ตอนที่ 28 เจ้าอยาก…ทำหน้าที่แทนข้าไหม
โจวเจ๋อสุดท้ายจึงแจ้งความ จากนั้นตำรวจจึงรีบมาโดยเร็ว ตามหลักการพูดของโจวเจ๋อ บอกว่าหนุ่มส่งอาหารคนนี้มาที่ร้านของตัวเอง แล้วก็เกิดคลุ้มคลั่งกะทันหัน บอกว่ามีวิญญาณที่ถูกเขาเผาจนตายมากมายกลับมาแก้แค้นเขาจากนั้นก็กระหน่ำเตะกำแพงอย่างบ้าคลั่งไม่หยุดสุดท้ายก็เป็นลมล้มพับไป
ตอนที่ให้การเสร็จและออกมาจากสถานีตำรวจ ท้องฟ้าก็มืดแล้ว คดีไฟไหม้ที่โรงภาพยนตร์ เกิดเหตุการณ์พลิกผันหลายอย่าง แต่ตอนนี้อย่างน้อยสถานการณ์ก็ได้เปิดม่านแล้ว ก่อนหน้านั้นมีความเป็นไปได้สูงที่ไฟมืดมาก ตำรวจจึงไม่ได้สงสัยเด็กหนุ่มส่งอาหารผู้กล้าหาญ ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่มีหลักฐานยืนยัน แต่ถ้าหากเปลี่ยนโฟกัสมาที่ตัวอีกฝ่ายก็น่าจะค้นพบความจริงในไม่ช้า
หลังจากเปลี่ยนทิศทางการแสดงความคิดเห็น พวกชาวเน็ตที่ชอบเผือก (เสือก) ต่างต้องตกตะลึงอ้าปากค้างที่เคยมอบของขวัญให้กับเด็กหนุ่มส่งอาหารคนนี้ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาที่โจวเจ๋อต้องกังวลและพิจารณา สิ่งที่เขาสามารถทำได้ก็มีเพียงเท่านี้ สิ่งที่ยินดีทำ ทำได้มากสุดเพียงเท่านี้
เรื่องของผี ก็ปล่อยให้ผีจัดการ เรื่องของคน ก็มอบให้ตำรวจเป็นคนแก้ไข
เมื่อยืนอยู่หน้าประตูสถานีตำรวจ สูดอากาศสดชื่นยามเช้า รู้สึกสมองโล่งปรอดโปร่งมาก
ตอนที่กลับมาที่ร้าน โจวเจ๋อมองเห็นร้านของสวี่ชิงหล่างที่อยู่ข้างๆ ได้เปิดดำเนินการอีกครั้ง สวี่ชิงหล่างเปลี่ยนใส่ชุดที่เคยใส่เหมือนปกติ แล้วนั่งอยู่หน้าประตูร้านคอยเด็ดผักและนั่งอาบแดดไปด้วย พร้อมกับปากที่ฮัมเพลงละครสำหรับเด็ก (เพลงพื้นบ้าน) อย่างสบายใจ มีรสแห่งความดื่มด่ำลื่นไหลออกมา
ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม
โจวเจ๋อเดินเข้าไปในร้าน สวี่ชิงหล่างตบมือ ถามว่า “กินอะไร”
“อะไรก็ได้ ผมอยากกินน้ำบ๊วย”
สวี่ชิงหล่างพยักหน้า
โจวเจ๋อเข้าไปนั่งในร้าน แล้วก็ใช้นิ้วมือเคาะหน้าโต๊ะเบาๆ
ไม่นานสวี่ชิงหล่างก็ยกถ้วยบะหมี่ไข่ชามหนึ่งออกมา น้ำซุปใส เส้นบะหมี่นุ่มเด้ง แน่นอนว่า สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญ ที่สำคัญที่สุดคือ น้ำบ๊วยที่คุ้นเคย ได้ปรากฏตัวต่อหน้าโจวเจ๋ออีกครั้ง
“ทำให้ผมสักถัง เท่าไรครับ” โจวเจ๋อชี้ไปที่ตู้กดน้ำที่อยู่ในร้าน “ทำก่อนหนึ่งถัง”
“รออีกสักพักหนึ่ง” สวี่ชิงหล่างนั่งลงตรงหน้าโจวเจ๋อ พร้อมกับคาบบุหรี่หนึ่งมวนในปาก ดูเหมือนเขาอยากจะทำตัวเป็นนักเลงหัวไม้ที่คาบบุหรี่ แต่กลับให้ความรู้สึกขัดกันเหมือน ‘ผู้หญิงก็สามารถสูบบุหรี่ได้สวยขนาดนี้เรอะ’
เขาไม่ได้กระตุ้งกระติ้ง และไม่ใช่เกย์ แต่ต้องโทษสวรรค์ที่มอบผิวพรรณที่ผิดให้กับเขา
ดื่มน้ำบ๊วยกินบะหมี่เสร็จแล้ว รู้สึกดีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หลังจากกินบะหมี่ครั้งนี้ความสะอิดสะเอียนของโจวเจ๋อไม่รุนแรงขนาดนั้น แต่ยังคงดื่มอีกสองสามแก้วเพื่อช่วยย่อยอาหาร
“ตอนแรกหลังจากหลินไต้อวี้เข้าไปกินข้าวในบ้านตระกูลเจี่ยแล้วเจอเรื่องอะไรยังจำได้ไหม” สวี่ชิงหล่างถามพร้อมกับพ่นควันบุหรี่ออกมา
โจวเจ๋อครุ่นคิด แล้วจึงเข้าใจ
หลินไต้อวี้ตอนแรกเข้าไปในบ้านตระกูลเจี่ย เป็นการจัดเลี้ยงอาหารกับเครือญาติมื้อหนึ่ง หลังจากกินข้าวเสร็จคนใช้ก็เอาชามาเสิร์ฟ หลินไต้อวี้ถูกพ่ออบรมมา หลังจากกินข้าวก็ไม่อยากดื่มชาเพราะอาหารย่อยไม่ค่อยดี แต่เมื่อเห็นคุณนายเจี่ยและพี่สาวอีกหลายคนต่างดื่มกันหมด เธอจึงได้แต่ดื่มตาม
“ผมได้กินอิ่มก็พอ” โจวเจ๋อส่ายหน้า จากสถานการณ์ของเขาในตอนนี้ มีความเป็นไปได้สูงที่ทั้งชีวิตนี้จะไม่เป็นคนกินมูมมามหรือนักชิมอาหาร ส่วนเรื่องการย่อยก็ค่อยว่ากัน
“ผมกังวลว่าจะหมดความสมดุล” สวี่ชิงหล่างพูดตรงประเด็น “พ่อแม่ของผม จากไปแล้ว”
พ่อแม่ของสวี่ชิงหล่างจากไปนานแล้ว แต่โจวเจ๋อรู้ดีว่าสวี่ชิงหล่างพูดอีกครั้งว่า ‘จากไปแล้ว’ ในครั้งนี้หมายถึงอะไร และน่าจะลงไปแล้วด้วย
“ทำไมจู่ๆ ก็จากไป” โจวเจ๋อถาม เดิมทีอยากจะพูดว่า ‘ขอแสดงความเสียใจด้วย’ แต่พอลองคิดดู คงจะไม่เหมาะสม
“โดนจับได้เหรอ”
มือที่ถือบุหรี่ของโจวเจ๋อสั่นเล็กน้อย
โดนจับได้เหรอ
โจวเจ๋อจำได้ว่า ก่อนที่ผู้เฒ่าจะจากไป ได้ตะโกนว่า ‘พวกเรา เจอตัวพวกเราแล้ว!’
สวี่ชิงหล่างมองโจวเจ๋อ “ผมไม่ยอมและรู้สึกว่าไม่เท่าเทียมกัน ทำไมเธอถึงพาพ่อแม่ของผมไป แต่กลับไม่พาคุณไป”
“เขา เธอ” ภาพของสาวน้อยโลลิคนนั้นผุดขึ้นมาในหัวของโจวเจ๋อ จากนั้นก็รวมกับสภาพของสวี่ชิงหล่างที่จากไปในเย็นวันนั้น จึงพอเดาออกเจ็ดแปดส่วน
“เธอ เป็นไปไม่ได้มั้ง”
“ยมโลกมีกฎระเบียบ คนตายก็ต้องออกเดินทาง!” สวี่ชิงหล่างกดเสียงต่ำลง จ้องมองตาของโจวเจ๋อ “ลิ้นยาวทอดนำทาง คอลึกคือนรกอเวจี คุ้นๆ ไหม”
“ยมทูตขาวดำ”
“นั่นเป็นคำเรียกทั่วไปเท่านั้น” สวี่ชิงหล่างถอนหายใจ “แต่พวกเขาเป็นผู้ปฏิบัติตามกฎอย่างแท้จริง ท่องไปในยมโลก กวาดล้างและจัดระเบียบ แยกคนและผีออกจากกัน คนก็มีเส้นทางของคน แล้วผีจะไม่มีได้ยังไงเล่า”
“อ้อ”
โจวเจ๋อไม่ค่อยเชื่อเท่าไรนัก ถ้าหากสาวน้อยโลลิมีฐานะเป็นยมทูตขาวดำจริงๆ เช่นนั้นตอนที่เธอแลบลิ้นเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาก่อนหน้านั้น เพื่อทำให้รถเกิดอุบัติเหตุและคนขับรถคนนั้นถึงแก่ความตายจะให้คิดว่าเป็นอะไร
“เธอไม่ได้ให้ผมไป แต่กลับพาพ่อแม่ของคุณไป ดังนั้น คุณจึงเกลียดผม” โจวเจ๋อชี้นิ้วมาที่ตัวเอง
“ใช่” สวี่ชิงหล่างพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นในนี้ไม่ได้ใส่ยาพิษใช่ไหม”
“…” สวี่ชิงหล่าง
“ไม่ได้ใส่ยาพิษใช่ไหม” โจวเจ๋อถามอีก
“เปล่า” สวี่ชิงหล่างตอบ
“งั้นก็โอเค” โจวเจ๋อไม่รู้ว่า ในข้าวราดหมูกลับกระทะของวันนั้น ได้ใส่ยาพิษไว้ในกับข้าว ถ้าหากวันนั้นหมอหลินไม่ได้กลับมาเร็วหน่อย มีความเป็นไปได้ที่ตัวเองจะต้องกินข้าวมื้อนั้นจริงๆ
“คุณโง่จริงหรือว่าแกล้งโง่” สวี่ชิงหล่างมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ “เธอทำไมไม่จับคุณ”
“ใช่แล้ว ทำไมเธอไม่จับผม” โจวเจ๋อก็ถามเหมือนกัน
“ผมถามคุณอยู่!” สวี่ชิงหล่างเสียงสูงขึ้นอีกนิด
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” โจวเจ๋อแบมือ “อาจจะเป็นเพราะว่าผมช่วยชีวิตเธอหนึ่งครั้ง”
“…” สวี่ชิงหล่าง
การสนทนาของทั้งสองคน สุดท้ายจบลงด้วยการสูบบุหรี่มวนนั้นจนหมด
ทั้งสองฝ่ายถึงแม้ครั้งนี้ถือว่าพูดกันอย่างตรงไปตรงมา ทำลายความรู้ใจกันแต่เดิมแม้ไม่ต้องพูด
โจวเจ๋อเดินกลับมาที่ร้านของตัวเอง ตอนที่เขาเก็บเก้าอี้พลาสติกบนพื้น กลับพบกระดาษเงินที่มีความหนาไม่เท่ากันติดอยู่ใต้เก้าอี้พลาสติกทั้งหกตัว
นี่คือเงินค่าอ่านหนังสือหรือว่าค่าข้าว
โจวเจ๋อยังจำได้ เมื่อก่อนนักพรตเฒ่าที่เปิดไลฟ์สดก็เคยให้กระดาษเงินปึกหนึ่งแก่ตัวเอง บอกว่าสามารถสะสมบุญได้ เช่นนั้น กระดาษพวกนั้นของเขาก็ได้มาจากวิธีแบบนี้หรือ
เขาทำได้อย่างไร
โจวเจ๋อรวบกระดาษเงินขึ้นมา หนาเป็นปึกจับถนัดมือดีมาก ปกติเขาไม่เคยเห็นกระดาษเงินที่หนาขนาดนี้ เวลาลูบอยู่ในมือแล้ว รู้สึกลื่นดุจแพรไหม
นี่ทำให้โจวเจ๋อนึกถึงร้านขายของจิปาถะสำหรับคนตายที่นักพรตเฒ่าได้พูดถึง ทำธุรกิจกับผี ร้านที่ดีที่สุดก็คือร้านขายของจิปาถะสำหรับคนตาย เพราะว่าสิ่งของที่ขายอยู่ในนั้น เพื่อมอบให้กับบุคคลที่ล่วงลับไปแล้ว
และด้วยเหตุนี้ ถ้าหากกระดาษที่ตัวเองถืออยู่ในมือตอนนี้เป็น ‘ธนบัตร’ ของคนตาย เช่นนั้นการเปิดร้านขายของจิปาถะสำหรับคนตาย ก็จะยิ่งได้กำไรมากกว่าตัวเองแน่นอน
ในหัวของเขา มีภาพวิดีโอของเด็กหนุ่มกินโจ๊กอย่างยากลำบากนั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ผุดขึ้นมาอีกครั้ง
โจวเจ๋อรู้สึกในทันทีทันใด ดูเหมือนตัวเองจะพบเรื่องที่น่าสนุกมากเรื่องหนึ่ง
แน่นอนว่า เรื่องที่น่าสนุกกว่านี้ ตอนนี้ก็ไม่มีเวลาไปสนใจ เมื่อวานไม่ได้นอนตลอดคืน ในเมื่อตอนนี้กลับมาแล้วก็ต้องนอนหลับให้เต็มตื่นเสียหน่อย
โจวเจ๋อดึงประตูม้วนของร้านหนังสือลงมา แล้วล็อกกุญแจ ไม่รู้ว่าทำไม ร้านหนังสือของเขาเปลี่ยนเวลาเปิดตอนกลางคืนมากกว่าตอนกลางวัน หรือบางที ต่อไปตัวเองจะมีโอกาสได้ทำป้ายอีกหนึ่งร้าน
ชื่อว่า ‘ร้านหนังสือยามวิกาล’
อย่างไรเสียตอนกลางวันก็ไม่ค่อยมีลูกค้า ร้านหนังสือก็ขาดทุนอยู่แล้ว ตัวเองก็หาอะไรเล่นไปเรื่อยเปื่อย หาเรื่องสนุกทำ และผลที่แย่ที่สุดก็มีสภาพแบบนี้ไม่ใช่หรือ
เรื่องของเด็กหนุ่มส่งอาหารเป็นความผิดที่โหดร้ายที่สุด แต่ก็ได้สร้างแรงบันดาลใจให้โจวเจ๋อ
อุปกรณ์อาบน้ำของห้องน้ำติดตั้งเรียบร้อยแล้ว โจวเจ๋อซื้อเครื่องทำน้ำอุ่น ถอดเสื้อผ้า แล้วก็อาบน้ำให้ตัวเองจากนั้นเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่แล้วลงมาข้างล่าง
ตอนที่โจวเจ๋อโน้มตัวกำลังติดตั้งอุณหภูมิของตู้แช่ ทั้งตัวของเขากลับตกตะลึงอยู่ตรงนั้น
เพราะว่าในตู้แช่ที่อยู่ตรงหน้าของเขา
มีคนนอนอยู่
อีกฝ่ายนอนหลับตา เหมือนกำลังหลับสนิท ลมหายใจสม่ำเสมอ สองมือประสานกันวางไว้ตรงหน้าอกให้ความรู้สึกเหมือนคนที่นอนหลับอย่างสงบ
สงบเยือกเย็นและน่ารักมาก
แต่เงื่อนไขก่อนหน้าคือ ถ้าหากลิ้นของเธอไม่เปลี่ยนเป็นยาวขนาดนั้นละก็
สาวน้อยโลลิ
เข้ามายึดครองรังของตัวเองโดยพลการ
โจวเจ๋ออยากจะตะโกนเสียงดัง เพื่อให้เพื่อนบ้านสวี่ชิงหล่างที่อยู่ข้างบ้านเข้ามาแก้แค้น
แต่พอคิดดูแล้วก็ช่างมันเถอะ ไม่ใช่เขารู้สึกว่าเรียกสวี่ชิงหล่างมาแก้แค้นเป็นการทำร้ายเขา แต่เขาคิดว่าสวี่ชิงหล่างก็ไม่มีความกล้าที่จะแก้แค้น ไม่แน่ตอนที่เธอมา เขาอาจจะทักทายอย่างเป็นกันเองว่า
“คุณตื่นแล้วเหรอ คุณอยากกินอะไรไหม ผมจะทำให้คุณ”
ยามที่สาวน้อยโลลิลืมตาขึ้น นัยน์ตาของเธอลึกล้ำประดุจเหวลึก ไม่มีความบริสุทธิ์สดใสเหมือนที่เคยเจอในอดีต
อีกฝ่ายยื่นมือออกมา โจวเจ๋อช่วยเปิดประตูตู้แช่
สาวน้อยโลลินั่งอยู่ข้างใน โจวเจ๋อสังเกตเห็นว่า จริงๆ แล้วเธอไม่ได้ตั้งอุณหภูมิ แต่เลือกเปลี่ยนสถานที่ระบายอากาศเท่านั้น
“เจ้านอนในนี้ ไม่หนาวเหรอ” สาวน้อยโลลิที่นั่งอยู่ในตู้แช่เอ่ยถาม และไม่รอให้โจวเจ๋อตอบ สาวน้อยโลลิก็เอ่ยพูดอีกว่า “อ้อ ฉันลืมไป คุณไม่เหมือนกัน”
พูดจบ สาวน้อยโลลิที่นั่งอยู่ในตู้แช่ก็ยื่นมือตบตำแหน่งว่างข้างกายตัวเองเบาๆ แล้วมองโจวเจ๋ออย่างไร้เดียงสาไม่มีพิษภัย
“มานอนด้วยกันไหม”
โจวเจ๋ออยากยื่นมือออกไปขยี้ศีรษะของสาวน้อยคนนี้ แต่มือที่แนบอยู่ข้างลำตัว กลับหยุดลง
เธอเป็นตัวตนของยมทูตขาวดำ เป็นยมทูตผู้ปฏิบัติตามกฎยามที่อยู่ในโลกมนุษย์
สาวน้อยโลลิยื่นมือมา มือเล็กของเธอจับมือใหญ่ของโจวเจ๋อ แล้วใช้มือของโจวเจ๋อกดไปที่ศีรษะของเธอ จากนั้นกดมือของโจวเจ๋อให้ขยี้บนศีรษะของตัวเองไปมา
“…” โจวเจ๋อ
“เจ้า ดีมาก” สาวน้อยโลลิในที่สุดก็ลุกขึ้นยืนจากในตู้แช่ แต่อาจจะเป็นเพราะขาสั้น จึงคลานออกมาลำบากอยู่บ้าง
โจวเจ๋ออุ้มเธอออกมาจากในตู้แช่ และไม่รู้ว่าก่อนหน้านั้นเธอนอนลงไปได้อย่างไร
“เจ้า ดีมาก” สาวน้อยโลลิชี้นิ้วไปที่โจวเจ๋อ “พูดซ้ำอีก”
“เอ่อ…ขอบคุณครับ” โจวเจ๋อไม่รู้ว่าว่าควรจะตอบอย่างไร
“ข้าต้องไปแล้ว” สาวน้อยโลลิหมุนตัว หันหลังให้โจวเจ๋อ ประสานสองมือไพล่หลัง โจวเจ๋อรู้ว่าเธออยากจะแสดงมาดที่สูงส่งและชื่นชมในคุณธรรม
แต่ปัญหาของเธอกับสวี่ชิงหล่างนั้นเหมือนกัน
สวรรค์ให้ผิวพรรณที่ผิดแผกกับพวกเขา
ไม่รู้ท่าทางแบบนี้ของเธอทำไมถึงน่ารักมาก
กลั้นไว้ ห้ามหัวเราะ
โจวเจ๋อเตือนตัวเองไม่หยุด
นี่คือท่านยมทูตขาวดำเชียวนะ
ห้ามหัวเราะ!
ฮ่าๆๆๆๆ!
แต่กลั้นหัวเราะไม่อยู่จริงๆ!
หาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ ฮ่าๆๆ!
แย่แล้วฮ่าๆๆ!
ยิ่งกลั้นก็ยิ่งหัวเราะหนักขึ้นและมากขึ้น แม้แต่น้ำตาก็ไหลออกมา
สาวน้อยโลลิไม่สนใจเสียงหัวเราะของโจวเจ๋อ และไม่ลงโทษโจวเจ๋อโทษฐานหมิ่นประมาท
ได้แต่ถามว่า “เจ้าอยาก ทำหน้าที่แทนข้าไหม”
…………………………………………………………………………