ตอนที่ 29 ไม่มีข้อดีอะไร
ขณะที่มู่เถาเยากำลังตกตะลึงกับสิ่งที่เธอค้นพบ ทางด้านตี้อู๋เปียนเองในใจของเขาก็ถูกคลื่นยักย์ซัดไปแล้วหลายตลบ
ซาลาเปาน้อยอายุเพียงสิบแปดปีและอาศัยอยู่บนภูเขาทางใต้สุดกับผู้อาวุโสหยวนมาตั้งแต่ยังเล็ก แต่เธอกลับทรงพลังมาก!
เขาแทบจะต่อบทสนทนากับเธอไม่ทัน!
โชคดีจริงๆ ที่ไม่มีเรื่องน่าอายเกิดขึ้นในตอนท้าย!
จู่ๆ ความคิดที่ว่าอยู่ต่อหน้าเธอรูปร่างไม่ดีไม่เป็นไร แต่จะแพ้เธอด้านสมองไม่ได้!
ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสหยวนสอนเด็กอย่างไร ลูกศิษย์ของเขาแต่ละคนล้วนเป็นคนที่มีชื่อเสียงและมีความสามารถ โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิษย์ปิดสำนักคนสุดท้ายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ มัดรวมเอาศิษย์พี่ทั้งหมดของเธอเข้าด้วยกัน เผลอๆ ยังเก่งกาจได้ไม่เท่าเธอด้วยซ้ำ!
ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังเด็กมาก และความสำเร็จในอนาคตของเธอก็มีไม่จำกัด
มู่เถาเยาและตี้อู๋เปียนพูดคุยกันในห้องหนังสือตลอดทั้งบ่าย จนกระทั่งลุงจงพ่อบ้านของคฤหาสน์เดินมาเคาะประตูและเรียกพวกเขาไปรับประทานอาหารเย็น พวกเขาจึงจบบทสนทนาลงด้วยความไม่เต็มใจ
ในเวลานี้ ภาพลักษณ์ของอีกฝ่ายในแววตาของทั้งคู่ก็เปลี่ยนไปมีแต่ความชื่นชม
ปู่ตี้และย่าตี้สงสัยมากว่าเด็กสองคนที่ดูจะเข้ากันไม่ได้เลยนี้ อยู่ด้วยกันในห้องหนังสือนานขนาดนั้นได้อย่างไร
คนหนึ่งเย็นชา อีกคนอารมณ์ร้ายเอาแต่ใจ…ยากจะจินตนาการจริงๆ ที่พวกเขาจะสามัคคีกันตลอดทั้งบ่าย
หากไม่ใช่เพราะหลานชายคนเล็กของพวกเขาสุขภาพไม่ดี และมู่เถาเยาก็เพิ่งจะบรรลุนิติภาวะไปหมาดๆ พวกเขาคงเกิดความคิดเหลวไหลขึ้นบ้างแล้ว
เมื่อถุงนมเล็กๆ เห็นคนเดินเข้ามา เขาก็รีบวิ่งขึ้นไปข้างหน้าแล้วจับมือมู่เถาเยาไว้ หัวเล็กๆ เงยขึ้น ดวงตาไร้เดียงสากะพริบปริบๆ และถามไปอย่างคาดหวังว่า “พี่สาว อาเล็กหายดีแล้วเหรอ”
เพราะไม่เห็นพวกเขาตลอดทั้งบ่าย เจ้าตัวเล็กเลยคิดว่ามู่เถาเยากำลังรักษาให้อาเล็กของเขาอยู่
“ยังค่ะ แต่อันเหยี่ยไม่ต้องกังวลไป อาเล็กของหนูจะดีขึ้นในไม่ช้า” ปากของมู่เถาเยาโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มอบอุ่นอย่างเห็นได้ชัด
แม้จะหาหญ้าพิษชีวิตและดอกไม้สองชีวิตไม่เจอ แต่เธอก็ยังมีทักษะหุยหยางสามารถใช้ยืดอายุตี้อู๋เปียนออกไปได้อีกห้าปี
ในช่วงเวลาห้าปีนี้ มู่เถาเยาไม่เชื่อว่าตัวเองจะคิดหาวิธีอื่นไม่ได้เลย
ถุงนมเล็กๆ มองไปที่อาเล็กที่งดงามของเขาอย่างขอคำตอบ พ่อของเขาบอกว่าอาเล็กเป็นคนที่เก่งกาจที่สุดในตระกูลตี้!
ตี้อู๋เปียนยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย พยักหน้าให้คนตัวเล็กเบาๆ และพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “อืม อาเล็กจะดีขึ้นแน่นอน”
ย่าตี้ลูบหัวของเหลนชายตัวน้อยด้วยรอยยิ้ม
ปู่ตี้หัวเราะเสียงดังลั่น พูดออกไปว่า “เอาล่ะๆ ไปกินข้าวกันก่อนเถอะ เสี่ยวเถาเยากำลังโต จะปล่อยให้ท้องหิวไม่ได้”
ชายชราที่หล่อเหลาคนนี้ ดูจากภายนอกเหมือนจะเป็นคนที่เคร่งขรึมและไม่ได้ใจดีเท่าย่าตี้ แต่ในความเป็นจริง เขาเป็นคนที่อ่อนโยนกับครอบครัวมากเสียจนยากจะนำภาพเขาไปซ้อนทับกับอดีตที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นถึงราชาของประเทศ
มู่เถาเยาจูงมืออันเหยี่ยตัวน้อยและเดินตามหลังผู้อาวุโสทั้งสองไปที่ห้องอาหาร
หลังจากที่ผู้อาวุโสทั้งสองนั่งลงแล้ว เธอจึงอุ้มร่างเล็กขึ้นนั่งบนเก้าอี้ยกสูงที่สั่งทำมาพิเศษเพื่อเขา
ในระหว่างมื้ออาหาร มู่เถาเยาปฏิบัติตามมารยาทบนโต๊ะอาหารได้อย่างดีเยี่ยม ทุกอากัปกิริยาสง่างามราวกับเป็นเจ้าหญิงในสมัยโบราณ
สมาชิกตระกูลตี้ถูกการเลี้ยงดูสั่งสอนของเธอทำให้ประหลาดใจอีกครั้ง
พวกเขาทั้งหมดคิดว่าคนคิดน้อยและไม่ค่อยสนใจอะไรอย่างหมอเทวดาหยวน อาจจะไม่ได้ใส่ใจสอนเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ให้เด็กสาว แต่คาดไม่ถึงว่า…ผลลัพธ์ที่ออกมาจะเป็นแบบนี้
ในความเป็นจริง หยวนเหยี่ยไม่เคยสอนอะไรมู่เถาเยานอกจากเรื่องของการแพทย์จริงๆ
เดิมทีการเรียนแพทย์และวรยุทธนั้นก็เหนื่อยมากแล้ว เขาจะยินดีเพิ่มภาระยิบย่อยไม่น่าอภิรมย์พวกนั้นให้ลูกศิษย์ตัวน้อยของพวกเขาได้อย่างไร
สิ่งที่คนตระกูลตี้เห็นจากตัวมู่เถาเยาในปัจจุบัน ล้วนเป็นความเคยชินที่ดีที่ติดตัวมาจากชาติที่แล้วของเธอ
เพื่อให้กิริยาของตัวเองไม่เป็นที่แปลกแยกในชาวบ้านบนภูเขา เธอจึงจงใจระงับนิสัยและความเคยชินเหล่านี้ แต่เมื่อมาถึงสถานที่นี้ ไม่มีความจำเป็นที่เธอจะต้องปิดซ่อนมันอีก
ยกตัวอย่างเช่น มารยาทบนโต๊ะอาหารที่เธอแสดงออกมา
ยิ่งคนตระกูลตี้ทำความรู้จักกับมู่เถาเยามากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งทึ่งและพิศวงในตัวเด็กสาวตัวเล็กที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านบนภูเขามาตลอดตั้งแต่อ้อนแต่ออกคนนี้
คำพูดและการกระทำของเธอช่างสง่างาม เป็นธรรมชาติและไร้ที่ติ ไม่มีบรรยากาศของคนตัวเล็กๆ ที่ไม่มั่นใจ ขี้ขลาด และขี้อายที่เพิ่งออกมาจากหมู่บ้านบนภูเขาเลย
แม้ว่าเธอจะกำลังเผชิญหน้าอยู่กับราชาของประเทศเหยียนหวง แต่เธอก็ไม่ได้แสดงถึงความด้อยกว่าและถูกควบคุมสักนิด
หากกล่าวว่าเธอยังเป็นเพียงเด็กและไร้เดียงสาไม่เข้าใจว่าคำว่า ‘คนตระกูลตี้’ หมายถึงอะไร แต่คำพูด การกระทำและทัศนคติของเธอที่มีต่อผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่า มันราวกับว่าเธอรู้อยู่แล้วถึงวิถีแห่งราชาว่าเขาคิดและปฏิบัติตัวเช่นไร
ความมั่นใจ ความใจกว้าง ความสง่างาม และความเยือกเย็น สิ่งเหล่านี้ที่ไม่ควรปรากฏอยู่บนตัวเด็กสาว เมื่อมันมาปรากฏอยู่บนตัวของเธอ จึงทำให้ผู้คนมองข้ามและหลงลืมไปว่าเธอเพิ่งบรรลุนิติภาวะ
มู่เถาเยาย่อมไม่รู้ว่าคนตระกูลตี้ตอนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ เธอยังคงรักษากิริยาบนโต๊ะอาหารในแบบฉบับราชวงศ์ได้ดีเยี่ยม ไม่วางตะเกียบจนกว่าปู่ตี้และย่าตี้จะวางตะเกียบลง
ทุกคนย้ายกลับไปที่ห้องนั่งเล่นหลังมื้ออาหารจบลง มู่เถาเยานั่งดื่มชาร่วมกับคนตระกูลตี้อีกสักพักก่อนจะขอตัวกลับไป
เธออยากกลับไปตั้งใจเรียน! เพราะกลัวว่าสักวันหนึ่งเธอจะถูกแซงหน้าโดยผู้ป่วยอย่างตี้อู๋เปียน!
เมื่อเห็นว่ารถแล่นจากไปไกลแล้ว ปู่ตี้และย่าตี้ก็หันไปสบตากันสองสามวินาทีแล้วถามผู้ป่วยที่ยืนอยู่ข้างๆ ว่า “อู๋เปี้ยน เสี่ยวเถาเยาโดดเด่นมากเลยใช่หรือเปล่า”
“ปู่ต้องการพูดอะไรครับ”
“น่าเสียดายที่เธอไม่ได้เกิดในตระกูลตี้ ไม่อย่างนั้นเธออาจจะได้ขึ้นเป็นราชินีก็ได้”
“…ปู่พูดแบบนั้น ไม่กลัวพี่ผมมาได้ยินแล้วน้อยใจเหรอ”
ตี้อู๋เปียนรู้สึกสงสารพี่ชายของเขาขึ้นมาสองสามวินาที
“พี่ชายของหลานโดดเด่นก็จริง แต่นั่นเป็นเพราะเขาได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็ก แต่สภาพแวดล้อมของเสี่ยวเถาเยาแตกต่างออกไป พี่ชายหลานยังโดดเด่นไม่เท่าเธอด้วยซ้ำเมื่ออายุเท่าเธอ เธอดีกว่าพี่ชายหลานแทบจะทุกด้านเลย”
ปู่ตี้ประเมินมู่เถาเยาไว้สูงมาก
“…โชคดีจริงๆ ที่พี่กลับเมืองหลวงไปก่อน ไม่อย่างนั้นมาได้ยินปู่พูดแบบนี้ เขาคงได้เกิดสงสัยในตัวเองขึ้นมาจริงๆ”
ก็ฟังที่ปู่พูดเข้าสิ อย่างกับว่าซาลาเปาน้อยเป็นเขาที่คลอดออกมาเองอย่างไรอย่างนั้น!
เห็นได้ชัดว่าหน้าของซาลาเปาน้อยทั้งเย็นชาและไม่รับแขก ปู่กับย่าชอบเธอมากถึงขนาดนี้ได้ยังไง
ข้อดีเพียงหนึ่งเดียวที่เธอมี เห็นจะเป็นกลิ่นอายรอบตัวที่ทำให้ผู้คนรู้สึกสบายตัวเมื่อเข้าใกล้ ฉลาดนิดหน่อย เก่งเรื่องวรยุทธอีกนิดหน่อย และก็น่ารักนิดหน่อย…นอกจากนั้นดูเหมือนจะไม่มีข้อดีอะไรเลย
เขากล้าเอาความงามของตัวเองเป็นประกัน ข้อดีทั้งหมดของเธอก็มีแค่จุดนี้เท่านั้น! หึ!
ย่าตี้ยกชาหอมกรุ่นขึ้นจิบ อดไม่ได้จึงถามออกไปว่า “อู๋เปียน หลานคุยอะไรกับเธอในห้องหนังสือตลอดทั้งบ่าย”
“แค่ถามเธอเล็กน้อยเกี่ยวกับสภาพร่างกายในปัจจุบันของผมและสมุนไพรที่ต้องใช้”
เขาเกือบจะพลาดท่าเสียหน้าต่อหน้ายัยซาลาเปาน้อย เรื่องนี้จะให้คนอื่นรู้ไม่ได้
ย่าตี้พยักหน้าด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “สีน้ำเงินกลั่นออกจากต้นครามแต่แก่กว่าต้นคราม เสี่ยวเถาเยาเก่งกว่าอาหยวนแล้วจริงๆ”
โรคที่แม้แต่หมอเทวดาที่คนทั้งโลกนับถือยังส่ายหัวอย่างไร้หนทาง แต่เธอกลับสามารถบอกปัญหาและหาวิธีการรักษาได้ เห็นได้ชัดว่าคำโอ้อวดของอาหยวนก่อนหน้านี้ไม่ได้พูดเกินจริงเลยสักนิด
“จริงสิ ปู่ครับ ย่าครับ เรื่องหาสมุนไพรน่ะ ยกให้ผมจัดการเองได้ไหม”
“อู๋เปียน หลานคิดจะใช้คนของตัวเองแล้วเหรอ”
ปู่ตี้พลันนึกถึงกองกำลังพิเศษที่หลานชายคนเล็กของเขาสร้างขึ้นมา ในนั้นมีคนประหลาดรวมอยู่ทุกประเภท แต่ละคนล้วนมีทักษะพิเศษเฉพาะตัว สามารถทำประโยชน์ให้กับประเทศได้มากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
แน่นอนว่าพวกเขาล้วนถูกยืมตัวไปหลังจ่ายเงินให้เจ้าหลานชายตัวดีทั้งนั้น
“อย่ากังวลไปเลยครับปู่ย่า ตราบใดที่มันมีอยู่จริงในโลกนี้ ไม่ว่ามันจะอยู่ที่ใดในโลก ผมจะหามันให้เจอ”
“แต่อย่าหักโหมมากเกินไปล่ะ” แววตาของย่าตี้เต็มไปด้วยความห่วงใย
“ผมจะไม่ทำให้ตัวเองต้องเหนื่อยครับ”
“ก็ได้ ถ้าหลานต้องการความช่วยเหลืออะไรก็บอกพ่อ ลุง พี่ใหญ่และพี่รองของหลาน”
ปู่ตี้พยักหน้า เพราะเขารู้ดีว่าหลานชายคนเล็กของเขานั้นมีความสามารถเพียงใด
ถึงร่างกายจะไม่เอื้ออำนวย แต่สมองเขาดีมาก! มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเขาเลยที่จะนั่งวางกลยุทธ์อยู่เบื้องหลัง!
ฝ่ายข้อมูลของประเทศล้วนอยู่ในมือของเขา
“ไม่จำเป็นหรอกครับปู่” ถ้าเขายังหาไม่เจออีก คนอื่นก็อย่าหวังว่าจะหาเจอ
“อู๋เปียน เสี่ยวเถาเยาจะรักษาหลานจนหายได้อย่างแน่นอน”
ย่าตี้มีลางสังหรณ์นี้ตั้งแต่เธอเห็นมู่เถาเยาครั้งแรก และมันก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนครั้งที่เธอได้พบกับอีกฝ่าย
เจ้าถุงนมเล็กๆ “พี่สาวดูอาเล็ก”
“รักษาฉัน ไม่ใช่ดูฉัน! สองคำนี้ต่างกัน!”
ตี้อู๋เปียนถูใบหน้าเล็กๆ อ้วนกลมของหลานชายอย่างไร้ความปรานีเหมือนถูแป้งซาลาเปา
เขารู้สึกอยู่เสมอว่าคำพูดของหลานชายตัวเล็กให้ความรู้สึกที่พิกลบางอย่างต่อเขา คล้ายจะมีความนัย
ถ้าจะดู ก็ต้องเป็นเขาสิที่คอยดูและปกครองเธอ!
เจ้าเด็กนี่สายตาย่ำแย่จริงๆ !