ตอนที่ 2012 ขึ้นเกาะ
เหมือนจะใกล้แต่ไกล
เกาะที่อยู่เบื้องหน้าแม้จะดูเหมือนใกล้ แต่แท้จริงแล้วกลับอยู่ห่างไกลเป็นอย่างมาก หลังจากพวกเขาพยายามอยู่เป็นเวลาครึ่งชั่วโมงเศษ เกาะที่เคยเห็นเป็นจุดสีดําเล็กๆ ก็เริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ยิ่งเข้าใกล้เกาะมากขึ้นเท่าไหร่ คนที่มีระดับพลังบ่มเพาะที่อ่อนแอ ก็เริ่มมองเห็นสิ่งก่อสร้างที่อยู่เกาะชัดเจนขึ้น
“เกาะแห่งนี้ ไม่ได้อยู่ในแผนที่!” ฉินเหว่ยกล่าวออกมา
ในฐานะที่เป็นขุมอํานาจที่ทําการค้าระหว่างมหาสมุทร แน่นอนว่าพวกเขาต้องวาดแผนที่เดินทะเลเอาไว้ เผื่อว่าหากพบเจอภัยพิบัติตามธรรมชาติเช่นครั้งนี้ พวกเขาจะได้หลบไปยังเกาะที่ใกล้ที่สุด เพื่อที่จะได้รอคอยความช่วยเหลือได้
“ข้าได้ยินมาว่าจอมยุทธที่เก็บตัวฝึกตนอยู่ในมหาสมุทรแห่งนี้นั้นโหดเหี้ยมเป็นอย่างมาก แถมยังมีงานอดิเรกคือการกินเนื้อมนุษย์เป็นๆ!” ใครบางคนก็เอ่ยขึ้นมา
“เหอะ จู่ๆ ก็ยกข่าวลือแบบนั้นมาพูดทําไม” ใครอีกคนกล่าวตอบด้วยท่าทางเหยียดหยาม
“นั่นก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ สิ่งมีชีวิตในท้องมหาสมุทรนี้เป็นพวกไม่มีสติปัญญา เพราะ นก็เป็นไปได้ว่าจอมยุทธที่ฝึกตนอยู่ในเกาะแห่งนี้ ก็น่าจะไม่มีสติปัญญาด้วยเหมือนกัน” ใครสักคนโต้กลับ
“เลิกเพ้อเจอกันได้แล้ว!” ฉินเหว่ยเค้นเสียง ในหมู่สามสิบสี่คนที่อยู่ที่นี่ เขาเป็นตัวตนระดับตําหนักอมตะเพียงคนเดียว เพราะงั้นเขาจึงมีสิทธิ์ออกคําสั่ง โดยที่ไม่มีใครกล้าขัดขืน
“จอมยุทธที่มาอยู่ในมหาสมุทรเช่นนี้ ย่อมต้องเป็นคนที่เคยอยู่ในโลกวรยุทธแบบพวกเรามาก่อน เหตุผลที่เขาตัดสินใจแยกตัวออกมา อาจจะเป็นไปได้ทั้งถูกศัตรูไล่ล่าหรือมาหาสมบัติ”
“สมบัติ!” เมื่อได้ยินคํานี้ ใครหลายคนก็หูผึ่งทันที จิตใจของพวกเขาสึกเหิมราวกับลืมไปแล้ว ว่าพวกเขากําลังหลงอยู่ในเขตมหาสมุทรไร้พรมแดน และสิ่งสําคัญที่สุดคือการกลับขึ้นฝั่งไปให้ได้
“มีตํานานเล่าอยู่เหมือนกันว่า ในเขตมหาสมุทรไร้พรมแดนมีสมบัติล้ําค่าถูกซ่อนเอาไว้อยู่” ฉินเหว่ยกล่าวออกมาอย่างครุมเครือและตัดบททิ้งไปดื้อๆ
ใครหลายคนรู้สึกอยากรู้อยากเห็น แต่มีรึที่พวกเขาจะกล้าบังคับให้ตัวตนระดับตําหนักอมตะให้พูดต่อ?
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใกล้เกาะเพียงแค่เอื้อม
เกาะแห่งนี้มีเส้นฝั่งทะเลยาวถึงหนึ่งร้อยไมล์ แต่ท่ามกลางเขตมหาสมุทรไร้พรมแดน เกาะแห่งนี้นับว่าเป็นเพียงเกาะเล็กๆ เท่านั้น เพราะเกาะบางเกาะมีขนาดกว้างใหญ่แทบจะเทียบได้กับอาณาเขตสวรรค์อาณาเขตหนึ่ง
เกาะที่มีขนาดเล็กกว่าดวงดาว ไม่แม้แต่จะมีคุณสมบัติเรียกว่าเกาะ และควรเรียกว่าโขดหินเสียด้วยซ้ํา
“ไม่น่าแปลกใจที่ทําไมเกาะนี้อยู่ห่างจากทางเดินทะเลไม่มา แต่ก็ไม่ถูกค้นพบในช่วงระยะเวลาหนึ่งร้อยล้านปีนี้ ที่แท้มันก็มีขนาดเล็กเป็นอย่างมากนี่เอง” ฉินเหว่ยพยักหน้า
“ครืนน” คลื่นมหาสมุทรขัดชากเรือของพวกเขาขึ้นสู่ชายฝั่ง สภาพของใครหลายคนในตอนนี้เหน็ดเหนื่อยมาก
ในตอนแรกที่ต้องพยายามกระตุ้นค่ายกลอาคม ปราณก่อเกิดของทุกคนก็ถูกเผาผลาญไปแทบจะหมดแล้ว พอหลังจากนั้นก็ยังไม่มีเวลาให้ฟื้นฟูพลังอีก
เพราะงั้นเมื่อขึ้นฝั่งได้สําเร็จ ทุกคนจึงรู้สึกผ่อนคลายและปลอดภัย
ฉินเหว่ยคือตัวนระดับตําหนักอมตะ เพราะงั้นสภาพของเขาจึงดีกว่าคนอื่นๆ มาก เขาทะยานร่างขึ้นสูงและกวาดสายตามองเกาะจากด้านบน เพียงรัศมีความกว้างไม่กี่ร้อยไมล์ สําหรับตัวตนระดับตําหนักอมตะ แค่พริบตาเดียวก็กวาดมองได้ทั่วถึง
เขาดิ่งร่างกลับลงมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะขมวดคิ้วและกล่าว “คนของเกาะนี้ กําลังเดินมา!”
หลายคนที่กําลังนอนแผ่อยู่บนชายฝั่งจิตใจสั่นสะท้านทันที คนที่อยู่บนเกาะนี้จะมีทัศนคติแบบใดกัน? ถ้าหากพลังของอีกฝ่ายอ่อนแอกว่า พวกเขาก็ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะคิดกับพวกเขาอย่างไร
แต่ถ้าหากพลังของอีกฝ่ายทัดเทียมกัน หรือแข็งแกร่งกว่าล่ะ?
พวกเขาคงทําได้เพียงภาวนาไม่ให้อีกฝ่ายมีเจตนาร้ายเพียงอย่างเดียว
เกาะแห่งนี้มีขนาดเล็กมาก เพราะงั้นเวลาผ่านไปไม่นานคนสามคนก็ปรากฏตัวจากท้องฟ้า
ทั้งสามคนเป็นรุ่นเยาว์ สองเป็นบุรุษและหนึ่งเป็นสตรี บุรุษสองคนมีใบหน้าหล่อเหลา โดยที่มีลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์แตกต่างกัน หนึ่งคนหล่อแบบงดงาม ในขณะที่อีกคนหล่อแบบดุดัน ส่วนทางด้านสตรีเองก็มีรูปลักษณ์ที่ทรงเสน่ห์น่าหลงใหล
“พวกท่านมาที่เกาะของข้าด้วยเหตุอันใด?” ชายที่มีใบหน้าหล่อเหลางดงามกล่าว
“พวกข้าถูกคลื่นยักษ์พัดพามาที่นี่ ข้าขอให้พวกเจ้าที่เป็นเจ้าของเกาะ ยอมให้พวกข้าอาศัยอยู่ที่นี่สักพักได้หรือไม่ไม่ เมื่อใดที่ใช้ต้นไม้สร้างเรือเสร็จ พวกข้าจะออกไปในทันที” ฉินเหว่ยเอ่ยกล่าว
หลิงฮันกวาดสายตามอง พร้อมกันดวงตาได้ส่องประกายด้วยความสงสัย
เขามีความรู้สึกว่ารุ่นเยาว์สามคนนี้แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แม้จะไม่แข็งแกร่งถึงขนาดเป็นศัตรูของเขาได้ แต่ก็มีพลังต่อสู้อยู่ในช่วงของระดับตัดวิญญาณปฐพี แต่ที่น่าแปลกก็คือเขาไม่สามารถรับรู้ถึงระดับพลังบ่มเพาะของทั้งสามคนได้
หากอีกฝ่ายมีระดับพลังที่สูงกว่า การที่หลิงฮันจะระบุระดับพลังของอีกฝ่ายไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ที่ไม่ปกติก็คือเขารู้สึกถึงพลังระดับแบ่งแยกวิญญาณ หรือโลกียนิพพานจากทั้งสามคนไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
มันเป็นความรู้สึกราวกับว่า ทั้งสามคนนี้ไม่ใช่ผู้ฝึกตน
แต่เรื่องแบบนั้นไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด เพราะสัญชาตญาณบอกเขาว่าทั้งสามคนไม่ได้อ่อนแอ
แปลก… แปลกมาก
“โอ้ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” ชายหน้าตางดงามพยักหน้า “ถ้างั้นข้าขอเป็นตัวแทนของอาจารย์ในการต้อนรับพวกท่านก็แล้วกัน เชิญพวกท่านไปพักผ่อนให้ปราสาทก่อน แล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากันก็ได้”
“ขอบคุณมาก” ฉินเหว่ยพยักหน้า
“ข้ามีชื่อว่าเซียวจวิ้น” รุ่นเยาว์ใบหน้างดงามกล่าวแนะนําตัว “ทางนี้คือศิษย์น้องของข้า หลัวเหอ ส่วนทางนี้คือศิษย์น้องหญิงของข้า และเป็นบุตรสาวของท่านอาจารย์ หลันรั่วจือ”
ฉินเหว่ยเองก็แนะนําตนเอง และเล่าถึงเหตุการณ์คลื่นยักษ์ถล่ม เซียวจวิ้นประหลาดใจเป็นอย่างมาก และบอกว่าเหตุการณ์คลื่นยักษ์ถล่มเช่นนั้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก เพราะตัวเขาเองก็เคยพบเห็นไม่กี่ครั้งในช่วงอายุหนึ่งล้านปีนี้
เรื่องทําให้ใครหลายคนตกตะลึง รุ่นเยาว์ทั้งสามคนตรงหน้าเห็นได้ชัดว่ามีพลังที่แข็งแกร่งมาก แต่กลับบ่มเพาะพลังมาเพียงล้านปีเท่านั้นงั้นรึ?
น่าเหลือเชื่อ และช่างน่าอัศจรรย์นัก
“ข้าขอถามได้หรือไม่ ว่าพวกเจ้าทั้งสามมีพลังบ่มเพาะระดับใด?” หลิงฮันเอ่ยถาม ความสงสัยนี้กัดกินอยู่ในจิตใจของเขา จนทนไม่ไหวและต้องถามออกไป
“หลิงฮัน เจ้าเสียมารยาทแบบนั้นได้อย่างไร!” ใครบางคนรีบตําหนิทันที อีกฝ่ายอุตส่าห์ต้อนรับอย่างเป็นมิตรแท้ๆ แต่เจ้ากลับถามเรื่องส่วนตัวเช่นนั้นออกไปงั้น ถ้าหากพวกเขาไม่พอใจแล้วขับไล่พวกเราล่ะจะทําอย่างไร?
“ใช่แล้ว เจ้าถามคําถามเสียมารยาทเช่นนั้นออกไปได้อย่างไร?” ใครอีกคนกล่าวเสริม
“สหายทั้งสาม คนผู้นี้เป็นเพียงคนที่พวกเราช่วยเหลือให้ขึ้นเรือมาด้วยเท่านั้น เขาไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับพวกเราแม้แต่น้อย” ใครบางคนรีบแสดงจุดยืนกับหลิงฮัน