ตอนที่ 23 สวัสดี
“นี่นาย…อยากตายใช่ไหม”
นัยน์ตาลุ่มลึกของโจวเจ๋อมีแววตาดำเป็นประกายออกมา วินาทีนี้ เขาโกรธมาก
ใช่ เขาบุกยึดครองร่างกายของคนอื่นโดยพลการ
แต่แล้วอย่างไรเล่า!
‘ฉันจะใช้ร่างกายดำเนินชีวิตต่อไป นายห้ามได้เหรอ
การแก้แค้นของนาย แค่กระตุ้นฉันประเดี๋ยวนั้นก็ทำให้ฉันต้องใช้กับภรรยาของนายเหรอ
เก่งได้เท่านี้เองเรอะ’
โจวเจ๋อกางมือขวาของตัวเองออก เล็บสีดำค่อยๆ ยาวออกมาอย่างช้าๆ มีควันสีดำเป็นสายหมุนวนเป็นเกลียวอยู่โดยรอบ
หลายครั้งการแก้ไขปัญหาที่แท้จริงก็ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่คุณอยู่ ซึ่งก็คือจุดยืนของคุณ
เมื่อยืนอยู่ในมุมมองของโจวเจ๋อ ไม่สามารถแยกแยะถูกผิดได้เลยด้วยซ้ำ เขาอยากมีชีวิตต่อ ขอเพียงการกระทำทุกอย่างถูกสร้างขึ้นอยู่ในเงื่อนไขนี้ ล้วนถูกต้องเสมอ ไม่อย่างนั้นทุกอย่างก็ไม่มีความหมาย
เมื่อไม่มีความหมาย ถูกต้องหรือไม่ ยังจำเป็นอยู่อีกหรือ
“ไม่ว่านายจะซ่อนอยู่ที่ไหน ฉันจะจับนายออกมาให้ได้ ถึงแม้ว่า…นายจะซ่อนอยู่ในร่างกายนี้ก็ตาม!”
ใบหน้าของโจวเจ๋อเริ่มบิดเบี้ยวขึ้นมา เล็บมือของเขาเริ่มจิกหน้าอกของตัวเอง
“ซือ…”
เสียงของความเจ็บปวดรุนแรงมาพร้อมกับการกระกระตุกที่ยากจะควบคุม โจวเจ๋อสั่นสะท้านไปทั้งตัว แล้วล้มลงไปบนพื้นโดยตรง
เขาอ้าปาก เห็นได้ชัดว่างงมาก
ไม่อยู่
ไม่อยู่แล้ว!
ทำไมกัน
เมื่อครู่เขาลองเสี่ยงใช้วิญญาณของตัวเอง ดำเนินการตรวจสอบจนเกือบบดขยี้ตัวเองเสียแล้ว ภายในร่างนี้ มีเพียงจิตวิญญาณของเขาโจวเจ๋อเพียงคนเดียวเท่านั้น สวีเล่อ ไม่อยู่อย่างสิ้นเชิง!
โจวเจ๋อเริ่มลุกคลานขึ้นมาอีกครั้ง มองดูภายในกระจกที่แตกละเอียด ยังคงเป็นใบหน้าของตัวเองดังเดิม ครั้งนี้รอนานมาก แต่คนในกระจกกลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยสักนิด
สวีเล่อ ไม่อยู่นานแล้ว
เช่นนั้น ทุกอย่างที่ทำกับหมอหลินก่อนหน้านี้ ล้วนเป็นคำสั่งจากกมลสันดานของเขาเองหรือ
ไม่ เป็นไปไม่ได้
เป็นไปไม่ได้!
เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นแบบนี้
โจวเจ๋อเพิ่งรู้สึกเป็นครั้งแรกว่า ตัวเองที่อยู่ในกระจกช่างเป็นคนแปลกหน้ายิ่งนัก ไม่ใช่เพราะเขาเปลี่ยนร่างเปลี่ยนหน้าตา แต่เป็นเพราะภายในจิตใจของตัวเอง จิตวิญญาณของตัวเอง ดูเหมือนว่าความตระหนักรู้ในตัวเองของตัวเองแต่เดิมนั้น
แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ร่างกายและวิญญาณ อันไหนถึงจะเป็นของตัวจริงของตัวเองกันแน่
นับตั้งแต่โบราณกาลมา นักกวีและนักคิดผู้ยิ่งใหญ่มากมายทั้งในและต่างประเทศจริงๆ แล้ว จะให้คำตอบที่คล้ายกัน ร่างกายสามารถเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ เน่าเปื่อยได้ แต่จิตวิญญาณจะคงอยู่ตลอดไป
มันสามารถสูงส่ง สามารถถูกจารึก สามารถเป็นแสงระยิบระยับบนสายธารของแม่น้ำแห่งประวัติศาสตร์ได้มากพอ
โจวเจ๋อก็คิดว่า เขายังเป็นโจวเจ๋อ เป็นตัวเองคนเดิม แต่ตอนนี้อย่างมากก็แค่ร่างกายที่เปลี่ยนไปเท่านั้น ทว่าเขายังคงคิดว่าตัวเองก็คือโจวเจ๋อ
แต่คราวนี้เขาเริ่มกลัวแล้ว
เพราะในเมื่อวิญญาณของสวีเล่อไม่อยู่นานแล้ว
นี่จึงหมายความว่า สิ่งที่เปลี่ยนไป…คือตัวเขาเอง
…
“คุณไปนอนเถอะ ที่รัก”
“ค่ะ ฉันจะพาลูกสาวไปนอนแล้ว คุณก็รีบทำงานให้เสร็จแล้วพักผ่อนนะคะ”
“ครับ เดี๋ยวผมแก้แผนการรักษานี้ให้เสร็จก่อน”
หวังเคอบิดคอของตัวเองเล็กน้อย แล้วหาวหวอด จริงๆ เขาง่วงมากแล้ว แต่งานที่อยู่ในมือกลับต้องทำให้เสร็จ เขาที่เพิ่งอายุสามสิบปีต้นๆ ตอนนี้กลับมีผมขาวบนศีรษะเยอะแล้ว
ผู้ชายอายุประมาณนี้ สิ่งที่น่าอับอายที่สุด หากไม่ดิ้นรนต่อสู้ ก็อยู่ห่างจากวัยเกษียณเร็วเกินไป แต่หากดิ้นรนทำมาหากิน ร่างกายก็เริ่มถดถอยลงอย่างช้าๆ
“กริ๊งๆๆ…กริ๊งๆๆ…”
หวังเคอขมวดคิ้วเล็กน้อย ดึกป่านนี้แล้วยังมีคนมาหาอีกเหรอ
เขาเดินไปที่ข้างประตู เหลือบมองภาพในหน้าจอวิดีโอ เห็นผู้ชายใส่เสื้อโค้ทสีดำยืนอยู่ข้างนอกประตู แล้วถามว่า “ไม่ทราบว่า คุณคือ”
“ผมมาหาหวังเคอ เพื่อนของผมแนะนำมาครับ”
“ขอโทษครับ ถ้าหากมีธุระสามารถทำนัดล่วงหน้ากับผู้ช่วยของผมได้ ปกติที่บ้านของผม…”
“โจวเจ๋อแนะนำผมมาครับ” ผู้ชายที่อยู่นอกประตูเอ่ยพูด
เมื่อได้ยินชื่อนี้ หวังเคอตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นจึงเปิดประตู
อีกฝ่ายยังดูหนุ่มมาก น่าจะอายุยี่สิบห้าปีโดยประมาณ
“เข้ามาครับ” หวังเคอแสดงท่าทางให้อีกฝ่ายเข้ามา จากนั้นชงน้ำชาหนึ่งแก้วให้เขาด้วยตัวเองแล้ววางบนโต๊ะ
โจวเจ๋อนั่งบนโซฟา มองดูเพื่อนเก่าคนนี้ของตัวเอง
เขายังคงไม่เปลี่ยน ยังเป็นคนขยันหมั่นเพียรในอาชีพของตัวเอง ในฐานะเด็กที่เติบโตมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาด้วยกัน พวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดีมากมาตั้งแต่เด็ก และในความคิดของผู้อำนวยการอาวุโส พวกเขาสองคนถือว่าเป็นหนึ่งในเด็กที่มีอนาคตที่ดีที่สุดในบรรดาเด็กๆ ที่ออกมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
โจวเจ๋อได้เป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการของโรงพยาบาลตั้งแต่ยังหนุ่ม ส่วนหวังเคอก็มีจิตวิทยาคลินิกเป็นของตัวเองและไม่ได้เปิดร้านเล็กๆ ในห้องที่แคบ แต่เปิดอยู่ติดถนนหนานต้าเจียใจกลางเมืองของตัวเมืองทงเฉิง
และคฤหาสน์หลังนี้ ก็ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปสามารถซื้อไหว
“คุณรู้จักโจวเจ๋อหรือ” หวังเคอถามก่อน
“ครับ ตายไปครึ่งปีแล้ว” โจวเจ๋อตอบ จากนั้นก็ยกน้ำชาขึ้นมาแล้วดื่มหนึ่งที เขายังคงชอบชาเหมาเจียน รสชาติไม่เปลี่ยนเลยสักนิด
“มาหาผม มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ”
“มาหาหมอครับ”
“มาหาหมอ” หวังเคอกระแอมหนึ่งที “คุณสามารถนัดได้”
“ด่วนมากครับ” ดวงตาของโจวเจ๋อที่มองหวังเคอมีความ ‘ร้อนใจยิ่งนัก’
หวังเคอเงียบไป จากนั้นจึงยิ้มแล้วพยักหน้า พลางลุกขึ้นเอ่ยว่า “เชิญคุณมาที่ห้องหนังสือกับผมครับ”
ไม่ว่าการมาเยือนแบบปุบปับของอีกฝ่ายจะไร้มารยาทหรือไม่ และไม่ว่าการขอร้องของอีกฝ่ายจะกะทันหันหรือไม่ ในเมื่ออีกฝ่ายพูดว่าเป็นเพื่อนของโจวเจ๋อ หวังเคอจึงไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ
โจวเจ๋อนั่งเฉยๆ ในห้องหนังสือของหวังเคอพักหนึ่ง หวังเคอได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นสีขาวทั้งชุดแล้วเดินออกมาเห็นได้ชัดว่าให้เกียรติเขา
“ลองพูดอาการของคุณมาสิครับ” หวังเคอหมุนปากกาในมือของตัวเอง นี่คือปากกาหมึกซึมสีทองเข้มด้ามหนึ่งภายใต้แสงไฟของห้องหนังสือ ดูสะดุดตายิ่งนัก
โจวเจ๋อส่ายหน้าอย่างช้าๆ “ไม่ต้องสะกดจิตผมนะครับ ถึงแม้จะเป็นการสะกดจิตเบาๆ ก็ตาม”
หวังเคอพยักหน้า แล้ววางปากกาลง
“ผมอาจจะเป็น…คนบุคลิกภาพแตกแยก” โจวเจ๋อกำลังเรียบเรียงคำพูดของตัวเอง
“ขอรายละเอียดอีกหน่อยครับ” หวังเคอถาม
“รู้สึกว่า ในร่างกายของผม มีนิสัยของอีกคนหนึ่งอาศัยอยู่ หรือจะพูดให้ถูกก็คือ บางครั้งนิสัยของคนนั้นจะมีผลกระทบต่อสิ่งที่ผมทำอย่างกะทันหัน และผมสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน ว่านั่นไม่ใช่เรื่องที่ผมน่าจะทำออกมาเด็ดขาด ผมเป็นคนที่…มีวินัยมากคนหนึ่ง”
“อาการของบุคลิกภาพแตกแยก” หวังเคอหรี่ตา “เป็นนานหรือยังครับ”
“ช่วงนี้มั้งครับ”
“เอาอย่างนี้นะครับ บนกระดาษใบนี้ ให้คุณวาดบุคลิกนิสัยที่สองของคุณ คุณทำตามความรู้สึกของตัวเอง วาดเขาออกมา ถึงแม้ว่าคุณจะไม่เคยเห็นท่าทางที่แท้จริงของเขามาก่อนก็ตาม”
หวังเคอวางกระดาษสีขาวกับปากกาด้ามนั้นอยู่ตรงหน้าของโจวเจ๋อ
“บุคลิกของคนที่สองเหรอ” โจวเจ๋อถาม
“ใช่ครับ” หวังเคอพยักหน้า
“แต่…ถ้าจะพูดให้จริงจังก็คือ ผมก็คือบุคลิกที่สอง” โจวเจ๋อชี้ไปที่ตัวเอง “ตอนนี้คนที่ออกมาอาละวาด น่าจะเป็นบุคลิกเดิมที่อยู่ในร่างกายนี้”
สายตาของหวังเคอนิ่งไป แล้วเริ่มสอบถามโจวเจ๋อใหม่
“คุณพูดว่า สภาพของคุณในตอนนี้ ก็คือบุคลิกที่สองเหรอ”
“หากบรรยายตามทฤษฎีของคุณ น่าจะใช่ครับ” โจวเจ๋อตอบ
เดิมทีเจ้าของร่างนี้คือสวีเล่อ ส่วนโจวเจ๋อเป็นคนนอก ดังนั้น โจวเจ๋อจึงเป็นบุคลิกที่สอง
“คุณฆ่าเขาแล้ว” หวังเคอถามอยากนึกสนุก ดูเหมือนเขา…จะสนใจตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
“น่าจะใช่ และผมมั่นใจว่า เขาไม่อยู่แล้ว” โจวเจ๋อตอบ
“อย่างนั้นพฤติกรรมนี้ของคุณจริงๆ แล้วถือว่าฆ่าคน” หวังเคอพูดเตือน “ถึงแม้ในทางกฎหมาย จะไม่สามารถตัดสินและวิเคราะห์การกระทำของคุณได้ และไม่สามารถตัดสินพฤติกรรมแบบนี้ของคุณได้เช่นกัน แต่ผมต้องขอต่อว่าคุณตรงนี้”
“หลังจากต่อว่าแล้วล่ะ”
“คุณมาหาผม เพื่ออยากหาวิธี ที่จะหลุดพ้นจากผลกระทบของคุณที่มีบุคลิกที่หนึ่งอย่างสิ้นเชิงใช่ไหม”
“ใช่ครับ”
หวังเคอเริ่มหมุนปากกา ครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อสะกดจิต แต่เป็นเพราะเขากำลังครุ่นคิด
“ผมไม่รู้ว่าควรจะช่วยคุณยังไง เพราะจากมุมมองของผม คุณได้ฆ่า ‘คน’ ที่อยู่เดิมก่อนแล้ว และถ้าหากผมช่วยคุณ ก็เท่ากับกำลังช่วยคุณทำลายศพ แล้วผมก็จะกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด”
“ช่วยผมที” โจวเจ๋อเอ่ยพูด
“ผมจำเป็นต้องพิจารณาก่อนครับ” หวังเคอพูดอย่างครุ่นคิด
“ไม่จำเป็นต้องพิจารณาแล้ว ช่วยผมเถอะ” โจวเจ๋อเร่งรัด จากนั้นโจวเจ๋อก็พูดอีกว่า “พี่เอ้อร์ตั้น”
ตอนที่พูดคำว่า ‘พี่เอ้อร์ตั้น’ ออกมา สีหน้าของหวังเคอเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน เขาจึงพูดอย่างประหลาดใจเล็กน้อย “แม้แต่อันนี้โจวเจ๋อก็บอกคุณเหรอ”
โจวเจ๋อพยักหน้า
หวังเคอเงยหน้าขึ้น รู้สึกสับสนอยู่บ้าง แต่ทว่าก็ยังกัดฟัน แล้วเริ่มหยิบปากกาขึ้นมาเขียนใบสั่งยา
“ผมจะสั่งยาให้คุณนิดหน่อย ยาพวกนี้จริงๆ แล้วแค่เป็นตัวช่วยเท่านั้น สามารถช่วยให้อารมณ์ของคุณคงที่ ช่วยการนอนหลับของคุณได้”
“อย่างนั้นก็ไม่ต้องหรอกครับ” โจวเจ๋อกล่าว
“และขั้นตอนที่สำคัญที่สุดคือ คุณจำเป็นต้องเปลี่ยนสภาพแวดล้อม” หวังเคอไม่สนใจคำพูดก่อนหน้าของโจวเจ๋อและเขียนใบสั่งยาต่อไปพลางกล่าวว่า “ออกห่างจากสังคมที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตเดิมของบุคลิกที่หนึ่ง แล้วสร้างความเกี่ยวข้องทางสังคมที่เป็นของตัวคุณเอง หลายคนมักจะคิดว่า ความคิดของมนุษย์เรา จะฝากไว้ที่วิญญาณเท่านั้น และถึงแม้ว่าบนโลกใบนี้จะมีวิญญาณหรือไม่ก็ตาม ก็คือมีหรือไม่มีผีนั่นแหละ ยังเป็นสิ่งที่มิอาจทราบได้ แต่วิธีการพูดเช่นนี้ยังไม่แม่นยำนัก อันที่จริงร่างกายของพวกเรา กล้ามเนื้อของพวกเรา ดวงตาของพวกเรารวมทั้งอวัยวะต่างๆ มากมาย จริงๆ แล้วสามารถเก็บ ‘วิญญาณ’ ของคนคนหนึ่งได้ และ ‘วิญญาณ’ ที่ว่านี้แตกต่างจากความหมายของวิญญาณในวงกว้าง มันมีความคล้ายคลึงกับนักกีฬาที่ถูกสร้างขึ้นโดยผ่านการฝึกซ้อมซ้ำไปซ้ำมานับครั้งไม่ถ้วน ‘ความจำของกล้ามเนื้อ’ รวมถึง ‘การบ่งชี้ทางจิตวิทยา’ เป็นต้น คุณสามารถทำความเข้าใจว่ามันคือความเคยชินอย่างหนึ่ง คุณมีบุคลิกที่สอง และฆ่าบุคลิกที่หนึ่งไปแล้ว แต่ร่างกายนี้ อย่างไรก็ตามได้ถูกใช้งานอยู่ในมือของบุคลิกที่หนึ่งมานานมาก มันมีความเคยชินเป็นของตัวเอง มีความทรงจำเป็นของตัวเอง บางครั้งสาเหตุที่จู่ๆ คุณเลือกที่จะทำอะไรแปลกๆ โดยไม่มีสาเหตุ และตัวเองรู้สึกตกใจและประหลาดใจหลังจากที่เกิดเรื่องไปแล้ว ทำให้คุณรู้สึกว่าบุคลิกที่หนึ่งกำลังก่อความวุ่นวายอยู่ และด้วยสาเหตุนี้ จึงตัดขาดเครือข่ายความสัมพันธ์ทั้งหมดของคุณในขณะนี้ สร้างวงจรชีวิตที่เป็นของคุณเอง ทำให้ร่างกายนี้เริ่มปรับตัวให้เข้ากับคุณ ทำลายความเคยชินก่อนหน้านี้ให้หมดไป แล้วปัญหา ก็ถูกแก้ไขแล้ว อันที่จริงสภาพของคุณในตอนนี้ไม่ได้รุนแรงมากนัก ตรรกะความคิดของคุณชัดเจนมาก การพิชิตมัน เป็นแค่เรื่องของเวลาเท่านั้น” หวังเคอหัวเราะเบาๆ
เวลานี้ มีคนเคาะอยู่ข้างนอกประตูห้องหนังสือ
“ที่รัก มีลูกค้าเหรอคะ”
“ใช่ ช่วยชงกาแฟให้ผมสองแก้วด้วยครับ”
“ได้ค่ะ”
โจวเจ๋อนึกถึงหมอหลิน นึกถึงพ่อตาแม่ยายของตัวเอง นึกถึงน้องสะใภ้คนนั้น
ก็จริง
แรกเริ่มเดิมที เขาอยากขจัดความสัมพันธ์นั่น กระทั่งอยากตัดขาดไปนานแล้ว
แต่ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อไร
เธอต่อต้านไม่นอนกับฉัน
แล้วกลับกลายเป็นความยึดติดของตัวเอง
“ตัดขาดความสัมพันธ์ ต้องใช้เวลานานไหมครับ” โจวเจ๋อถาม
“ไม่นานมากครับ” หวังเคอยักไหล่ เห็นได้ชัดว่าผ่อนคลายมาก “ตอนที่คุณเข้าประตูมาผมก็เริ่มตรวจสอบคุณแล้ว ความรู้สึกที่คุณให้กับผม จะพูดยังไงดี คุณเป็นบุคลิกที่สอง แต่ผมรู้สึกว่าคุณเป็นเคสผู้ป่วยแรกที่บุคลิกที่หนึ่งฆ่าบุคลิกสองได้อย่างหมดจด เหมือนกับ…กลยุทธ์ยืมซากคืนชีพของนิยายผีโบราณ ตรงไปตรงมาและสะอาดหมดจดมาก ถึงขนาดสามารถใช้คำว่า ‘สมบูรณ์แบบ’ มาบรรยายได้อย่างสิ้นเชิง
ตอนนี้คุณสามารถเข้าใจได้ว่าคุณกินยาชนิดหนึ่งที่มีผลข้างเคียงเล็กน้อย และอาศัยภูมิคุ้มกันของตัวเองก็ สามารถจัดการทิ้งจนหมดได้ อาจจะ ใช้เวลาประมาณสองสามเดือนครับ หลังจากนั้น คุณค่อยเก็บความสัมพันธ์เดิมกลับมาก็ได้ ไม่มีปัญหาอะไรเลย”
โจวเจ๋อพยักหน้า “ขอบคุณครับ”
“ไม่เป็นไรครับ”
“กาแฟมาแล้วค่ะ”
ประตูห้องหนังสือถูกผลักออก ผู้หญิงคนหนึ่งถือกาแฟสองแก้วเดินเข้ามา แล้ววางลงบนโต๊ะหนังสือ
โจวเจ๋อมองผู้หญิงคนนั้น แล้วผู้หญิงคนนั้นก็มองโจวเจ๋อเช่นกัน
วินาทีต่อมา โจวเจ๋อพลันฉุกคิดในใจ และใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นก็เปลี่ยนไปในทันที
“เป็นอะไร พวกคุณรู้จักกันเหรอ” หวังเคอถาม
“ค่ะ เขาเป็นสามีของหมอหลิน สวีเล่อ” ผู้หญิงตอบ
“หา” หวังเคอลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ
แล้วเป็นฝ่ายเข้ามาจับมือกับโจวเจ๋อก่อนเพื่อแสดงความขอบคุณ
ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าก่อนหน้านั้นเป็นคนไข้ที่ถูกแนะนำมาจากเพื่อนสนิทของตนเอง และเขาก็ยิ่งเป็นผู้มีพระคุณกับลูกสาวของตนเองอีก ดังนั้นความสัมพันธ์จึงยิ่งใกล้ชิดขึ้นมาอีกขั้นเป็นธรรมดา
โจวเจ๋อก็รับมือแบบขอไปที จริงๆ แล้วในหัวของเขาอยากจะเตือนเพื่อนสนิทที่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานลูกเดียวของตัวเองว่า ภรรยาของเขาช่วงนี้หลงใหลกิจกรรมการ ‘ดัดผม’ ที่ยากจะบรรยายได้ใช่หรือเปล่า
พอลองคิดดู เขากะว่ารอให้ออกไปก่อนแล้วค่อยเตือนด้วยวิธีแบบไม่ระบุชื่อจะดีกว่า ถึงแม้หลังจากที่ทั้งสองคนทำงานแล้วและเนื่องจากเข้าใจนิสัยของทั้งสองฝ่าย ที่ตั้งใจทำงานลูกเดียว จึงไม่มาก้าวก่ายซึ่งกันและกัน
มิตรภาพและความทรงจำวัยเด็กไม่เคยเปลี่ยนแปลง แต่พวกเขาไม่เคยคุ้นชินกับการมานั่งดื่มเหล้าคุยกันหลังเลิกงาน และในความเป็นจริง ถ้าหากไม่ใช่เพราะปัญหาครั้งนี้ยุ่งยากที่จะแก้ไข โจวเจ๋อก็คงไม่มาหาหวังเคอ
เขาแต่งงานแล้ว โจวเจ๋อไม่รู้ เขามีลูกแล้ว โจวเจ๋อก็ไม่รู้ แต่เวลาที่ต้องการความช่วยเหลือ แค่บอกชื่อของตัวเองอีกฝ่ายต้องยอมรับแน่นอน
หวังเคอกับภรรยาของเขาเดินออกมาส่งโจวเจ๋อด้วยกัน โจวเจ๋อปฏิเสธน้ำใจหวังเคอที่อยากขับรถไปส่งตัวเอง
“ที่รักคะ เขามาหาคุณทำไมคะ”
“มารักษา” หวังเคอตอบ “คุณเคยบอกว่า เขาเปิดร้านหนังสือร้านหนึ่งใช่ไหมครับ”
“ค่ะ คล้ายกับเป็นร้านหนังสือปาร์ตี้น้ำชาอะไรทำนองนั้น”
“โอเค ถ้ามีโอกาสผมจะไปดูสักหน่อย”
…
โจวเจ๋อเพิ่งจะเดินออกจากบริเวณคฤหาสน์หลังนี้
จู่ๆ ก็สัมผัสอะไรได้บางอย่าง จึงหยุดเดิน หมุนตัวแล้วมองไปที่คฤหาสน์ที่อยู่ด้านหลัง
บนระเบียงของคฤหาสน์
มีเด็กผู้หญิงน้อยที่น่ารักยืนอยู่คนเดียว
เธอกอดตุ๊กตาหมีสีขาวของตัวเอง สวมชุดนอนสีแดง ยืนรับลมอยู่ด้านนอก
เส้นผมโบกสะบัด กระโปรงพลิ้วไหว แต่เธอกลับไม่ขยับเลยสักนิด ดูเหมือนจะไม่รู้สึกอะไร
ทว่านัยน์ตาคู่นั้นมองมาที่ตัวเองตลอด
โจวเจ๋อเริ่มมีสีหน้านิ่ง ร่างกายรู้สึกเกร็งเล็กน้อย
แต่ความตื่นเต้นเริ่มหายไปอย่างช้าๆ ความกดดันของเรื่องของสวีเล่อที่อยู่ในใจตัวเองได้ถูกปลอบใจเพราะการสนทนาเมื่อครู่ โจวเจ๋อจึงผ่อนคลายมาก
เพียงแต่ สิ่งที่ทำให้โจวเจ๋อรู้สึกลำบากใจอยู่บ้างก็คือ
ดูเหมือนว่าเขานอกจากจะต้องเตือนเพื่อนสนิทตัวเองเรื่องของภรรยาของเขาแล้ว
ลูกสาวของเขาดูเหมือนจะมีปัญหาเหมือนกัน
จากนั้นโจวเจ๋อก็เริ่มพึมพำกับเพื่อนสนิทของตัวเองเงียบๆ อยู่ในใจ รู้สึกสงสารเล็กน้อย
ชาติที่แล้วทำกรรมอะไรไว้กันแน่ ถึงได้มีครอบครัวที่ ‘อบอุ่นสมบูรณ์แบบ’ เช่นนี้
พอคิดถึงตรงนี้ โจวเจ๋อจึงแสยะยิ้มมุมปาก
วินาทีต่อมา สายตาของเขาเผชิญหน้ากับเด็กผู้หญิงตัวน้อยที่อยู่บนระเบียงไกลๆ
โจวเจ๋อโบกมือ โบกมือไปทิศทางนั้น
แล้วเอ่ยว่า “สวัสดี”
…………………………………………………………………………