ตอนที่ 2013 การเชื้อเชิญท้าประลองจากคนบนเกาะ
หลิงฮันส่ายหัวหน่ายใจ
ตอนที่พบเจอปัญหาในท้องมหาสมุทร ทุกคนยังช่วยกันผ่าฟันความยากลําบากมาด้วยกันแท้ๆ แต่ตอนนี้เมื่อรู้ว่าตนเองปลอดภัยแล้ว ใครหลายคนก็เริ่มเผยธาตุแท้ออกมา
เอาเถอะ… ในเมื่อพวกเจ้าไม่อยากลงเรือลําเดียวกันข้า พวกเจ้าจะเป็นตายอย่างไรข้าก็ขอไม่สนใจแล้วกัน
หลิงฮันสะบัดมือและยิ้ม “ในเมื่อพวกเจ้าไม่คิดจะเป็นพวกเดียวกัน ก็ตามใจพวกเจ้า”
“หลิงฮัน เจ้าช่างเป็นคนเนรคุณอะไรเช่นนี้!ใครบางคนตําหนิ “ผู้อาวุโสฉินอุตส่าห์ช่วยเหลือเจ้าให้ขึ้นเรือด้วยแท้ๆ แต่เจ้ากลับลืมบุญคุณได้อย่างไร การกระทําของเจ้าไม่ได้ต่างอะไรกับ!”
“ใช่แล้ว เจ้ามันไร้ความเป็นมนุษย์”
“น่าอับอายนักที่ข้าเคยนับเจ้าเป็นสหาย”
ทุกคนดล่าวคําตําหนิออกมา แม้แต่ฉินเหว่ยเองก็เผยสีหน้ารังเกียจเช่นกัน
หลิงฮันตกตะลึง เป็นความจริงที่ฉินเหว่ยเป็นคนช่วยเหลือเขา แต่เขาก็ไม่ได้ทําตัวเป็นแขกอยู่เฉยๆ และช่วยคงสภาพรูปแบบอาคมเพื่อเติมพลังงานให้กับเรือทุกวัน
ซึ่งแค่นี้ก็นับว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมแล้ว
นอกจากนั้นในตอนนี้คลื่นยักษ์ถาโถมเข้าใส่ เขาเองก็ร่วมมือด้วยอย่างสุดความสามารถไม่ใช่รึไงกัน?
กล่าวได้ว่าหากเขาไม่พยายามอย่างเต็มที่ บางทีเรือรบอาจจะไม่สามารถต้านทานคลื่นยักษ์ในระลอกหลังๆได้ และหลายคนในที่นี้ก็คงไม่มีโอกาสได้มาตั้งคําถาม และกล่าวตําหนิเขาอยู่แบบนี้นี
หลิงฮันนั้นมีหอคอยทมิฬอยู่ในครอบครอง ซึ่งในสถานการณ์เช่นนั้น เขาไม่จําเป็นต้องกังวลว่าชีวิตของตนเองจะเป็นอัตราย
หลิงฮันไม่กล่าวตอบโต้อีกต่อไป เนื่องจากเขาคร้านจะลดตัวเองลงไปต่ําเหมือนกับคนเหล่านี้ และตัดสินใจตัดความสัมพันธ์กับคนเหล่านี้ ทั้งนี้ไปทุกคนจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับเขาอีก
“ฮ่าๆๆ ไม่เป็นอะไรข้าไม่ถือ” เซียวจวิ้นยิ้ม “อาจารย์ของข้าได้รับสืบทอดพลังอํานาจแห่งยุคบรรพกาลมา มันคือทักษะบ่มเพาะน่าอัศจรรย์ที่เป็นวิถีที่แตกต่างกับพวกเจ้า เพราะงั้นพวกเจ้าจึงไม่สามารถระบุระดับพลังของข้าได้”
พลังอํานาจแห่งยุคบรรพกาล!
คําพูดนี้ทําให้จิตใจของทุกคนตื่นเต้นขึ้นมาทันที และนึกถึงเรื่องสมบัติอันล้ําค่าของเขตมหาสมุทรไร้พรมแดน ที่ฉินเหว่ยเคยกล่าวเอาไว้
“พวกเราสามคน… มีระดับพลังที่เทียบเท่ากับระดับตัดวิญญาณหยาง” หลัวเหอเอ่ยแทรก
“โอ้!” ทุกคนพยักหน้า
จิตใจของหลิงฮันสั่นสะท้าน ระดับตัดวิญญาณหยางงั้นรึ?
จากสัญชาตญาณของเขา พลังต่อสู้ของทั้งสามคนจะต้องอยู่ในช่วงของ ระดับตัดวิญญาณปฐพีเป็นอย่างน้อย ซึ่งเขาเองก็มั่นใจในสัญชาตญาณของตนเองมากด้วย
หากที่อีกฝ่ายกล่าวเป็นความจริง ความเป็นไปก็มีอยู่อย่างเดียว
คือทั้งสามคนมีศักยภาพอยู่ในระดับจักรพรรดิ
จะบอกว่าบนเกาะเล็กๆ แห่งนี้ มีจักรพรรดิถือกําเนิดขึ้นพร้อมกันสามคนเลย?
เรื่องแบบนั้นเป็นไปได้ด้วยงั้นรึ?
“เอาล่ะ เชิญทุกคนเดินมาทางนี้” พวกเซียวจวิ้นทั้งสามคนจงใจลดความเร็วฝีเท้าลง เพื่อให้ทุกคนได้มีเวลามองทิวทัศน์โดยรอบระหว่างทาง ต้นไม้บนเกาะแห่งนี้ไม่ได้สูงมาก แต่กลับมีสีสันหลากหลาย ทําให้ดูงดงามเป็นอย่างมาก
พวกเขาใช้เวลาเดินไปเกือบครึ่งชั่วมอง ก่อนจะมาถึงสิ่งก่อสร้างที่เห็นก่อนหน้านี้
สิ่งก่อสร้างที่ว่าคือปราสาทเก่าแก่ ที่ราวกับผ่านพ้นกาลเวลามาอย่างยาวนาน และบนกําแพงของปราสาทถูกปกคลุมไปด้วยตะไคร่มากมาย
“เชิญทุกคน”
ทุกคนคิดว่าปราสาทแห่งนี้เป็นที่พักอาศัยของพวกเซียวจจิ้นสามคนและอาจารย์เท่านั้น แต่ใครจะไปคาดคิดว่าภายในปราสาทกลับมาผู้คนอยู่มากมาย คนที่อยู่ที่นี่มีทั้งบุรุษ สตรี คนชายและหนุ่มสาว ซึ่งไม่รู้ว่าพวกเขาเหล่านี้แข็งแกร่งหรืออ่อนแอ เนื่องจากไม่สามารถมองเห็นระดับพลังของคนเหล่านี้ได้
แม้จะรู้สึกแปลกอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีใครติดใจอะไร เพราะเชียวจขึ้นเคยกล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่าอาจารย์ของเขาได้รับทักษะบ่มเพาะบรรพกาลมา พวกเขาทั่วไปจึงไม่สามารถมองระดับพลังของคนเหล่านี้ได้
หลิงฮันยิ่งรู้สึกสงสัยมากขึ้นไปอีก เพราะในตอนที่เดินผ่านประตูปราสาทเข้ามา เขาได้เห็นรูปปั้นหินที่ตั้งอยู่สองด้าน
รูปปั้นทั้งสองนี้มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ แต่ที่แตกต่างคือพวกมันมีปีกสองปีก มีอุ้งเท้าเหมือนวัว กระทิง มีหางยาวงอกออกมาจากด้านหลัง และมีเขาสองเขา สิ่งมีชีวิตเช่นนี้ หลิงฮันไม่เคยพบเห็นมาก่อน
ผู้คนในปราสาทเก่าแก่มีท่าทางครึกครื้นเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นพวกหลิงฮันเข้ามาในปราสาท พวกเขาก็ส่งเสียงโห่ร้องดีใจ ในขณะที่บางคนถึงขนาดนําอาหาร และสุราชั้นเลิศออกมา เพื่อเป็นการต้อนรับ
“ฮ่าๆๆ พวกท่านทุกคนเป็นแขกของเรา เชิญทําตัวได้ตามสบาย” เซียวจวิ้นกล่าว “ตอนนี้อาจารย์กําลังเก็บตัวฝึกตนอยู่ ซึ่งนานๆทีถึงจะปรากฏตัวสักครั้ง หลังจากที่แจ้งเรื่องของพวกท่านไปแล้ว บางทีอาจารย์อาจจะออกมาต้อนรับด้วยก็เป็นได้”
ทุกคนพยักหน้า แต่ก็ไม่กล้าประมาท ใครหลายคนในปราสาทแห่งนี้มีออร่าที่ทรงพลังเป็นอย่างมาก แม้จะไม่สามารถระบุระดับพลังของอีกฝ่าย แต่ความแข็งแกร่งที่สัมผัสได้ก็สมควรเทียบเท่าได้กับระดับตําหนักอมตะ
ทุกคนนั่งลงพักผ่อน เซียวจวิ้นได้กล่าวเอาไว้ว่าทุกอย่างในเกาะแห่งนี้เป็นของอาจารย์ของเขา ซึ่งหากไม่ได้รับอนุญาตเสียก่อน ก็จะไม่สามารถถอนหญ้าหรือตัดต้นไม้ไปได้แม้แต่ต้นเดียว
เพราะงั้นทุกคนจึงยังไม่สามารถสร้างเรือได้ในทันที และต้องรอคําอนุญาตของเจ้าของเกาะเสียก่อน
เวลาผ่านไปสองสามวัน พวกเซียวจวิ้นสามคนก็ปรากฏตัวอีกครั้ง และเชิญชวนเหล่าคนนอกทุกคนให้ตามไป
ในเมื่อเจ้าที่เป็นคนเอ่ยปากเชิญชวน และพวกเขาเป็นฝ่ายมาขอความช่วยเหลือ แน่นอนว่าทุกคนจึงไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ ทุกคนเดินตามทั้งสามคนมายังลานประลองยุทธของปราสาท
ที่นี่ไม่ได้มีแค่พวกเซียวจขึ้นเท่านั้น แต่คนในเกาะคนอื่นๆ เองก็อยู่ด้วย
“น้องชายเซียว เจ้าของเกาะว่าอย่างไรบ้าง?” ฉินเหวยเอ่ยถาม เขาคือคนที่มีระดับพลังสูงสุดในหมู่ผู้รอดชีวิต และเป็นคนของตระกูลฉิน เพราะงั้นเขาจึงมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบพาทุกคนกลับขึ้นฝั่งไปให้ได้
เซียวจวิ้นส่ายหัวและกล่าว “ผู้อาวุโสฉินช่างใจร้อนนัก ตอนนี้อาจารย์กําลังศึกษาทักษะที่ทรงพลังอยู่ หากไม่ได้อนุญาตจากเขา พวกเราก็ไม่กล้าเข้าไปรบกวน เพราะงั้นข้าคงต้องขอให้ผู้อาวุโสฉินรอคอยไปอีกสักพัก”
ฉินเหว่ยทําได้เพียงนิ่งเงียบ และรู้สึกเป็นกังวล
“น้องชายเซียว ถ้างั้นเหตุผลที่เชิญเรามาที่นี่ในวันนี้มีเรื่องอันใดงั้นรึ?” ชายอารมณ์ร้อนผู้หนึ่งรีบเอ่ยถาม
หลัวเหอยิ้มและเอ่ยตอบแทน “ทุกคนที่นี่ล้วนแต่เป็นผู้ฝึกตน ซึ่งข้าและคนอื่นนั้นอาศัยอยู่ในมหาสมุทรแห่งนี้กันเป็นเวลานานแล้ว เพราะงั้นพวกข้าเลยอย่างแลกเปลี่ยนวรยุทธกับพวกท่าน เพื่อให้รับรู้จุดอ่อนของตนเอง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใครหลายคนก็เผยสีหน้าภาคภูมิใจขึ้นมาทันที
จริงอยู่ที่คนบนเกาะนี้ได้รับการฝึกฝนทักษะบ่มเพาะบรรพกาล แต่เพียงแค่ทักษะบ่มเพาะบรรพกาลย่อมไม่เพียงพอ เพราะพลังต่อสู้ของจอมยุทธนั้นมีความเกี่ยวพันไปถึง ปรสบการณ์การต่อสู้และพรสวรรค์
“ข้าคือเฟิงตัง พลังบ่มเพาะของข้าน่าจะเทียบเท่ากับระดับสี่นิพพาน ใครต้องการจะแลกเปลี่ยนวรยุทธกับข้าบ้าง?” รุ่นเยาว์ผู้หนึ่งกระโดดออกมา
“ข้าเอง!” ใครบางคนทางฝั่งของฉินเหว่ยเองก็กระโดดตามออกไป เพียงแต่คนผู้นี้ไม่ได้มีรูปลักษณ์เยาว์วัย แต่เป็นชายวัยกลางคน ที่ดูมีอายุราวๆ ห้าสิบปีต้นๆ
แต่สําหรับดินแดนแห่งเซียนแล้วอายุไม่ใช่สิ่งสําคัญ ตราบใดที่สามารถรอดพ้นจากบาปเคราะห์แห่งสวรรค์ได้
“โปรดชี้แนะด้วย!” หลังจากเพิ่งตั้งผสานมือคํานับ เขาก็พุ่งทะยานจู่โจมทันที
“ตูม”
ร่างสองร่างเข้าปะทะกัน โดยที่พริบตาเดียวก็เหลือเพียงแค่เฟิงตั้งคนเดียวที่ยังยืนอยู่
เป็นชัยชนะในเสี้ยววินาที