ตอนที่ 33 ถูกเสียงหัวเราะปลุกให้ตื่นจากฝัน
วันรุ่งขึ้น อ้ายโยวและเหยียนจื่อเย่าหิ้วกระเช้าและของขวัญห่อเล็กห่อใหญ่มากมายไปขอพบผู้อำนวยการโรงพยาบาลผิงคังที่ห้องทำงานของเขา โดยมีเสี่ยวเหยียนตัวน้อย ลูกชายของพวกเขานอนอยู่ในอ้อมแขน
เฉิงหรานพูดอย่างหมดหนทางว่า “โรงพยาบาลผิงคังไม่อนุญาตให้รับของขวัญส่วนตัวจากครอบครัวผู้ป่วย ในฐานะผู้อำนวยการผมต้องทำตัวเป็นแบบอย่าง”
เขามองว่าบุคคลเหล่านี้เป็นสมาชิกในครอบครัวของผู้ป่วย อย่างไรก็ตาม มีกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นมากเกินไป
“ผู้อำนวยการ เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาหาคุณ แต่เรามาเพื่อตามหาเด็กสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่ง” อ้ายโยวยิ้มไปทั้งใบหน้า
แม้ว่าสภาพเธอในตอนนี้จะดูเหนื่อยล้าและไม่ค่อยน่ามองเพราะเฝ้าจับตาดูลูกชายไม่กล้าหลับทั้งคืน แต่ความซาบซึ้งใจและความอ่อนโยนในดวงตาคู่นั้นทำให้ร่างกายของเธอเหมือนเปล่งแสงได้
เฉิงหรานใบหน้าแข็งทื่อ
หาสาวน้อย หามาจนถึงห้องทำงานของเขาเนี่ยนะ! เขาไม่ได้ขายเด็กสาวสักหน่อย!
“สาวน้อยคนไหนที่พวกคุณกำลังมองหาอยู่เหรอ”
เหยียนจื่อเย่าตอบว่า “เราไม่รู้จักชื่อของเธอหรอกครับ แต่หลายคนบอกว่าเคยเห็นเธอเดินอยู่กับลูกชายของคุณ”
ปฏิกิริยาแรกของเฉิงหรานคือลูกชายเขากำลังคบหาดูใจกับใครอยู่หรือเปล่า ช่างเชื้อไม่ทิ้งแถว เหมือนเขาสมัยหนุ่มๆ จริงๆ !
“ผู้อำนวยการเฉิง สาวน้อยคนนั้นเธอช่วยชีวิตลูกชายของฉันไว้เมื่อวานนี้ และเรามาที่นี่เพื่อขอบคุณเธอ” ใบหน้าที่งดงามของอ้ายโยวนั้นเหมือนกับดอกไม้ที่กำลังผลิบาน
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ช่วย’ เฉิงหรานก็เข้าใจทันทีว่าสาวน้อยตัวเล็กๆ ที่พวกเขาพูดถึงต้องเป็นศิษย์น้องหญิงเล็กของเขาอย่างแน่นอน
เฮ้อ เขาไม่ควรตั้งความหวังกับลูกชายของเขาสินะ! ถ้าไม่คาดหวัง คุณก็จะไม่ผิดหวัง!
อายุก็ปาไปยี่สิบห้าปีแล้วแต่ยังไม่มีแม้แต่รักแรก! ช่างน่าขายหน้าจริงๆ !
ย้อนกลับไปเมื่อปีนั้น ในวัยเท่านี้เขาก็ได้พบกับหลี่อวี้เสวี่ยสาวโรงเรียนสอนดนตรีที่อยู่ติดกัน และจากนั้นก็ขอเธอแต่งงานทันทีที่เขาเรียนจบ!
ไอ้เจ้าลูกชายไม่ได้ความ ไม่ได้รับสืบทอดอีคิวชั้นสูงของฉันไปเลยสักนิด!
น่าขายหน้า!
เหยียนจื่อเย่ามองไปที่เฉิงหรานที่ทำสีหน้ารังเกียจและเอ่ยเรียกเขาด้วยน้ำเสียงสับสนว่า “ท่านผู้อำนวยการ?”
เฉิงหรานกระแอมในลำคอ หันกรอบรูปบนโต๊ะทำงานไปให้พวกเขาดู ข้างในคือรูปถ่ายหมู่ที่มีสมาชิกครอบครัวสามคน อาจารย์ และศิษย์น้องหญิงเล็กของเขา
“ใช่สาวน้อยคนนี้หรือเปล่า” เหยียนจื่อเย่าและอ้ายโยวรู้สึกประหลาดใจมาก
“ผู้อำนวยการ เธอเป็นลูกสาวของคุณจริงๆ เหรอคะ!”
เฉิงหรานถอนหายใจ “เปล่าหรอก เธอเป็นศิษย์น้องหญิงเล็กของผม”
ถ้าเป็นลูกสาวของเขาก็ดีสิ! เขาและภรรยาคงจะถูกเสียงหัวเราะปลุกให้ตื่นจากฝัน!
เขาไม่เคยคิดเรื่องลูกสะใภ้ด้วยซ้ำ! ดูสภาพลูกชายของเขาก่อน มีสิ่งใดบ้างที่เจ้าลูกชายหัวทื่อคู่ควรกับเสี่ยวเยาเยา!!!
“…เช่นนั้นแล้ว เราจะหาเธอเจอได้อย่างไรเหรอคะ”
“เธอเป็นหมอ การช่วยชีวิตผู้คนคือสิ่งที่เธอควรกระทำ คุณไม่จำเป็นต้องใส่ใจ”
“ไม่ค่ะ นี่มันไม่ใช่การรักษา แต่มันคือการช่วยชีวิต เมื่อวานนี้เสี่ยวเหยียนลูกชายฉันเขาตกลงมาจากชั้นที่สิบห้าของตึก และคุณ…ศิษย์น้องหญิงเล็กของคุณช่วยรับตัวเขาไว้”
หวนนึกถึงฉากที่น่ากลัวเมื่อวานนี้ เลือดในร่างกายของอ้ายโยวก็พลุ่งพล่าน
เฉิงหรานลุกพรวดขึ้นทันที “ถ้าอย่างนั้น ศิษย์น้องหญิงเล็กของผมเธอได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า”
เขารู้ว่าด้วยทักษะวรยุทธของศิษย์น้องหญิงเล็กไม่ต้องพูดถึงการอุ้มเด็ก ต่อให้รับรถทั้งคันที่ตกลงมาก็เป็นเรื่องเล็กน้อย! แต่เขาก็ยังอดกังวลไม่ได้!
นี่คือจิตวิทยาของคนเป็นพ่อทั่วไปใช่ไหม
เหยียนจื่อเย่ารีบร้อนกล่าวว่า “ผู้อำนวยการเฉิงไม่ต้องกังวลไป ศิษย์น้องหญิงเล็กของคุณสบายดีครับ เพียงแต่เมื่อวานนี้อารมณ์ของพวกเราแปรปรวนมากเกินไป เลยลืมถามชื่อและหมายเลขโทรศัพท์ของผู้มีพระคุณเอาไว้…”
หัวใจที่ค้างเติ่งอยู่กลางอากาศของเฉิงหรานตกลงไปอยู่ในตำแหน่งเดิม
“พวกคุณไม่จำเป็นต้องใส่ใจจริงๆ อันที่จริงลูกชายของพวกคุณถูกศิษย์น้องหญิงเล็กของผมช่วยไว้ก็นับว่าเขามีวาสนา เธอไม่ใช่คนธรรมดา”
เฉิงหรานพูดโอ้อวดด้วยสีหน้าที่จริงจัง ไม่มีความอ่อนน้อมถ่อมตนเลยแม้แต่น้อย!
คนอื่นอาจไม่รู้ว่าศิษย์น้องหญิงเล็กของเขาทำความดีสั่งสมบุญกุศลไว้มากแค่ไหน แต่เขารู้ดีมาก!
เพราะอาจารย์มักจะโพสต์ภาพศิษย์น้องหญิงเล็กลงในกลุ่มศิษย์สืบทอดเพื่อโอ้อวดเป็นประจำ ต่อให้เขาไม่อยากรู้ ก็ยากที่จะไม่รู้!
ครอบครัวเหยียนเห็นด้วยกับคำพูดของเฉิงหราน
สาวน้อยที่มีความสามารถมากขนาดนี้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา
แม้ว่าพวกเขาจะวิ่งลงมาข้างล่างในตอนนั้น และไม่ได้เห็นกับตาว่าเด็กสาวรับลูกชายของพวกเขาไว้ได้อย่างไร แต่พวกเขาสามารถอนุมานได้จากการโอ้อวดของผู้คนรอบข้าง
เป็นความจริงที่ลูกชายของพวกเขามีวาสนาและได้รับโอกาสอันยิ่งใหญ่ แต่บุญคุณช่วยชีวิตถูกจดจำใส่ใจก็เป็นเรื่องที่สมควร!
คนโบราณกล่าวไว้ว่า น้ำหนึ่งหยดทดแทนดั่งมหาสมุทร
บุญคุณที่เกี่ยวข้องกับชีวิตคนแบบนี้ ไม่สามารถหักล้างได้ด้วยคำพูดสวยหรูไม่กี่คำและของขวัญไม่กี่ชิ้น!
จากนี้ไปสาวน้อยคนนั้นจะเป็นดั่งบิดามารดาผู้ให้ชีวิตของลูกชายพวกเขา!
รู้จักจดจำบุญคุณ ก็ต้องรู้จักทดแทนบุญคุณ!
“ผู้อำนวยการเฉิง เราแค่อยากขอบคุณศิษย์น้องหญิงเล็กของคุณ คุณช่วยนัดเธอออกมาพบเราได้ไหมคะ” อ้ายโยวร้อนใจ
เด็กสาวช่วยชีวิตลูกชายของเธอไว้ ก็เท่ากับช่วยชีวิตเธอด้วย รวมถึงสามีของเธอ ปู่ย่าตายายของเสี่ยวเหยียน รวมกันแล้วก็เป็นหลายชีวิต!
เหยียนจื่อเย่าผู้มีกลิ่นอายศิลปินลอยวนอยู่รอบตัว หัวใจตอนนี้ยังเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น ดังนั้นสีหน้าของเขาจึงซีดเผือด ดูโทรมยิ่งกว่าอ้ายโยวที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืนเสียอีก
หนึ่งเป็นเพราะความรู้สึกผิดอย่างท่วมท้นที่เกือบจะฆ่าลูกชายของตัวเอง สองคือกลัวว่าภรรยาของเขาจะขอหย่ากับเขาจริงๆ และสามคือกลัวว่าเขาจะไม่สามารถตอบแทนบุญคุณคนที่ช่วยชีวิตลูกชายเขาไว้ได้…
อารมณ์ที่หลากหลาย ผสมปนเปทำให้เขาดูเหม่อลอยและซึมเซา ความกลัวเข้ากัดกินจิตใจของเขา
เขาในตอนนี้ไม่หลงเหลือรัศมีของนักแต่งเพลงหนุ่มชื่อดังอีกต่อไป
“ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้พวกคุณเจอเธอหรอกนะ แต่ศิษย์น้องหญิงเล็กของผมคนนี้เธอมีความคิดเป็นของตัวเองตั้งแต่เด็ก ผมช่วยได้มากที่สุดคือโทรศัพท์ไปถามเธอว่าต้องการออกมาพบพวกคุณหรือไม่”
ศิษย์น้องหญิงเล็กมีความคิดเป็นของตัวเอง และแม้แต่อาจารย์ยังไม่กล้าก้าวก่ายสุ่มสี่สุ่มห้า นับประสาอะไรกับศิษย์พี่ใหญ่อย่างเขา
อ้ายโยวพูดอย่างกระวนกระวายว่า “เช่นนั้นโปรดช่วยเราลองโทรหาเธอดูก่อน”
เฉิงหรานดูเวลา จากนั้นก็เปิดตารางเรียนของศิษย์น้องหญิงเล็กเพื่อเปรียบเทียบและพูดว่า “คุณต้องรออีกสักครู่ เธอกำลังเรียนอยู่”
เหยียนจื่อเย่าร้อนใจขึ้นบ้างแล้ว “ผู้อำนวยการเฉิง ขอถามได้ไหมครับว่าศิษย์น้องหญิงเล็กของคุณชื่ออะไรและเธอเรียนอยู่ที่โรงเรียนไหน”
ถ้าหากว่าเป็นสถาบันดนตรี เขายังพอขอให้อาจารย์ใหญ่ช่วยดูแลเธอได้
“ศิษย์น้องหญิงเล็กของผมชื่อมู่เถาเยา เธอเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแพทย์เย่ว์ตู และก็เป็นลูกศิษย์ปิดสำนักของหมอเทวดาหยวนอาจารย์ของผม เธอเป็นคนที่มีความสามารถมาก มีพรสวรรค์สูงส่ง และตั้งใจทำงาน แม้ว่าเธอจะอายุเพียงสิบแปดปี แต่เธอก็เรียนได้คะแนนสูงกว่าผมมาก ใช่ เธอยังรับรักษาเฉพาะโรคที่รักษายากๆ ที่พวกเราทำได้เพียงกุมขมับอย่างจนปัญญาเท่านั้น”
เฉิงหรานเป็นเหมือนกับอาจารย์ของเขาที่ภาพลักษณ์ตัวเองเป็นอย่างไรไม่สำคัญ แต่ชอบโอ้อวดศิษย์น้องหญิงเล็กของเขาให้คนอื่นฟัง
อ้ายโยวและเหยียนจื่อเย่าไม่มีข้อสงสัยแม้แต่น้อย
พวกเขาใส่ตัวกรองหนาๆ เอาไว้ก่อนแล้ว
ทุกคนรู้ดีว่าผู้อำนวยการเฉิงเป็นลูกศิษย์คนแรกของหมอเทวดาหยวน ในเมื่อสาวน้อยคนนั้นก็เป็นลูกศิษย์ของหมอเทวดาหยวนเช่นกัน แถมยังเป็นลูกศิษย์ปิดสำนักคนสุดท้าย จะประสบความสำเร็จอย่างมากก็เป็นเรื่องปกติ!
ดังนั้นแม้ว่าเฉิงหรานจะบอกพวกเขาว่าศิษย์น้องหญิงเล็กของเขาเป็นนางฟ้าตัวน้อยที่ลงมาจากสวรรค์มายังโลกมนุษย์ พวกเขาก็ยังเชื่อ
เฉิงหรานพอใจมากกับทัศนคติของพวกเขา สีหน้าเขาจึงอบอุ่นดูเป็นกันเองขึ้นสองส่วน
“ผมเห็นว่าสีหน้าของคุณดูไม่ดีเลย ส่งลูกให้พ่อเขาอุ้มก่อนเถอะ ผมจะจับชีพจรให้”
อ้ายโยวปฏิเสธที่จะส่งลูกชายให้กับสามีของเธอ
เหยียนจื่อเย่าเศร้ามาก ภรรยาของเขาไม่ไว้ใจเขาอีกต่อไป
ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ เขาแตะต้องลูกชายไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
“ผู้อำนวยการเฉิง ภรรยาของผมมีสุขภาพที่ดีมาโดยตลอด เมื่อวานนี้เสี่ยวเหยียนเกือบจะประสบอุบัติเหตุ และเธอก็กระอักเลือดออกมาในคราวเดียว ศิษย์น้องหญิงเล็กของคุณบอกว่าให้เธอไปหายามากิน”
“อืม คุณสามี คุณไปซื้อสมุดบันทึกประวัติอาการป่วยมา คุณภรรยารบกวนวางมือลงบนหมอนรองชีพจรด้วย ผมจะจับชีพจรให้”
อ้ายโยวกอดลูกชายของเธอที่เพิ่งตื่นด้วยมือข้างหนึ่ง และวางมืออีกข้างลงบนหมอนชีพจรบนโต๊ะ
หลังจากที่เฉิงหรานจับชีพจรเสร็จ เขาก็หันศีรษะและรัวนิ้วบนแป้นพิมพ์เพื่อลงประวัติการรักษาและพิมพ์ใบสั่งยาออกมา
ยื่นใบสั่งยาให้เหยียนจื่อเย่า และรับสมุดบันทึกคนไข้ไป ลงมือกรอกข้อมูลด้วยมือของเขา
“คุณไปรับยา หลังจากกลับไปแล้วให้ต้มด้วยหม้อดินเผา ต้มจากน้ำสามชามให้เหลือชามเดียว ดื่มทุกวัน วันละครั้งเป็นเวลาติดต่อกันเจ็ดวัน โปรดจำไว้ว่ายาควรแช่น้ำไว้หนึ่งชั่วโมงก่อนที่จะต้ม แล้วจึงต้มด้วยไฟแรงสลับกับไฟอ่อนๆ เป็นเวลาครึ่งชั่วโมง”
“ผมจำไว้แล้ว ขอบคุณครับผู้อำนวยการ”
เหยียนจื่อเย่ารับใบสั่งยาและวิ่งไปรับยาทันที