ตอนที่ 27 เธอสิที่ต้องดู
ช่วงระหว่างที่พักคาบเรียนอยู่ มู่เถาเยาได้รับโทรศัพท์จากอาจารย์อาเล็กเรียกให้ไปพบที่ห้องทำงานของอธิการบดีหน่อย
เมื่อเธอก้าวเข้าไปในห้องทำงานอย่างไม่รีบร้อน ร่างเล็กๆ ก็วิ่งเข้ามาโผกอดเธอและยึดเข่าเธอไปเกาะอย่างสบายใจ
“พี่สาว!”
มู่เถาเยาดึงเจ้าตัวนุ่มนิ่มที่ห้อยต่องแต่งที่ขาออก นั่งลงยองๆ แล้วมองไปที่ตี้อันเหยี่ยผู้น่ารักแล้วถามว่า “หนูมาที่นี่ทำไมคะ ใครพาหนูมาที่นี่”
“อันเหยี่ยขอร้องให้คุณปู่ทวดกับคุณย่าทวดให้คุณลุงบอดี้การ์ดพามาที่นี่” เจ้าตัวอ้วนตอบมู่เถาเยาด้วยน้ำเสียงน่ารัก
เมื่อเช้าตอนตื่นขึ้นมาเขาก็ไปเล่นกับอาเล็ก แต่คุณย่าทวดบอกว่าอาเล็กยังป่วยอยู่ยังเล่นกับเขาไม่ได้
แต่เขาจำได้ว่าเมื่อวานนี้ทุกคนพูดว่าพี่สาวสามารถรักษาอาเล็กของเขาได้ ดังนั้นเขาจึงมาหาพี่สาว
“แล้วหนูไม่กลับบ้านไปกับคุณพ่อคุณแม่เหรอ”
“คุณปู่ทวด คุณย่าทวด กับอันเหยี่ยอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนอาเล็ก”
“แล้วหนูมาที่นี่ทำไม ไม่อยู่บ้านเล่นเป็นเพื่อนอาเล็กล่ะคะ”
ถุงนมน้อยๆ คว้าหมับที่มือของมู่เถาเยาและดึงเธอให้รีบเดินตามเขาไป “พี่สาว ไปรักษาให้อาเล็ก”
มู่เถาเยาหลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ ลูบหัวน้อยๆ ของเขาแล้วพูดว่า “เรื่องการรักษาไม่จำเป็นต้องให้เด็กน้อยอย่างหนูมากังวลหรอกรู้ไหม”
“อาเล็กเจ็บๆ พี่สาวรักษาได้”
มู่เถาเยาหันศีรษะไปมองอธิการบดีเจียงซึ่งควบตำแหน่งอาจารย์อาเล็กของเธอที่บัดนี้กำลังนั่งเป็นหุ่นประกอบฉากอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงาน
อธิการบดีเจียงเฉาโบกมือรัว “หนูก็ตามเด็กน้อยไปดูอาการของนายน้อยตระกูลตี้หน่อยเถอะ”
เขาเป็นศิษย์น้องเล็กของเจ้าสำนักแพทย์โบราณหยวนเหยี่ย เป็นอาจารย์ของไป๋เฮ่าอวี๋หมอประจำตัวของตี้อู๋เปียนและก็ยังเป็นผู้ที่ได้รับฉายาว่ามีดหัตถ์เทวะ ย่อมรู้โดยธรรมชาติว่าคนตัวเล็กตรงหน้าเขานี้เป็นใคร
อนิจจา เสี่ยวเยาเยาของเขาเป็นนักศึกษาที่ไม่เหมือนกับนักศึกษา เป็นหมอที่ไม่เหมือนหมอ แต่เธอดูยุ่งกว่าเขาที่เป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับโลกเสียอีก!
สายตาของมู่เถาเยาตกลงไปที่ร่างถุงนมเล็กๆ อีกครั้ง
“อันเหยี่ย อาการป่วยของอาเล็กของหนูไม่ได้หายเร็วขนาดนั้นหรอกนะ”
เมื่อถุงนมเล็กๆ ได้ยินคำนั้น น้ำตาก็คลอหน่วยขึ้นมาจากดวงตากลมโตทันที
“อาเล็กเจ็บๆ” เล่นยังเล่นไม่ได้ มันต้องเจ็บมากแน่!
“…เขาไม่ได้เจ็บ แค่…ไม่สบายตัวนิดหน่อยเท่านั้น…”
มันแค่ไม่สบายตัวนิดหน่อยเท่านั้นจริงๆ เขาไม่ได้เจ็บป่วยหรือเป็นโรคอะไร ร่างกายของเขาแค่อ่อนแอเหมือนคนแก่เท่านั้น
“ไม่สบาย เจ็บๆ”
“เฮ้อ…ความไม่สบายคือความไม่สบาย แต่มันไม่ใช่ความเจ็บปวดนะคะ อาเล็กของหนูไม่ได้เจ็บ…”
มู่เถาเยาอธิบายความแตกต่างระหว่าง ‘ความไม่สบาย’ กับ ‘ความเจ็บปวด’ จากมุมมองทางการแพทย์ให้ถุงนมเล็กๆ ฟังอย่างจริงจัง
ถุงนมเล็กๆ ทำหน้างงเล็กน้อย สีหน้าของเขาเหมือนจะพูดว่า…ฉันเป็นใคร ฉันอยู่ที่ไหน และฉันมาทำอะไรที่นี่
อธิการบดีเจียงกลั้นขำจนท้องแข็ง
“เสี่ยวเยาเยา หนูคิดว่าเจ้าตัวเล็กตรงหน้านี้เป็นปีศาจที่สามารถเข้าใจทุกอย่างที่ผู้ใหญ่พูดได้เหมือนหนูตอนเด็กหรือไง ฉันว่าหนูไปที่เขตเซิ่งซื่อฉางอันกับเจ้าตัวเล็กจะดีกว่านะ ดูสิตัวแค่นี้เองแต่กลับรู้จักเป็นห่วงเป็นใยอาเล็กแล้ว”
อย่างไรก็ตาม มู่เถาเยาไม่ต้องการไป เนื่องจากอาการป่วยของตี้อู๋เปียนไม่มีทางดีขึ้นได้รวดเร็วชัดเจนขนาดนั้น
หากมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่น่าตกใจเกิดขึ้น ผู้อาวุโสในตระกูลเขาจะรีบเรียกเธอไปเอง
เมื่อเห็นว่าไม่สามารถดึงมู่เถาเยาให้ไปด้วยกันได้ ถุงนมน้อยๆ ก็เริ่มสะอึกสะอื้น น้ำตาเม็ดโตหยดแหมะลงมาบนแก้ม เขารีบพูดว่า “พี่สาว ไปๆ นะครับ อาเล็กเจ็บๆ หาหมอ”
มู่เถาเยาเห็นภาพน้องชายของเธอซ้อนทับขึ้นมาทันที
เมื่อตอนที่น้องชายของเธอยังเล็ก เขาก็เป็นเหมือนกับถุงนมเล็กๆ ตรงหน้านี้ ทุกครั้งที่เธอบาดเจ็บกลับมา เขาก็จะรีบวิ่งเข้ามาหาเธอและเจ็บแทนเธอไปก่อนล่วงหน้าแล้ว
“พี่สาว หาหมอ อาเล็กเจ็บๆ” ถุงนมเล็กๆ พูดประโยคนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ตกลง พี่สาวจะไปตรวจอาเล็กของหนูให้” มู่เถาเยาใจอ่อนแล้ว
หลังจากที่มู่เถาเยากล่าวลากับอาจารย์อาเล็กของเธอ เธอก็ถูกถุงนมเล็กๆ จูงมือและรีบวิ่งออกไปโดยมีบอดี้การ์ดสี่คนของตี้อันเหยี่ยตามอยู่ด้านหลัง
เพราะเมื่อวานเพิ่งฝังเข็มไป เธอเลยไม่ได้กลับไปเอากล่องยาเล็กๆ ที่ห้องเรียน
ใช้เวลาขับรถจากมหา’ลัยไปยังเขตเซิ่งซื่อฉางอันประมาณหนึ่งชั่วโมง
เขตเซิ่งซื่อฉางอันมีขนาดใหญ่โตมาก และพื้นที่วิลล่าของตี้อู๋เปียนก็กินเนื้อที่หนึ่งในสี่ของเขตนี้ทั้งหมด ซึ่งมันถูกจดไว้ในชื่อของลุง ครอบครัวทางฝั่งตระกูลอวิ๋นของเขา
เนื่องจากเหตุผลทางร่างกาย เขาไม่ได้ออกไปไหนเลยตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ในเขตเซิ่งซื่อฉางอัน กิจกรรมที่หลากหลายของเขา ส่วนใหญ่ก็ล้วนอยู่ทางฝั่งทิศตะวันออกของเขตเซิ่งซื่อฉางอันทั้งนั้น
เขตเซิ่งซื่อฉางอันเป็นพื้นที่วิลล่าชั้นนำในประเทศเหยียนหวง ระบบการรักษาความปลอดภัยในเขตนี้ อ้างอิงมาจากมาตรฐานสูงสุดในประเทศเหยียนหวง นอกจากนี้ภูมิทัศน์ภายในยังถูกตกแต่งด้วยแม่น้ำและภูเขาของจริง มีสวนหย่อมและป่าเล็กๆ ส่วนตัวทำให้ผู้คนที่มาจากเมืองทั้งหลายมีความรู้สึกเหมือนได้กลับคืนสู่ธรรมชาติ
มู่เถาเยามาเยือนเขตเซิ่งซื่อฉางอันเป็นครั้งที่สามแล้ว แต่ดูเหมือนเธอจะไม่เคยสังเกตเห็นเลยว่าทิวทัศน์ที่ผ่านหน้าเธอไปนั้นน่าทึ่งเพียงใด
หลังลงจากรถที่หน้าคฤหาสน์หลังงาม ถุงนมเล็กๆ ก็รีบวิ่งนำมู่เถาเยาเข้าไปราวกับสายลม
มู่เถาเยาตามหลังตี้อันเหยี่ยไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน ฝีเท้าของเธอแผ่วเบา แต่ก็มั่นคงหนักแน่นทุกจังหวะ เธอสามารถตามทันตี้อันเหยี่ยซึ่งวิ่งนำเธอเข้าไปด้วยความเร็วสูงสุดได้อย่างไม่เปลืองแรงเลย
บอดี้การ์ดมองหน้ากันแล้วเดินตามเข้าไป
เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวเล็กพามู่เถาเยากลับมาด้วยได้จริงๆ ปู่ตี้และย่าตี้ก็ทั้งประหลาดใจและยินดี
“เสี่ยวเยาเยา อันเหยี่ยไปรบกวนเวลาเรียนของหนูหรือเปล่า”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูสามารถตามทันได้”
ตี้อันเหยี่ยทักทายผู้เฒ่าทั้งสองคนก่อน จากนั้นจึงพามู่เถาเยาวิ่งไปหาตี้อู๋เปียน “พี่สาวดูอาเล็ก”
“เธอสิที่ต้องให้คนดู!” ริมฝีปากตี้อู๋เปียนกระตุกยิกๆ
ร่างอ้วนกลมเล็กๆ ส่วยหัวพรืด “อันเหยี่ยไม่ป่วย อันเหยี่ยไม่ดู”
ตี้อู๋เปียนดีดหน้าผากน้อยของเขา “เห็นแก่ความกังวลใจของเธอที่มีต่อฉัน คราวนี้จะไม่เอาเรื่องด้วย”
อันเหยี่ยไม่เข้าใจว่าอาเล็กกำลังพูดถึงเรื่องอะไร แต่มันก็ไม่สำคัญ
“พี่สาวดูอาเล็ก”
ตี้อู๋เปียน “…”
ปู่ตี้มองภาพตรงหน้าแล้วอดไม่ได้หลุดหัวเราะออกมา เขาดึงเจ้าก้อนไขมันน้อยๆ จอมซนมาตรงหน้าเขา สัมผัสใบหน้าเล็กๆ นั้นแล้วพูดว่า “อันเหยี่ยตัวน้อยของเรามีความสามารถจริงๆ สามารถเชิญตัวพี่สาวมารักษาให้อาเล็กได้”
ย่าตี้กล่าว “เสี่ยวเถาเยา ไหนๆ หนูก็อยู่ที่นี่แล้ว ทำไมไม่ช่วยจับชีพจรให้อู๋เปียนสักหน่อยล่ะ” มู่เถาเยาพยักหน้า
ไฝสีแดงตรงหว่างคิ้วของตี้อู๋เปียนนั้นเหมือนกับชาด และดวงตาเรียวคมน่ามองบัดนี้กำลังเปล่งประกายด้วยแสงที่ชวนให้หลงใหล
หากเป็นไปตามที่เธอพูดเมื่อวาน สุขภาพของเขาอาจจะดีขึ้นจริงๆ
การหาสมุนไพร…ตราบเท่าที่มันมีอยู่จริงในโลกใบนี้ ไม่ว่าจะอยู่สุดขอบโลกหรือในภูเขาและทะเลลึก พวกเขาก็สามารถหามันเจอได้!
คราวนี้อีกฝ่ายยื่นมือออกมาให้เธอจับชีพจรอย่างไม่อิดออด
มู่เถาเยารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ยิ่งประหลาดใจมากขึ้นเมื่อเธอมองไปที่หนูขาวตัวเล็กของเธอ
ดูเหมือนว่าเขาจะแตกต่างจากสองครั้งก่อนหน้านี้ที่เห็นเล็กน้อย เป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงของสภาพจิตใจหรือเปล่า
อืม…มาเริ่มจับชีพจรกันก่อนดีกว่า
หลังจากจับชีพจรข้อมือทั้งสองข้าง มู่เถาเยาก็เงยหน้าขึ้นมองตี้อู๋เปียนและถามว่า “เป็นเพราะผลของยาหลอกหรือเปล่า”
ไม่เพียงแต่สภาพจิตใจที่เปลี่ยนไปเท่านั้น แม้แต่ร่างกายก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“เธอมองว่าเป็นแบบนั้นก็ได้ ซาลาเปาน้อย นอกจากหญ้าพิษชีวิตแล้ว ยังมีสมุนไพรตัวอื่นอีกไหมที่สามารถรักษาฉันได้ หรือไม่ก็ชะลอเวลาออกไปอีกสักระยะหนึ่งก่อน”
ยิ่งเขาซื้อเวลาได้มากเท่าไร โอกาสรอดของเขาก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น
ถึงจะไม่กลัวตาย แต่เขายังมีครอบครัวอยู่!
“หากคุณสามารถหาดอกไม้สองชีวิตได้ ฉันสามารถยืดอายุให้คุณได้อีกห้าปี”
“ดอกไม้สองชีวิตคืออะไร”
จริงอยู่ที่เขาอ่านหนังสือมามากและจำเก่ง แต่หนังสือโบราณเฉพาะทางและหนังสือหายากบางเล่มไม่ได้ถูกเผยแพร่ในตลาด ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางรู้
“ดอกไม้สองชีวิตเป็นสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ในการล้างพิษ ตลอดช่วงชีวิตของมัน จะผลิดอกแค่สองดอกเท่านั้น ดอกแรกสีแดง ดอกที่สองสีฟ้า ดอกไม้ทั้งสองสีไม่เพียงแต่ล้างพิษได้แต่ยังเพิ่มพลังกายให้แก่ผู้ที่ใช้มันขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุด มันสามารถปรับอุณหภูมิให้เข้ากับขีดจำกัดของร่างกายมนุษย์ ดังนั้นมันจึงสามารถให้ชีวิตที่สองแก่มนุษย์ได้ นั่นคือที่มาของชื่อดอกไม้สองชีวิต”
ปู่ตี้และย่าตี้ดูมีความสุขมาก
ทันใดนั้นพวกเขาก็เต็มไปด้วยพลัง ปู่ตี้หน้าแดงก่ำ รีบถามไปอย่างมีความหวังว่า “เสี่ยวเถาเยา ดอกไม้สองชีวิตหายากพอๆ กับหญ้าพิษชีวิตหรือเปล่า”
“ใช่ค่ะ แต่อย่างน้อยมันก็เคยปรากฏขึ้นมาก่อน อาจารย์ปู่ของหนูเคยมีมันอยู่หนึ่งดอก แต่ถูกใช้ไปแล้วเพื่อช่วยชีวิตเพื่อนสนิทของเขา”
“ไม่เป็นไรๆ ตราบใดที่มันมีอยู่จริง แค่เราตามหา เราจะต้องหามันเจออย่างแน่นอน” ย่าตี้มีความสุขมาก เธอไม่สามารถซ่อนความดีใจบนใบหน้าของเธอได้เลย
ไป๋เฮ่าอวี๋ถาม “หมอเทวดาน้อย ดอกไม้สองชีวิตสามารถรักษาอาการป่วยของนายน้อยให้หายขาดได้ไหม”
เขาไม่เคยเรียนวิชาแพทย์โบราณ ดังนั้นเขาจึงไม่รู้มากนักเกี่ยวกับสมุนไพรยาหายากในตำนาน มันฟังดูน่าทึ่งมาก!
“ดอกไม้สองชีวิตเป็นสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์สำหรับการล้างพิษ แต่ตี้อู๋เปียนไม่ได้ถูกพิษ และเขาก็ไม่ได้ป่วย มันไม่ถูกโรคกัน”
หลายคนพยักหน้าอย่างเข้าใจ
ตี้อู๋เปียน “…”