอง สายลมก็ได้พัดกรรโชกในระยะที่ห่างออกไป ก่อให้เกิดเป็นภูมิทัศน์ที่พิเศษ
ใบหน้าของพวกหลิงฮันเปลี่ยนไปทันที
คลื่นลมกรรโชกที่เกิดขึ้นนี้น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก ตราประทับแห่งเต๋ภายในคลื่นสายลมสั่นสะท้านไปมา ไม่ว่าจะเป็นตราประทับใด ก็ล้วนแต่มีอํานาจน่ายําเกรง ที่สามารถบดขยี้สวรรค์เก้าชั้นฟ้าได้อย่างง่ายดาย
“ตราประทับราชานิรันดร์!” พวกหลิงฮันทุกคนอุทาน
ไม่น่าแปลกใจที่ทําไมราชานิรันดร์หย่งชาง ถึงกล่าวว่าวาสนาในครั้งนี้ แม้แต่ราชานิรันดร์ก็ไม่อาจแทรกแซง เพียงแค่คลื่นสายลมส่งๆ ทั่วไป ก็มีอํานาจอยู่ในระดับราชานิรันดร์แล้ว
พวกหลิงฮันพยายามจะลองเข้าสู่หุบเขา แต่ตลอดเวลาจะมีตราประทับแห่งเต๋ส่องประกายอยู่ตลอด พวกเขาก็ไม่กล้าผืนเข้าไป
ดูเหมือนว่าในตอนนี้จะไม่มีใครสามารถเข้าไปยังหุบเขาแห่งนี้ได้
จากที่ได้ยินมา การจะเข้าไปยังหุบเขาก็ต้องเข้าผ่านเส้นทางเฉพาะที่มีอยู่เท่านั้น ไม่อาจเข้าไปด้านในจากทางไหนก็ได้ เนื่องจากสถานที่แห่งนี้มีอํานาจแห่งกฎเกณฑ์แรงโน้มถ่วงที่น่าสะพรึงกลัวครอบคลุมอยู่ และด้านล่างหุบเขาก็ยังเต็มไปด้วยแท่งหินแหลมคมราวกับหอกที่พัวพันไปด้วย ตราประทับแห่งเต๋ หากถูกพวกมันแทงล่ะก็ ต่อให้เป็นกายหยาบของหลิงฮันก็ไม่อาจต้านทานไหว
ด้วยเหตุนี้หากเข้าจะสู่หุบเขาจึงจําเป็นต้องเข้าผ่านทางเข้าที่ถูกต้อง
พวกหลิงฮันทั้งสี่คนเดินอยู่เป็นเวลาสี่วัน ในที่สุดก็พบทางเข้า ณ เวลานี้มีคนมากมายมาถึงก่อนหน้าพวกเขาแล้ว ซึ่งก็มีทั้งคนที่หลิงฮันรู้จักและไม่รู้จัก
“น้องชายหลิง!” เมื่อเห็นหลิงฮัน เอี๋ยนเซียนลู่และหลิวเจี๋ยก็เดินเข้ามา ทันทีที่เห็นว่าพวกเขาทักทายหลิงฮันพร้อมกัน ทั้งสองฝ่ายก็หันมองหน้ากัน
สถานการณ์แบบนี้มันคืออะไร?
ทําไมอีกฝ่ายถึงได้กล่าวทักทายหลิงฮันกัน?
หลิงอันยิ้ม “พี่ชายเอี๋ยน พี่ชายหลิว”
“อะไรกันน้องชายหลิง เจ้ารู้กันเขารึ?” เอี๋ยนเซียนลู่และหลิวเจี๋ยเอ่ยถามพร้อมกัน
หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้มีโอกาสรู้จักพี่ชายหลิว ในตอนที่ไปเมืองผนึกแปรผัน
“นี่เจ้าเป็นคนของอาณาเขตสวรรค์ไม่อันจริงๆ งั้นรึ?” ในขณะที่กล่าว หลิวเจี๋ยก็นึกถึงเหตุการณ์ที่หลิงฮันเอาแต่ปฏิเสธเขา โดยกล่าวอ้างว่าตนเองเป็นคนของอาณาเขตสวรรค์ไม่อันขึ้นมา ในตอนนั้นไม่มีใครเลยที่เชื่อหลิงฮัน เพราะแม้แต่เขาก็คิดว่าหลิงฮันจงใจกล่าวเช่นนั้นเพื่อปฏิเสธคําเชิญของเขาทางอ้อม