ตอนที่ 10 ปรารถนาในความงามของฉัน
มู่เถาเยาสะกดจิตตัวเองเป็นร้อยเป็นพันครั้งในใจว่าต้องมีความอดทนกับหนูขาวตัวน้อยให้มาก
นายน้อยมองตรงไปที่ดวงตาลูกกวางของมู่เถาเยาแล้วถามว่า “เธอคิดยังไงเกี่ยวกับผลของยาหลอก”
พ่อบ้านวัยกลางคนกลัวว่าเขาจะทำให้หมอเทวดาน้อยโกรธจนสะบัดก้นเดินจากไป จึงอดไม่ได้เรียกขึ้นเสียงเบาว่า “นายน้อย!”
นายน้อยไม่แม้แต่จะชำเลืองมองพ่อบ้าน เขาแค่จ้องไปที่มู่เถาเยาอย่างตั้งใจ ราวกับว่าต้องการดูว่ามีสีหน้าอื่นใดบนใบหน้าของเธออีกหรือไม่
มู่เถาเยาเข้าใจความนัยของคำถามจากหนูขาวตัวน้อยทันที
คงเพราะหาหมอมานับไม่ถ้วนแล้วและทุกครั้งการรักษาก็จบลงด้วยความล้มเหลว หากจะให้ ‘เชื่อใจ’ การรักษาของเธอว่ามันได้ผลอย่างแน่นอน สุดท้ายจิตใจของเขาอาจจบลงด้วยการพังทลายอีกครั้ง
แต่ก่อนที่มู่เถาเยาจะทันได้ตอบ นายน้อยก็พูดต่อไปว่า “ตอนที่ฉันยังเด็ก ฉันเชื่อในผลลัพธ์ของยาหลอกมาก และด้วยเหตุนี้สภาพร่างกายของฉันจึงดีขึ้น แต่มันก็อยู่ได้ไม่นาน…”
ทันใดนั้นจมูกที่สมบูรณ์แบบของเขาก็ขยับเข้ามาดมฟุดฟิดใกล้ร่างของมู่เถาเยา
“สาวน้อย เธอมีกลิ่นหอมจางๆ ของป่าและสมุนไพร ซึ่งทำให้จิตใจสงบได้”
ไป๋เฮ่าอวี๋และบอดี้การ์ดจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยดวงตาเบิกกว้าง
นายน้อยเกลียดกลิ่นยาที่สุดไม่ใช่เหรอ เมื่อใดก็ตามที่เขาดื่มยาเขาก็จะขย้อนออกมา! แต่กลับบอกว่ากลิ่นสมุนไพรบนตัวเธอทำให้รู้สึกสงบใจงั้นเหรอ
พ่อบ้านและไป๋เฮ่าอวี๋สบตากัน รู้สึกสงสัยในระบบประสาทการได้ยินของตัวเองเล็กน้อย
“ผู้ป่วยทุกคนล้วนเชื่อมั่นและคาดหวังในตัวหมอที่รักษา รวมถึงยาสมุนไพรของพวกเขา”
เผชิญหน้ากับใบหน้างดงามที่จ้องมองมาระยะประชิด น้ำเสียงของมู่เถาเยาก็ยังคงสงบเยือกเย็น
นายน้อยพูดอะไรไม่ออก
ผู้ป่วยมักมีความคาดหวังสูงต่อแพทย์และยาที่พวกเขาสั่งให้
หลังจากจ้องมู่เถาเยาสักพัก เขาก็ยกมือขึ้นและถือวิสาสะปลดปิ่นปักผมไม้กฤษณาออกจากมวยผมของเธอ
เส้นผมประดุจเส้นไหมไหลลงประบ่าราวกับน้ำตก และกลิ่นหอมอันสง่างามก็ถูกปลดปล่อยออกมายามเมื่อผมพลิ้วไหว
กลิ่นอ่อนมาก แต่หอมดี
เฉิงอันนั่วลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ คล้ายกำลังป้องกันหมาป่าก็มิปาน พลันก้าวไปข้างหน้าและใช้ร่างกายของเขาขวางกั้นสายตาของนายน้อยไม่ให้มองไปที่มู่เถาเยา
ต่อให้ทักษะทางการแพทย์ของอาจารย์อาเล็กจะดีแค่ไหน แต่เธอก็เป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบแปดปีที่เติบโตขึ้นในหมู่บ้านบนภูเขา เธอจะทนต่อเสน่ห์ของชายหนุ่มหน้าตาสะสวยคนนี้ได้อย่างไร
นายน้อยผลักเฉิงอันนั่วออกไปด้านข้าง
ถ้าไม่มีบอดี้การ์ดเข้ามาช่วยประคอง เขาคงล้มก้นจ้ำเบ้าไปแล้ว
ดวงตาลูกกวางที่สวยงามของมู่เถาเยาขยับเล็กน้อย ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นพลันรู้สึกว่าหลังคอของพวกเขาเย็นเยียบ
นายน้อยดูเหมือนจะไม่สังเกตเห็นสักนิดและพูดต่อว่า “สาวน้อย เธอใช้แชมพูยี่ห้ออะไร”
“เซินหัว”
อารมณ์หงุดหงิดเริ่มฉายออกมาจากส่วนลึกในแววตาของมู่เถาเยามากขึ้นทุกที แต่เธอก็ยังตอบคำถามของเขา เนื่องจากมันเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นในหมู่บ้านเถาหยวนซาน
เธอให้ความสำคัญกับเงินมากซึ่งต่างจากอาจารย์ทั้งสองคนของเธอ
เพราะเธอรู้ดีว่าไม่ว่าจะยุคสมัยไหนเงินก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ยิ่งมีเงินมากก็ยิ่งทำอะไรได้มาก
เมื่อก่อนต้องใช้เงินเพื่อสนับสนุนกองทัพและประเทศ แต่ตอนนี้ต้องใช้เงินเพื่อการทำวิจัยและของกินอร่อยๆ…
ตัวตนของหนูขาวตัวน้อยนี้ไม่ธรรมดา บางทีอาจพึ่งพาเขาได้ในการประชาสัมพันธ์ในอนาคต
หนูขาวตัวน้อยหันไปหาพ่อบ้านแล้วพูดว่า “ไปซื้อมา”
เอิ่ม ทีเวลานี้กลับสามารถเร่งได้ซะงั้น
“นายน้อย นี่มันก็สายมากแล้ว ฉันยังมีธุระอื่นที่ต้องไปทำอีก” ความอดทนของมู่เถาเยาที่มีต่อหนูขาวตัวน้อยใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว
“เธอยังมีธุระอะไรที่สำคัญไปกว่าการรักษาให้ฉันอีกอย่างนั้นเหรอ”
“กินข้าว” พี่สะใภ้บอกว่ามื้อเที่ยงนี้จะพาเธอไปกินที่ร้านอาหารที่อร่อยที่สุดในเย่ว์ตู
“…เธออยู่ต่อกินมื้อกลางวันเป็นเพื่อนฉัน”
ร่างกายวันนี้ดูจะแปลกไปนิดหน่อย ตั้งแต่เธอมาเขารู้สึกมีเรี่ยวแรงมากขึ้น จึงเอาแต่บ่ายเบี่ยงยื้อเวลาไม่ยอมให้เธอตรวจ แค่อยากดูว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับร่างกายเพราะกลิ่นอายจากรอบๆ ตัวเธอหรือไม่
เห็นได้ชัดว่าเธอยังไม่ได้ทำอะไรเลย
เฉิงอันนั่วเริ่มนั่งไม่ติดที่อีกครั้ง
นายน้อยคนนี้มีแผนอะไรกับอาจารย์อาเล็กของเขาหรือไม่ ไม่งั้นทำไมต้องรั้งคนให้อยู่กินข้าวต่อ ขนาดพ่อเขามาที่นี่หลายครั้งแล้วยังไม่มีแม้แต่โอกาสร่วมโต๊ะอาหารเลย!
“ไม่อยู่” มู่เถาเยาปฏิเสธอย่างไม่เสียเวลาคิด
“ถ้าไม่อยู่ งั้นฉันก็จะไม่รับการรักษา”
มู่เถาเยาแย่งปิ่นไม้กฤษณากลับมาจากมือนายน้อย จากนั้นหยิบหมอนรองชีพจรและของอื่นๆ บนโต๊ะใส่กลับเข้าไปในกล่องยาขนาดเล็ก ปิดมัน แล้วลุกขึ้นเรียกศิษย์หลานของเธอให้เดินตามออกไป
“สาวน้อย ถ้าเธอไม่รักษาให้ฉัน ฉันจะฟ้องผู้อาวุโสหยวน”
พ่อบ้าน “…”
นายน้อย คุณอายุยี่สิบสามปีแล้วนะไม่ใช่สามขวบ! ฟ้องเฟิ้งอะไรนี่ออกจะไม่เหมาะสมกับฐานะของคุณเกินไปหน่อยไหม
บอดี้การ์ด “…”
ตอนที่นายน้อยวางตัวสงบนิ่งเมื่อสักครู่นี้ ตอนแรกคิดว่าเป็นเพราะมีเด็กสาวตัวเล็กๆ อยู่ด้วยเขาก็เลยกลบเกลื่อน
ที่ไหนได้ พวกเขาคิดมากเกินไป!
“ตามใจ” มู่เถาเยาไม่หันศีรษะกลับมามองด้วยซ้ำ
อย่างไรเสียคนที่จะตายก็ไม่ใช่เธอ อีกอย่างอาจารย์ไม่มีวันตำหนิเธอหรอก มีแต่จะปวดใจว่าเธอถูกรังแกหรือไม่
ไป๋เฮ่าอวี๋วิ่งพรวดขึ้นไปขวางหน้ามู่เถาเยาและเฉิงอันนั่วเอาไว้
“หมอเทวดาน้อย ได้โปรดหยุดก่อน นายน้อยของพวกเราป่วยมาสิบแปดปีแล้ว หาหมอที่มีชื่อเสียงมานับไม่ถ้วนแต่ก็รักษาไม่หายสักที ในใจย่อมเป็นทุกข์และทรมานใจ เพราะฉะนั้น ได้โปรดอย่าถือสาเขา…ที่ทำตัวมีปัญหาเลย”
แม้ว่าหมอเทวดาจะอายุยังน้อย แต่อาจารย์ของเธอก็เป็นถึงตำนานของวงการแพทย์โบราณ หากเขากล่าวว่าตัวเองเป็นที่สอง ไม่มีใครในโลกนี้กล้ายกตัวเองขึ้นเป็นที่หนึ่ง
การที่เฉิงหรานศิษย์คนโตของเขากล้าพูดว่าศิษย์น้องเล็กคนนี้ เป็นสีน้ำเงินที่กลั่นออกจากต้นครามแต่แก่ยิ่งกว่าต้นคราม [1]นั่นย่อมหมายความว่ามันมีมูล ดังนั้นไม่ว่าเขาจะอายุเท่าไร เขาก็ไม่กล้าทำตัวโอหังต่อหน้าเธอ
“หมอเทวดาน้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของคุณเคยเป็นเพื่อนร่วมสถาบันกับผมมาก่อน และอาจารย์ของพวกเราก็มาจากสำนักแพทย์โบราณ เห็นแก่มิตรภาพนี้ คุณช่วยตรวจให้นายน้อยของเราหน่อยได้ไหม”
ไม่ใช่แค่จับชีพจร ขนาดใช้เครื่องมือต่างๆ ตรวจแล้วก็ยังหาสาเหตุของโรคไม่ได้
เขาล่ะอยากรู้จริงๆ ว่านายน้อยป่วยเป็นโรคอะไร!
ในสมัยที่เขายังหนุ่มและเริ่มมีชื่อเสียง เขาหยิ่งผยองมากจนแทบไม่เห็นหัวใคร แต่เมื่อจู่ๆ ก็ต้องมาสะดุดล้มลง แม้จะไม่เต็มใจนัก ทว่าเขาก็ยินยอมเข้าร่วมกับตระกูลตี้และอยู่ในฐานะหมอประจำตระกูลนี้มาตลอดสิบปีเพื่อจะสืบเสาะหาว่าโรคอะไรกันแน่ที่ทำให้เขาต้องสะดุดล้ม
มู่เถาเยามองไปที่เฉิงอันนั่ว
เฉิงอันนั่วพยักหน้า
ตาแก่บ้านเขาและไป๋เฮ่าอวี๋เป็นเพื่อนร่วมสถาบันกันจริงๆ แต่พวกเขาไม่สนิทสนมกันนัก
ทั้งสองคนมาจากต่างสาขากัน คนหนึ่งศึกษาทักษะทางการแพทย์ที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ส่วนอีกคนเรียนการแพทย์คลินิกแผนปัจจุบัน และพวกเขาก็ไม่ใช่ศิษย์ในรุ่นเดียวกันด้วย
เฉิงหรานอายุห้าสิบกว่าปีแล้วแต่ไป๋เฮ่าอวี๋เพิ่งจะสามสิบต้นๆ พวกเขาจะอยู่ในรุ่นเดียวกันได้อย่างไร แต่พวกเขารู้จักกันเพราะความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับอาจารย์ใหญ่
เมื่อรู้ว่าไป๋เฮ่าอวี๋เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ใหญ่ของมหาวิทยาลัยแพทย์เย่ว์ตู มู่เถาเยาก็เหลียวหลังกลับมามองทันที
เมื่อนายน้อยเห็นว่าเธอหันกลับมา ในใจเขาก็ยิ่งกว่าลิงโลดดีใจ ทว่าก็ยังทำปากแข็งปากเก่งไปว่า “กลับมาทำไมอีกล่ะ ขาดเธอช่วยตรวจให้สักคนฉันก็ไม่ตายลงเดี๋ยวนี้หรอก”
พ่อบ้านและไป๋เฮ่าอวี๋อุทานออกมาพร้อมกัน “นายน้อย” ไปยั่วยุหมอเทวดาน้อยให้โกรธแบบนั้น ชาตินี้อาการเจ็บป่วยของคุณคงได้สิ้นหวังจริงๆ แล้ว!
ปกติคุณชอบก่อเรื่องให้คนอื่นปวดหัวก็แล้วไปเถอะ แต่ไหงตอนนี้ดันมาขุดหลุมฝังตัวเอง
แต่เดิมก็รักษาม้าตายดุจม้าเป็น[2]กันอยู่แล้ว คุณยังไม่รีบคว้าฟางเส้นสุดท้ายที่จะช่วยชีวิตเอาไว้อีก อยากตายจริงๆ ใช่มั้ยเนี่ย
มู่เถาเยาเปิดกล่องยาขนาดเล็กอย่างช้าๆ หยิบหมอนรองชีพจรออกมาอีกครั้ง และกดลงไปที่จุดชีพจรบางจุดอย่างรวดเร็วราวสายฟ้า
“…เธอทำอะไรกับฉัน ทำไมฉันถึงขยับตัวไม่ได้” เดิมทีคิดอยากจะหยิกแก้มซาลาเปานุ่มนิ่มของสาวน้อยคนนี้สักหน่อย ทว่าเพิ่งยื่นมือของไปได้ครึ่งเดียวร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปทั้งตัว
บอดี้การ์ดทั้งหมดจ้องไปที่มู่เถาเยาด้วยสายตาที่ร้อนแรง
นี่คือการสกัดจุดชีพจรในตำนาน! ที่แท้มันก็มีอยู่จริงๆ!
หากไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง พวกเขาจะไม่เชื่อเป็นอันขาด!
มู่เถาเยาดึงมือของนายน้อยที่ยื่นออกมากดลงบนหมอนรองชีพจรโดยตรงและเริ่มจับชีพจรให้กับเขา
“สาวน้อย เธอกำลังปรารถนาในความงดงามของฉันอยู่สินะ ถึงได้ทำให้ฉันไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เพื่อที่ตัวเองจะได้ทำทุกอย่างกับฉันเท่าที่เธอต้องการ”
“หุบปาก”
“…เธอดุจังเลย”
ใบหน้าของซาลาเปาน้อยตอนทำหน้าดุ มันช่าง…น่ามองจริงๆ!
ไม่รู้ว่าถ้าแกล้งทำให้เธอร้องไห้มันจะเป็นยังไง นายน้อยแอบคิดในใจ
มู่เถาเยามีสมาธิมากเมื่อตรวจคนไข้
ใบหน้าที่เคร่งขรึมจริงจังในตอนแรกบวกกับความเย็นชาและมีสมาธิแน่วแน่ ทำให้เธอมีท่าทางคล้ายกับปรมาจารย์ที่เร้นกายจากโลกภายนอก
เพียงแต่ดวงหน้าที่ราวกับเด็กทารกนี้ได้ทำให้ความเป็นผู้ใหญ่ถูกลดทอนลงไปจนเหมือนกับเด็กน้อยที่แสร้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่ แสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความแตกต่างระหว่างความน่ารักและอารมณ์ที่เย็นชา
นายน้อยรู้สึกคันยุบยิบในหัวใจ
ถ้าไม่ใช่เพราะเขาขยับตัวไม่ได้ เขาล่ะอยากจะยกมือข่วนบริเวณหัวใจตัวเองจริงๆ
[1] สีน้ำเงินที่กลั่นออกจากต้นครามแต่แก่ยิ่งกว่าต้นคราม เปรียบเปรยว่าลูกศิษย์ได้รับการอบรมรมสั่งสอนจากอาจารย์ แต่เก่งกว่าอาจารย์
[2] รักษาม้าตายดุจม้าเป็น หมายถึง ทำสิ่งที่รู้ว่าไม่มีทางสำเร็จ หรือดันทุรังทำในสิ่งที่เกินความสามารถ