ตอนที่ 13 รูปลักษณ์ของราชาตี้
ขณะที่นายน้อยกำลังกินซาลาเปาสีขาวลูกโตอย่างเอร็ดอร่อย เขาก็ได้ยินเสียงเฮลิคอปเตอร์กำลังร่อนลง
ลุงจงรีบพาคนไปที่ลานจอดเฮลิคอปเตอร์ด้านหลังวิลล่าเพื่อรับคน
นายน้อยหันไปถามไป๋เฮ่าอวี๋ที่อยู่ข้างๆ เขาว่า “ใครมากัน ทำไมไม่มีใครแจ้งฉันเลย”
“ผมเองก็ไม้รู้เหมือนกัน” สีหน้าของไป๋เฮ่าอวี๋ดูสับสน
จริงอยู่ที่ว่าวันนี้เพิ่งฝังเข็มไป แต่ผลที่ได้จากการตรวจของเครื่องยังไม่สามารถระบุได้ว่ามันดีหรือไม่ดี ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รีบรายงานไปยังเมืองหลวงทันที แต่จะรอสรุปผลภายในคืนนี้ก่อนแล้วค่อยส่งมอบรายงานการรักษาไปในทีเดียว
นายน้อยนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง อาจเป็นลุงจงที่รู้สึกว่าการฝังเข็มในวันนี้เป็นไปได้ด้วยดี ก็เลยอดใจรอไม่ไหวรีบโทรไปแจ้งให้ครอบครัวของเขาทราบ
ได้ข้อสรุปดังนี้ เขาจึงก้มหน้าจดจ่อกับมื้ออาหารของตัวเองต่อไป
ไป๋เฮ่าอวี๋หยิบตะเกียบขึ้น กำลังจะยื่นไปคีบซาลาเปาขึ้นมาแต่ก็ถูกนายน้อยแย่งจานซาลาเปาไปไว้วางตรงหน้าตัวเอง
“ของฉัน”
“…” แค่ซาลาเปาลูกเดียวแบ่งให้กินหน่อยจะเป็นไรไป อาหารอันน่าอร่อยพวกนั้นไม่ใช่ว่าคุณกินมันมาจนเอียนแล้วเหรอ
“นับแต่วันนี้ไปพวกนายห้ามกินซาลาเปานึ่งอีก รวมทั้งหมั่นโถวและเสี่ยวหลงเปาด้วย!”
ไป๋เฮ่าอวี๋ “…”
เยี่ยม! นายน้อยเริ่มหาเรื่องคนอีกแล้ว!
จู่ๆ เขาก็รู้สึกคิดถึงทักษะการสกัดจุดชีพจรของหมอเทวดาน้อยเมื่อเช้า!
ทั้งสองคนกินกันช้ามาก ดังนั้นเมื่อคนตระกูลตี้ปรากฏตัวขึ้นที่โต๊ะอาหารพวกเขาจึงยังกินไม่อิ่ม
เมื่อเห็นคนกลุ่มนี้ ไป๋เฮ่าอวี๋รีบลุกขึ้นและโค้งคำนับ “นายท่านผู้เฒ่า นายหญิงผู้เฒ่า ท่านราชา คุณผู้หญิง นายท่านผู้สืบทอด คุณผู้หญิงน้อย คุณหนูอู๋เสีย… อันเหยี่ย…”
ทักทายทีละคนๆ โดยไม่พลาดแม้แต่คนเดียว
นายน้อยหยิบกระดาษทิชชู่ออกมาเช็ดปากช้าๆ แล้วลุกขึ้น สายตากวาดมองไปที่ใบหน้าของสมาชิกในครอบครัว
“คุณปู่ คุณย่า พ่อ แม่ ลุงรอง ลุงสาม…พี่ใหญ่…อันเหยี่ย”
คนกลุ่มนั้นจ้องมองคนที่ลุกขึ้นทักทายพวกเขาโดยไม่กะพริบตา ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ เพราะกลัวว่าความงดงามดุจหยกชั้นเลิศที่อยู่ตรงหน้านี้จะหายวับไปในวินาทีถัดไป
เมื่อสามชั่วโมงก่อนตอนได้รับโทรศัพท์จากพ่อบ้านที่ร้องห่มร้องไห้ พวกเขาก็คิดว่า…
“อู๋เปียน ลูก…สบายดีใช่ไหม” ในฐานะของผู้เป็นแม่ คุณผู้หญิงอวิ๋นเหอก้าวไปข้างหน้าและยกมือสัมผัสกับใบหน้าของลูกชายเธอก่อน หลังจากแน่ใจแล้วว่ามันยังอุ่นดี เธอจึงกล้าส่งเสียงถามออกไป
“แม่ครับ ผมสบายดี”
นายน้อยตี้อู๋เปียนสังเกตเห็นว่าขอบตาของทุกคนแดงก่ำ จึงรู้สึกแปลกๆ และถามออกไปว่า “เกิดอะไรขึ้น ทุกคนยกโขยงกันมาที่นี่ทำไม”
คุณผู้หญิงอวิ๋นเหอหลุดหัวเราะดังพรืดออกมา เรื่องเข้าใจผิดนี้ทำเอาทุกคนตื่นตระหนกไปหมด แต่ก็โชคดีแล้วที่ไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นจริงๆ
“ต้องโทษพ่อของลูก! เขาได้ยินลุงจงร้องไห้ทางโทรศัพท์ก็เลยรีบตัดสายทิ้งโดยไม่ยอมฟังให้จบก่อน คิดว่าลูก…”
ลุงจงมีสีหน้าละอายใจ “ต้องโทษผม โทษผม! ผมอยากจะโทรไปแจ้งข่าวดีให้กับทุกคนได้ทราบ แต่เพราะตื่นเต้นมากเกินไปก็เลยระงับอารมณ์ตัวเองไว้ไม่อยู่ร้องไห้ดีใจไปเสียได้ เลยทำให้ไม่ทันได้อธิบายให้นายท่านฟัง”
สุขภาพของนายน้อยย่ำแย่มากจนอาจจะถึงแก่ชีวิตได้ทุกเมื่อ และเมื่อเขาร้องไห้ คนตระกูลตี้จะคิดเลยเถิดไปไกลก็เป็นเรื่องปกติ
ดังนั้นเมื่อเขาเห็นทุกคนในตระกูลตี้ลงจากเฮลิคอปเตอร์ด้วยดวงตาแดงก่ำ เขาก็รู้ว่าเสียงร้องไห้แห่งความสุขทางโทรศัพท์นั้นได้ถูกเข้าใจผิดเสียแล้ว จึงรีบอธิบายให้ฟังอย่างร้อนใจ
เมื่อคนตระกูลตี้ฟังคำอธิบายจากปากพ่อบ้าน พวกเขาก็เปลี่ยนจากความเศร้าโศกเป็นยินดี ตอนนี้พวกเขารู้สึกโล่งใจจริงๆ เมื่อเห็นว่าคนสำคัญของพวกเขาไม่ได้ตกอยู่ในสภาพเลวร้ายอย่างที่คิด
ตี้อู๋เปียนกอดแม่ของเขาก่อน จากนั้นจึงค่อยหันไปกอดผู้อาวุโสทั้งสองคน
“คุณปู่ คุณย่า ผมสบายดี ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”
เขาไม่ได้กลัวตาย แต่กลัวทำคนในครอบครัวเสียใจ ดังนั้นตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ป่วย เขาจึงเชื่อในผลลัพธ์ของยาหลอกที่แพทย์สั่งให้เขาอย่างมาก
นิสัยชอบหาเรื่อง ชอบแกล้ง เอาแต่ใจที่แสดงออกในยามปกติ ทั้งหมดก็เพื่อทำให้ทุกคนเชื่อว่าเขายังมีเรี่ยวแรงดีอยู่
“ดีๆ ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”
ปู่ตี้นั่งตำแหน่งราชาของประเทศมานานหลายสิบปี แม้ว่าบุคลิกภายนอกจะดูเคร่งขรึม แต่ในแววตาที่มองคนรุ่นหลานกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตาและรักใคร่สุดซึ้ง
“อู๋เปียน ลุงจงของหลานบอกว่าลูกศิษย์ตัวน้อยของหยวนเหยี่ยสามารถรักษาให้หลานได้ เป็นความจริงหรือเปล่า” น้ำเสียงของย่าตี้เต็มไปด้วยความสุขที่ไม่อาจควบคุมได้
“อู๋เปียน นี่เป็นเรื่องจริงเหรอ” ตี้จิ่งเทียน ราชาแห่งประเทศเหยียนหวงเองก็ประหลาดใจเช่นกัน
เขาในเวลานี้เป็นเพียงพ่อคนหนึ่งที่ห่วงใยลูกชายมาก
เจ้าถั่วน้อยอายุสามขวบตี้อันเหยี่ยเขย่งปลายเท้าขึ้นไปดึงมือของตี้อู๋เปียน ใบหน้าเล็กๆ เงยขึ้นแล้วถามด้วยน้ำเสียงเหมือนเด็กว่า “อาเล็กครับ อาเล็กหายดีแล้วเหรอ ถ้างั้นอาเล็กกลับบ้านไปเล่นเป็นเพื่อนอันเหยี่ยนะ”
ตี้อู๋เปียนลูบหัวแตงโมของเขา “คิดถึงอาเล็กงั้นเหรอ งั้นอยู่ที่นี่กับอาเล็กสักสองสามวันดีไหม”
เจ้าถั่วน้อยกระโดดเกาะขาตี้อู๋เปียนทันที “อันเหยี่ยจะอยู่กับอาเล็กด้วย”
ตี้อู๋เว่ยคุณชายใหญ่ผู้สืบทอดประเทศเหยียนหวงดึงลูกชายของเขาออกจากขาของตี้อู๋เปียน “อย่ารบกวนอาเล็กของลูก ทำแบบนี้อาเล็กเขาเหนื่อยนะ”
“คุณปู่ คุณย่า พ่อคะ แม่คะ คุณปู่หยวนเป็นเพื่อนสนิทของคุณย่า ทักษะทางการแพทย์ของเขาเก่งที่สุดในโลกแล้ว ลูกศิษย์คนเล็กของเขาเพิ่งจะอายุสิบกว่าปี เธอสามารถรักษาอู๋เปียนให้หายได้จริงหรือ” แววตาของตี้อู๋เสียแม้จะปรากฏร่องรอยของความยินดี แต่ก็เต็มไปด้วยความเคลือบแคลงใจ
น้องชายคนเล็กของเธอป่วยมาสิบแปดปีและอาการก็แย่ลงทุกปี แม้แต่หมอเทวดาที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าสำนักแพทย์โบราณ มีชื่อเสียงในการรักษาและเป็นที่ยอมรับของทุกคนในโลกก็ยังรักษาไม่ได้ แล้วเด็กสาวที่เพิ่งบรรลุนิติภาวะจะรักษาได้จริงเหรอ
ไม่ใช่ว่าเธอดูถูกใคร แต่ศาสตร์แห่งการแพทย์นั้นเรียนไม่ง่าย เด็กสาวคนหนึ่งจะเรียนรู้ได้สักแค่ไหน เทียบกับคุณปู่หยวนได้เหรอ
ถึงแม้ว่าคุณปู่หยวนจะคุยโวว่าลูกศิษย์ตัวน้อยของเขาน่าทึ่งและมีพรสวรรค์แค่ไหนทุกครั้งที่เขาโทรหาคุณย่า แต่เธอก็คิดว่านั่นเป็นคำชมที่ผู้อาวุโสมีต่อคนรุ่นหลานของตัวเองมากกว่า
ตี้อู๋เปียนฟังสมาชิกในครอบครัวของเขาพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ ก็หัวเราะอย่างขบขันและพูดว่า “ทุกคนคงยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงกันสินะ ไว้ค่อยคุยกันหลังมื้ออาหารเที่ยงเถอะ”
“ใช่ๆ ผมจะไปจัดการให้เดี๋ยวนี้” พ่อบ้านวิ่งเหยาะๆ ไปทางห้องครัว
คนตระกูลตี้นั่งลงทีละคน
เมื่อเห็นซาลาเปาวางอยู่บนโต๊ะ ย่าตี้ก็ถามขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า “ทำไมหลานถึงกินซาลาเปาเป็นมื้อกลางวันล่ะ”
หลานชายคนเล็กของเธอเกลียดซาลาเปามาตั้งแต่ไหนแต่ไร พวกหมั่นโถวหรือเสี่ยวหลงเปายัดไส้เองก็เหมือนกัน หรือว่าพอมาอยู่ที่เย่ว์ตูนานเข้ารสนิยมก็เลยเปลี่ยนไปงั้นเหรอ
ไป๋เฮ่าอวี๋กลั้นหัวเราะ
ดวงตาที่เป็นประกายเย็นชาของตี้อู๋เปียนตวัดมองไป๋เฮ่าอวี๋ ไป๋เฮ่าอวี๋นั่งยืดตัวตรงทันทีด้วยสีหน้าจริงจัง
อย่างไรก็ตาม ความสงสัยของย่าตี้ก็ถูกลืมไปอย่างรวดเร็ว เพราะรสนิยมการกินที่เปลี่ยนไปนั้นเทียบไม่ได้เลยกับร่างกายของหลานชายคนเล็ก
ใบหน้างดงามของคุณผู้หญิงอวิ๋นเหอประดับไปด้วยรอยยิ้ม “เฮ่าอวี๋ ร่างกายของอู๋เปียนมีวี่แววดีขึ้นบ้างไหม ลูกศิษย์ตัวน้อยของหมอเทวดาหยวนบอกรึเปล่าว่าอู๋เปียนเป็นโรคอะไรและจะรักษาได้ยังไง”
“คุณผู้หญิง หมอเทวดาน้อยมู่ไม่ได้เจาะจงสาเหตุแน่ชัด แต่กล่าวว่าเป็นเพราะพลังชีวิตของนายน้อยเองที่ค่อยๆ สูญเสียไป แต่การฝังเข็มโดยใช้ทักษะหุยหยางสามารถฟื้นฟูได้ หมอเทวดาน้อยแม้ว่าจะอายุยังน้อย แต่ทักษะการฝังเข็มของเธอนั้นน่าอัศจรรย์ใจมาก มีความเป็นไปได้สูงที่เธอจะสามารถรักษานายน้อยให้หายได้”
ทุกคนในตระกูลตี้เมื่อได้ยินแบบนี้สีหน้าก็เต็มไปด้วยความดีใจ พวกเขาหันไปมองตี้อู๋เปียนเป็นตาเดียว ก็พบว่าแม้จะเพียงเล็กน้อย แต่สีหน้าของเขาดูดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนแบบที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และอย่างน้อยๆ ตอนนี้เขาก็ดูกระปรี้กระเปร่าขึ้น
“งั้น หมอเทวดาน้อยก็เก่งกาจมากอย่างที่ลุงหยวนพูดไว้จริงๆ ใช่มั้ย”
ใบหน้าที่หล่อเหลาและไร้ที่ติของตี้จิ่งเทียนในวัยหกสิบปีไม่มีร่องรอยของกาลเวลาปรากฏอยู่มากนัก และเมื่อเขายืนอยู่ใกล้กับลูกชายคนโต ตี้อู๋เว่ย พวกเขาก็ดูเหมือนเป็นพี่น้องคู่หนึ่งที่มีอายุต่างกันเล็กน้อย
รูปร่างหน้าตาของเขาโดดเด่นมากกว่าย่าตี้ที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาสองส่วน เหมือนตี้อู๋เปียนอยู่หกส่วน เหมือนแม่ตี้สองส่วนและเหมือนปู่ตี้สองส่วน
ทุกคนในตระกูลตี้เกิดมาก็มีเบ้าหน้าฟ้าประทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ชาย มีโอกาสเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ที่จะฆ่าดารานักแสดงหนุ่มที่มีชื่อเสียงในวงการบันเทิงเพียงเดินออกไปเท่านั้น
ตี้อู๋เปียนนั้นเป็นยิ่งกว่า
ถ้าไม่ใช่เพราะสุขภาพที่ย่ำแย่ของเขาและไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนมาก่อน ผู้คนคงคลั่งไคล้เขาไปนานแล้ว
เหตุผลที่ตี้จิ่งเทียนราชาแห่งประเทศเหยียนหวงมีชื่อเสียงในระดับสากลยิ่งกว่าผู้นำของประเทศอื่นๆ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะใบหน้าที่หล่อเหลาและเหมือนเทพบุตรของเขา
เมื่อบุคคลหนึ่งทั้งเปี่ยมไปด้วยความรู้ความสามารถและยังมีหน้าตาที่ไม่ด้อยไปกว่าพรสวรรค์ เขาจึงได้รับคำชมเป็นสองเท่า