ตอนที่ 5 แปลกหน้า
‘สหายตำรวจ ขอถามหน่อย ภรรยาผมชื่อว่าอะไรนะ’
เพียงแค่มีความคิดนี้ผุดอยู่ในใจครู่หนึ่งและโจวเจ๋อก็ไม่ได้โง่ถึงขั้นนี้ด้วย แต่เขาก็ยังไม่แน่ใจว่า ‘ภรรยา’ ของตัวเองคนนี้ชื่อจริงว่าอะไร ยุคสมัยนี้น้อยคนนักจะใช้ชื่อจริงของตัวเองตั้งชื่อบัญชี QQ และวีแชท
ในทางกลับกันชายอ้วนพุงพลุ้ยเหลือบมองโจวเจ๋อด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย ไอ้น้อง นายไม่มีน้ำใสใจจริงเลยนี่นา คุยกันไว้ซะดิบดีว่าจะเด็ดปีกนางฟ้าด้วยกันไม่ใช่เหรอ
โจวเจ๋อเหลือบมองกลับไปอย่างช่วยไม่ได้ ฉันเองก็แปลกใจเหมือนกัน
ชายอ้วนพุงพลุ้ยก้มหน้าลงพลางถอนหายใจและพึมพำเสียงเบา “เกี๊ยวที่ฉันทำอร่อยมากนะ”
“ไปกันเถอะ”
‘ภรรยา’ พูดอย่างเย็นชา จากนั้นตัวเองก็หันหลังเดินออกไป
โจวเจ๋อทำได้แค่เดินตามออกไป
เธอขับรถสปอร์ตยี่ห้อคาเยนน์ และตรงไปขึ้นรถในทันที
โจวเจ๋อเปิดประตูรถแล้วขึ้นไปนั่งที่นั่งข้างคนขับ
บอกตามตรงว่ารู้สึกอึดอัดนิดหน่อย
ถ้าหากว่าสวีเล่อดวงซวยคนนั้นมีชีวิตครอบครัวและคู่สามีภรรยาของเขาแบบปกติทั่วไปสักหน่อย อย่างนั้นตัวเองก็ไม่ถึงกับต้องอึดอัดอะไรขนาดนี้ เมื่อเผชิญหน้ากับความห่วงใยของภรรยาแสนหวาน คงคิดหาข้ออ้างไปอธิบาย อย่างเช่น มีอาการวิงเวียนศีรษะดูราวกับว่าจะจำอะไรไม่ค่อยได้เทือกนี้
แต่หญิงสาวคนนี้เหมือนพกเทพธิดาภูเขาน้ำแข็งมาด้วยอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนจะไม่ค่อยสนใจตัวเองสักเท่าไร ถึงจะรับเขาออกมาจากโรงพักก็เหมือนเป็นแค่กิจวัตรประจำวันทั่วไป
สุนัขบ้านฉันหลงทาง ร.ป.ภ.หาเจอ แล้วฉันก็ไปรับมันกลับมา
เป็นความรู้สึกแบบนี้ชัดๆ
หญิงสาวสตาร์ทรถแล้ว ที่จริงแล้วเธอค่อนข้างอายุน้อย น่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับตัวเอง (สวีเล่อ) และอายุน้อยกว่าโจวเจ๋อคนเดิมอยู่หลายปีทีเดียว
เมื่อรถทะยานขึ้นไปบนทางยกระดับ ในที่สุดหญิงสาวก็เอ่ยปากทำลายความเงียบ
“เป็นอะไรไหม”
“อ๋อ ผมสบายดี” โจวเจ๋อเอ่ยตอบ
จากนั้นก็เงียบลงอีกครั้ง
หญิงสาวรู้สึกว่าวันนี้สามีของตัวเองดูเงียบลงไปเล็กน้อย แต่เธอก็ไม่ได้ตั้งใจจะซักไซ้หาสาเหตุ
ในตอนนี้เอง โทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น เธอกดสปีกเกอร์โฟน และเสียงปลายสายในโทรศัพท์ก็ดังออกมาทางเครื่องเสียงของรถยนต์
“หมอหลินคะ เมื่อสักครู่เกิดอุบัติเหตุรถโรงเรียนชนกันที่ถนนชิงเหนียนสายกลาง ตอนนี้ผู้บาดเจ็บกำลังจะถูกนำส่งมาที่โรงพยาบาลของเรา หัวหน้าสั่งให้คุณรีบกลับมาด่วนค่ะ”
โจวเจ๋ออึ้งไปเล็กน้อย ที่แท้ภรรยาของตัวเองก็เป็นแพทย์คนหนึ่ง
แล้วก็ ที่แท้ภรรยาตัวเองนั้นแซ่ ‘หลิน’
“ฉันทราบแล้ว จะกลับไปเดี๋ยวนี้แหละ” หญิงสาววางสายโทรศัพท์ ขับตรงไปข้างหน้าแล้วลงจากทางยกระดับทันที จากนั้นก็ตีโค้งที่สี่แยกไฟแดงและขับเลี้ยวไปทางโรงพยาบาล
เธอไม่ได้ถามโจวเจ๋อว่าจะให้ไปส่งที่บ้านก่อนหรือให้โจวเจ๋อลงจากรถก่อนแล้วโบกรถกลับไปเอง แต่กลับขับตรงเข้าไปที่ลานจอดรถของโรงพยาบาลประชาชนเขตฉงชวนเลย
บอกตามตรง โจวเจ๋อกลัวว่าเธอจะให้ตัวเองลงจากรถแล้วโบกรถกลับบ้านไปจริงๆ พลางคิดว่าถึงตอนนั้นตัวเองจะต้องยื่นหน้าเข้าไปถาม
‘คุณภรรยาครับ บ้านของเราอยู่ที่ไหนนะ ผมลืมแล้ว’
รู้สึกว่ามันโง่มาก
หญิงสาวลงจากรถ โจวเจ๋อเองก็ลงจากรถเช่นกัน เมื่อหญิงสาวเข้าไปในตึกโรงพยาบาลและขึ้นลิฟต์ไป โจวเจ๋อก็ตามเข้าไปในลิฟต์ด้วย หญิงสาวเข้าไปในห้องเปลี่ยนชุดผู้หญิง โจวเจ๋อนั้น…
โจวเจ๋อนั่งลงบนม้านั่งริมทางเดิน
และในขณะนี้เอง ผู้ป่วยอุบัติเหตุรถยนต์ชุดแรกถูกนำตัวเข้ามา บาดเจ็บสาหัสหนึ่งราย นอกจากนั้นยังมีเด็กอีกห้ารายที่บาดเจ็บไม่น้อยเลย
เมื่อมองเห็น ‘ภรรยา’ ตัวเองเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อกาวน์สีขาวออกมาแล้วยุ่งอยู่กับการกู้ชีพ
โจวเจ๋อทำได้เพียงอยู่เฉยๆ นิ่งๆ บนม้านั่ง
ความรู้สึกนี้ดูเหมือนแม่มาทำงานแล้วพาลูกชายมาด้วยและตอนที่แม่ทำงานอยู่ ลูกชายก็มองอยู่ข้างๆ เล่นคนเดียว
แต่ว่า กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อที่เป็นเอกลักษณ์ของโรงพยาบาล รวมไปถึงความรู้สึกร้อนอบอ้าวของเครื่องปรับอากาศส่วนกลาง ช่างทำให้หวนนึกถึงอดีตและความรู้สึกที่คุ้นเคย
ด้านหน้าเป็นห้องฉุกเฉินและดูเหมือนว่าจะเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่บาดเจ็บสาหัสจนอันตรายถึงชีวิต
ที่เกิดเหตุเป็นรถโรงเรียนอนุบาล มองเห็นเด็กๆ ตะโกนและร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดบนเตียงผ่าตัด ฉากนี้บีบหัวใจจริงๆ
โจวเจ๋อเม้มริมฝีปาก ถ้าตอนนี้เป็นเมื่อก่อนละก็ ตัวเองจะต้องเปลี่ยนชุดและเข้าร่วมกู้ชีพด้วยแล้ว เขาเป็นศัลยแพทย์รุ่นใหม่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในทงเฉิง แต่ตอนนี้ตัวเองทำได้แค่เป็นผู้ชมเท่านั้น
ความรู้สึกนี้ อึดอัดเอามากๆ แต่เขาทำได้เพียงอดทนเอาไว้ อีกทั้งโรงพยาบาลประชาชนแห่งนี้ก็นับว่าเป็นโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในทงเฉิงอีกด้วย จำนวนของแพทย์และคุณภาพนั้นไม่ต้องสงสัยเลย พวกเขาน่าจะรับมือได้
ไม่นานนัก เด็กชุดต่อไปก็ถูกนำส่งเข้ามาอีก อาการบาดเจ็บของพวกเขาค่อนข้างน้อย เพียงแค่จัดการบาดแผลเล็กน้อยหรือไม่ก็แค่พันแผลง่ายๆ เท่านั้นก็ได้แล้ว
มีตำรวจจราจรคอยดูแลตำแหน่งทางเข้าชั้นนี้เป็นพิเศษ ผู้ปกครองบางส่วนที่ได้รับแจ้งก็มากันแล้ว อารมณ์ตื่นตระหนกมาก แต่การปล่อยให้ผู้ปกครองเข้ามาในเวลานี้รังแต่จะส่งผลต่อการช่วยเหลือทำให้งานกู้ชีพยืดขยายออกไป ทำได้เพียงกันพวกเขาเอาไว้ก่อน
โจวเจ๋อส่ายหน้า ลุกขึ้นยืน เดินไปที่ระเบียงหน้าต่างตรงปลายสุดของทางเดิน เอื้อมมือยกหน้าต่างสูงขึ้น จากนั้นล้วงบุหรี่ออกจากในกระเป๋า เขาสูบบุหรี่ สวีเล่อก็สูบบุหรี่เช่นกัน ดังนั้นในเวลานี้ถือว่าสะดวกนัก
“คุณลุง สูบบุหรี่ในโรงพยาบาลไม่ได้นะคะ”
เพิ่งจะคาบบุหรี่ที่ปาก ก็มีเสียงใสๆ ของเด็กผู้หญิงสายหนึ่งดังมาจากข้างหลังของโจวเจ๋อ
โจวเจ๋อหมุนตัว เห็นสาวน้อยตัวเล็กๆ ในชุดกระโปรงดอกลิลลี่ยืนอยู่ข้างหลัง ทำหน้ามุ่ยและมองตัวเองด้วยความโกรธ
แค่กๆ
เขารู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย
โจวเจ๋อทำได้แค่เก็บบุหรี่เอาไว้ อย่างไรก็ตามจะให้สาวน้อยสอนตัวเองให้ปฏิบัติตามศีลธรรมอันดีมักจะเป็นเรื่องน่าอายอยู่เล็กน้อย
“เด็กน้อย หนูสวมเสื้อผ้าแค่นี้ไม่หนาวเหรอ” โจวเจ๋อก้มลงไปถาม
สาวน้อยมีผิวบอบบางมาก ใบหน้าอ้วนจ้ำม่ำ ตาโต น่ารักมาก เหมือนตุ๊กตาบาร์บี้รุ่นโต
“ไม่หนาวค่ะ” สาวน้อยส่ายหน้า “คุณลุง ต่อไปห้ามสูบบุหรี่ในโรงพยาบาลอีกนะคะ”
“ลุงเข้าใจแล้ว”
โจวเจ๋อพยักหน้าอย่างจริงจัง
“หนูไม่เป็นอะไรใช่ไหม” โจวเจ๋อถามขึ้นอีกครั้ง
“หนูสบายดีค่ะ เด็กคนอื่นๆ บาดเจ็บกันหมดเลย พวกเขาเจ็บมากด้วย”
สาวน้อยหันไปด้านข้างและมองดูเด็กน้อยเหล่านั้นที่กำลังถูกพันแผลอยู่ด้านหลังตัวเอง ส่วนใหญ่กำลังร้องไห้ อันที่จริง ไม่ใช่เพราะความเจ็บปวดที่ทนไม่ได้ แต่เพราะว่ามีคนหนึ่งกำลังร้องไห้และอีกคนร้องไห้ตามไปด้วย
เหล่าพยาบาลทำแผลไปด้วยแล้วยังต้องปลอบเด็กน้อยไปด้วย
ผู้ปกครองที่ถูกตำรวจจราจรกั้นไว้ชั่วคราวยังคงตะโกนด่าและสบถอยู่ข้างนอก
สรุปก็คือ ชั้นนี้ให้ความรู้สึกเละเทะวุ่นวายมาก
“งั้นหนูก็โชคดีมากเลย” โจวเจ๋ออุทานขึ้น
ทั้งเนื้อทั้งตัวของสาวน้อยไม่มีบาดแผลแม้แต่จุดเดียว
“อื้อ หนูนั่งอยู่แถวหลังสุด ดังนั้นจึงไม่เป็นอะไรเลย” สาวน้อยพยักหน้า จากนั้นก็เริ่มวิ่งไปปลอบเพื่อนร่วมชั้นของเธอที่อยู่ตรงนั้น ดูนี่ทีดูนู่นที ยังให้กำลังใจและปลอบพวกเขาอีก
เป็นเด็กที่ฉลาดและเข้มแข็งมากคนหนึ่ง
โจวเจ๋อหันกลับไป ไม่ทันรู้ตัวก็หยิบบุหรี่ออกมาอีก คิดไปคิดมาก็วางกลับคืนไป
เมื่อเขาเดินกลับไปนั่งลงที่ม้านั่ง พยาบาลสามคนและแพทย์สองคนก็ออกมาจากห้องฉุกเฉินด้านหน้า
คนหนึ่งเป็นแพทย์ชาย คนหนึ่งเป็นแพทย์หญิง แพทย์หญิงก็คือภรรยาของตัวเอง
“ไม่เป็นไรนะ เราทำเต็มที่แล้ว” หมอหนุ่มพูดพลางเอื้อมมือหมายจะไปแตะไหล่ภรรยาของโจวเจ๋อเพื่อปลอบโยน
ในฐานะที่เป็นสามี โจวเจ๋อนั่งอยู่ที่นี่ แต่เขากลับไม่มีความรู้สึกไม่พอใจกับฉากนี้…
เจ้าสวีเล่อนั่นทิ้งหลุมลึกซับซ้อนขนาดนี้ไว้ให้เขา ทั้งเป็นเขยจำเป็น ทั้งมีน้องภรรยาอารมณ์รุนแรงและพ่อตาแม่ยายอารมณ์ร้ายอย่างเห็นได้ชัด
โจวเจ๋อเฝ้าภาวนาเป็นอย่างยิ่งว่าภรรยาของตัวเองคนนี้จะรีบนอกใจ ถีบหัวส่งและหย่ากับตัวเองจากนั้นตัวเองก็จะไปอยู่ที่เงียบๆ คนเดียว
พอเปลี่ยนเป็นคนที่เพิ่งตายแล้วฟื้น เข้ามาอยู่ในร่างใหม่นี้แล้ว เขาก็ไม่อยากจะใช้ชีวิตในฐานะลูกเขยจำเป็นในเมืองใหญ่ให้ปวดใจอะไรอีกแล้ว
แต่ว่า สิ่งที่ทำให้โจวเจ๋อแปลกใจเล็กน้อยก็คือ ภรรยาของตัวเองยื่นมือไปปัดเจ้ามือรุ่มร่ามของหมอท่านนั้นออกแล้วชี้ไปที่เขา
“นี่สามีของฉันค่ะ”
ในคำพูดไม่มีความอ่อนโยนแม้แต่น้อย เรียบง่าย แข็งกระด้าง ราวกับกำลังพูดว่า นี่เป็นสุนัขพันธุ์ไซบีเรียนฮัสกีที่บ้านฉันเลี้ยงเอง
“โอ้ สวัสดีครับ คุณผู้ชาย” ใบหน้าของหมอหนุ่มดูเก้อเขินเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม จะจีบภรรยาเขาต่อหน้าเขานั้นดูไม่ค่อยจะดีนัก
โจวเจ๋อยิ้มๆ ถือเป็นการทักทาย ดูเหมือนว่าภรรยาตัวเองดูจะเคารพจารีตประเพณีที่ผู้หญิงพึงปฏิบัติมาก…แต่จะให้เขาดีใจขึ้นมาได้ยังไง ในเมื่อมันไม่ใช่พล็อตเรื่องการคบชู้
เพียงแค่เรียบ ๆ ง่ายๆ ใช้ชีวิตให้เรียบง่ายหน่อยจะดีมาก
“ผมไปดูทางนั้นก่อนนะ เด็กคนอื่นๆ จัดการเสร็จแล้ว น่าจะไม่มีเรื่องอะไรแล้ว คุณกับสามีรีบกลับไปพักผ่อนเถอะ” หมอหนุ่มท่านนี้พูดจบก็เดินออกไปทันที
หมอหลินนั่งลงบนม้านั่งยาวข้างๆ โจวเจ๋อ เธอถอดหน้ากากอนามัยลงและถอดถุงมือโยนลงบนพื้น
โจวเจ๋อเห็นขอบตาของเธอแดงรื้นนิดหน่อยและกัดริมฝีปากเบาๆ เห็นได้ชัดว่าเธออารมณ์ไม่ดีนัก นี่หมายความว่าไม่สามารถช่วยชีวิตเด็กน้อยที่บาดเจ็บสาหัสคนนั้นไว้ได้
ภาพแบบนี้รู้สึก ‘น่าสงสาร’ มาก
โจวเจ๋อเข้าใจสวีเล่อขึ้นมาในใจนิดหน่อย ลูกเขยจำเป็นคนนี้อย่างน้อย ก็มีกำไรมากกว่าเพื่อนคนอื่นอยู่พอตัว คุณสมบัติของพ่อตาคนอื่นดีกว่าตัวเองนี่คือเงื่อนไขแรก จากนั้นก็เป็นหมอหลินคนนี้ เป็นคนสวยจริงๆ
“อย่าเก็บมาใส่ใจเลย จากนี้ยังต้องเจออะไรอีกมาก ขอแค่ความสบายใจก็พอ”
โจวเจ๋อในฐานะคนที่เคยผ่านมาปลอบอยู่ข้างๆ ประสบการณ์ของเขามีหลากหลายมากมายกว่า ‘ภรรยา’ ตัวเองคนนี้เสียอีก และความเข้มแข็งทางจิตนั้นก็แข็งกว่ามากเป็นธรรมชาติ
“เงียบเถอะ”
หญิงสาวตอบกลับมาสองคำ หากคำพูดนี้มาจากโจวเจ๋อคนเดิมในฐานะที่เป็นรุ่นพี่ละก็ แน่นอนว่าเป็นการแนะนำ
แต่ตอนนี้โจวเจ๋อคือสวีเล่อ จากภาพพจน์ของเขานั้น การพ่นคำพูดพวกนี้กับหมอหลินก็ไม่ต่างกับการที่ไม่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็ไม่เข้าใจหรอก
โจวเจ๋อยักไหล่ แล้วดูถูกสวีเล่อคนนั้นในใจอีกครั้ง ดูนายขี้ขลาดสิ ภรรยานายถึงขั้นกล้าสั่งนายหุบปากนอกบ้านเชียวนะ
หมอหลินตาแดงและยืนขึ้นอย่างช้าๆ “ฉันจะไปเปลี่ยนชุด กลับบ้านกัน”
“ครับ” โจวเจ๋อพยักหน้า
ในเวลานี้ พยาบาลสองคนเปิดม่านของห้องฉุกเฉินออก เผยให้เห็นเตียงผู้ป่วยที่อยู่ด้านในและมีร่างเล็กๆ นอนอยู่บนเตียงพร้อมคลุมด้วยผ้าขาว
โจวเจ๋อชำเลืองมองดู เขาเห็นคนตายมาเยอะมาก นับตั้งแต่เขาเป็นหมอหลายปีมานี้ได้ช่วยชีวิตผู้คนมากมาย แต่ก็มีผู้ป่วยจำนวนมากที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากตายต่อหน้าตัวเอง
“หมอหลิน นี่สามีของคุณใช่ไหมคะ” พยาบาลสาวคนหนึ่งถามด้วยท่าทีหยอกล้อ พวกเธอรู้ว่าหมอหลินแต่งงาน แล้ว แต่สามีของหมอหลินไม่เหมือนกับแฟนของหมอและพยาบาลสาวคนอื่นๆ ไม่เคยมาเหยียบที่โรงพยาบาลเลยด้วยซ้ำ
คุณอย่าได้ตำหนิพวกหล่อนทำเป็นเรื่องตลกต่อหน้าความตาย มันเหมือนกับว่าคุณปล่อยให้เสี่ยวชิงซินที่ไปทิเบตเพียงครั้งเดียวและโพสต์ลงบนไทม์ไลน์ว่าจิตวิญญาณของตัวเองถูกทำให้สะอาดบริสุทธิ์ไปแล้ว รู้สึกซาบซึ้งและรู้สึกเคารพเลื่อมใสมากและเคร่งศาสนาอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานสิบปีพวกเขาก็รับไม่ได้เหมือนกัน ไม่เป็นเรื่องจริงเลย
“ใช่” หมอหลินพยักหน้าตอบ ในเวลานี้อารมณ์ของพวกเธอก็สงบลงมาบ้างเล็กน้อย
“งั้นพวกคุณก็รีบกลับไปเถอะ ไม่แน่ว่ากลับไปจะมีกิจกรรมอะไรอย่างอื่นอีก คุณว่าไหม
ฉันจะบอกคุณให้นะ หมอหลินของเราชอบเด็กน้อย พวกคุณรีบกลับไป…”
“แม่ง!”
พยาบาลนิ่งเงียบ
โจวเจ๋อเห็นชายกระโปรงดอกลิลลี่ที่โผล่ออกมานอกผ้าขาว เสียง ‘ปัง’ ดังขึ้นในหัวของเขา เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าสาวน้อยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรคนนั้นที่เขาเพิ่งเจอไปเมื่อสักครู่นี้
เธอไม่ใช่คน!
…………………………………………………………………