ตอนที่ 38 พูด
“มา ลองชิมดู น้ำบ๊วยสูตรใหม่”
สวี่ชิงหล่างวางแก้วลงบนเคาน์เตอร์ของโจวเจ๋อ น้ำบ๊วยแก้วนี้มีสีเข้มกว่าของเก่า พอเขย่าไปมาตรงหน้า ดูเหมือนเหล้าแก้วหนึ่ง
“แตกต่างกันตรงไหน” โจวเจ๋อไม่ดื่ม แต่ถามก่อน
“รสชาติเข้มข้นกว่า เหมือนกับเหล้าเหลือง ความแรงอยู่ข้างหลัง เวลาที่คุณกินข้าวจะกลืนไม่ยากเหมือนที่ผ่านมา เพิ่มดรรชนีความสุขในชีวิตของคุณให้สูงขึ้น”
“เชอะ ชู้…รัก”
ศพผีสาวที่กำลังจัดตู้หนังสืออยู่ข้างๆ พูดด้วยความหึงหวง
โจวเจ๋อจิบหนึ่งคำ น้ำบ๊วยแตกต่างจากที่เคยดื่มเมื่อก่อน ครั้งนี้หวานอร่อยสดชื่น พอดื่มเข้าไปความรู้สึกหวานจะย้อนกลับมา รสชาติ ดีมาก
แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่ความรู้สึกที่ตัวเองต้องการ
เพียงแต่เพิ่งจะลองชิมได้ไม่นาน โจวเจ๋อก็รู้สึกจุกเสียดท้อง
“อือ…”
ร่ายกายก็ควบคุมไม่อยู่และเริ่มสั่นขึ้นมา
ความรู้สึกปวดแสบที่ย้อนกลับมารุนแรงมาก
นิ้วทั้งสิบเริ่มงอ จากนั้นกางออกอย่างช้าๆ โจวเจ๋อพยักหน้า รู้สึกพอใจนัก
“คุณมีความใส่ใจมาก” โจวเจ๋อกล่าว
“ไม่ต้องเกรงใจ” สวี่ชิงหล่างยิ้มเล็กน้อย “ผมอยากจะทำเป็นหนึ่งในเมนูเด็ดของผม แต่เสียดาย คนที่ชอบรสชาตินี้ไม่น่าจะเยอะเท่าไร”
“อืม” ตรงจุดนี้ โจวเจ๋อเห็นด้วย
“ครืด”
ประตูร้านหนังสือถูกผลักออก มีนักเรียนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา จำนวนนักเรียนมีไม่น้อย ประมานเจ็ดแปดคน ดูแล้วเป็น ‘เด็กเรียน’ ทั้งแก๊ง
“เถ้าแก่ รหัสไวไฟคืออะไร” นักเรียนหญิงคนหนึ่งเอ่ยถาม
โจวเจ๋อชี้ไปที่กำแพง บนนั้นมีเขียนอยู่
“ฮู้…”
พวกนักเรียนแยกกันหาเก้าอี้พลาสติกแล้วนั่งลง จากนั้นนักเรียนหญิงจึงหยิบการบ้านส่วนหนึ่งออกมาจากกระเป๋าสะพายของตัวเอง แล้วกางออก เพื่อให้คนอื่นลอกการบ้าน
ปิดเทอมฤดูหนาวใกล้จะมาถึงแล้ว นี่นับว่าเป็นภาพที่สามารถเห็นได้บ่อย
แน่นอนว่าโจวเจ๋อคงจะไม่เบื่อจัดจนวิ่งไปอบรมความหมายของการเรียนให้กับเด็กๆ เหล่านี้ รวมทั้งข้อเสียของการลอกการบ้านคนอื่น เขายื่นมือกดที่เคาน์เตอร์ จากนั้นศพผีสาวก็เดินมารินน้ำอุ่นให้โจวเจ๋อหนึ่งแก้ว
นักเรียนหญิงที่เป็นคนนำตอนนี้ เดินมาข้างชั้นวางหนังสือแล้วเปิดดูหนังสือไปเรื่อยเปื่อย หลังจากเลือกหนังสือสองสามเล่มแล้วก็เดินมาตรงหน้าโจวเจ๋อ “เท่าไรคะ”
“เก้าสิบห้า” โจวเจ๋อตอบ
“นี่ค่ะ ไม่ต้องทอน”
เด็กสาวเป็นคนใจป้ำมาก ยื่นเงินหนึ่งร้อยหยวนออกมาใบหนึ่ง
โจวเจ๋อรับเงิน แล้วไม่พูดอะไรอีก
รอจนถึงเวลาห้าโมงเย็น นักเรียนกลุ่มนี้จึงลอกการบ้านเสร็จแล้วออกไป ภายในร้านหนังสือกลับสู่ความเงียบเหงาแบบที่มันควรจะเป็นอีกครั้ง
สวี่ชิงหล่างไม่อยู่ในร้าน เขาวิ่งไปสั่งทำป้ายแล้ว แน่นอนว่าไม่ได้สั่งทำตามคำพูดของโจวเจ๋อ
“มนุษย์เกิดจากดิน กลับสู่ดิน” ชื่อป้ายเป็นแบบนี้
เพราะถ้าเป็นคนที่สมองปกติหน่อยก็จะมองออกว่าป้ายประเภทนี้ไม่เหมาะที่จะแขวนในสถานที่กินข้าว แต่เหมาะที่จะแขวนอยู่ข้างๆ หลุมฝังศพ
ศพผีสาวทำงานได้อย่างคล่องแคล่วปราดเปรียวมาก วันนี้ทำความสะอาดทั่วชั้นหนึ่งและชั้นสอง นอกจากเข้ามากระเซ้าเย้าแหย่โจวเจ๋อแล้ว ส่วนใหญ่ก็มองไม่เห็นข้อบกพร่องอื่น
นางไม่ได้พูดว่าตัวเองจะไปไหน โจวเจ๋อก็ไม่ได้ถาม
แน่นอนว่า โจวเจ๋อจำคำเตือนของแม่นางไป๋ได้ดี “เทศกาลเสื้อกันหนาวครั้งหน้า ให้เผาศพเป็นเถ้าถ่านด้วยไม้ไผ่”
โจวเจ๋อไม่รู้ว่าแม่นางไป๋รู้จักศพของตัวเองดีมากน้อยแค่ไหน ว่าอันที่จริงได้เกิดจิตวิญญาณแห่งปัญญานานแล้ว
ถ้าหากนางรู้ และยังคงไหว้วานตัวเอง และในขณะเดียวกัน ก็ยังบอกตัวเองถึงเวลาและวิธีเผานาง แบบนี้จะอธิบายว่าอย่างไร
เมื่อคืน ศพผีสาวก็ยอมรับว่าตัวเองถึงแม้จะถูกโจวเจ๋อฆ่าแกงก็จะไม่ยอมปล่อยพลังชี่พิฆาตออกไปโดยพลการและทำร้ายผู้บริสุทธิ์ทำให้แม่นางไป๋ที่อยู่ในนรกต้องรับเคราะห์ไปด้วย
ทว่า
แม่นางไป๋เหมือนอยากจะจัดการตัวปัญหานี้ของนางให้สิ้นซาก
หากมองจากแง่มุมนี้
ศพผีสาวที่ถูกตัวเองจับมาเป็นคนรับใช้
อันที่จริงก็เป็นคนน่าสงสารเช่นกัน
“เธอชื่ออะไร” โจวเจ๋อถาม
“ข้าแซ่ไป๋” ศพผีสาวตอบ
“ไป๋อะไร”
“ไป๋อิงอิง”
“ไป๋อิ๋งอิ๋งหรือ”
โจวเจ๋อพยักหน้า ชื่อนี้ ดูแปลกประหลาดเล็กน้อย
“อันที่จริง ท่านไม่ต้องเหนื่อยกินข้าวขนาดนี้ก็ได้” ศพผีสาวบิดเอว แล้วเรือนร่างที่น่าภาคภูมิใจก็ได้นูนออกมา“ก็เหมือนกับที่ท่านนอนกลับข้าแล้วนอนหลับสบายแบบนั้น จิตวิญญาณของท่านแปดเปื้อนไปด้วยกลิ่นอายจากนรก แต่ร่างกายของท่าน กลับเป็นคนที่มีชีวิต ท่านจำเป็นต้องนอนหลับ จำเป็นต้องกินข้าว เพื่อบำรุงกายเนื้อของตัวเอง แต่จิตวิญญาณของท่าน กลับไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นถึงเกิดการปฏิเสธและต่อต้านโดยสัญชาตญาณ”
“พูดต่อสิ”
“วันหลังข้าจะป้อนท่านเอง” ศพผีสาวยิ้มอย่างแพรวพราว “อาหารที่ผ่านปากของข้า จะติดน้ำผลไม้ของข้าซึ่งเท่ากับติดลมหายใจของผี เวลาท่านกิน ก็จะไม่รู้สึกทรมานมาก”
โจวเจ๋อเข้าใจในทันทีว่าทำไมตัวเองดื่มน้ำจากแก้วใบนั้นครั้งที่แล้วถึงรู้สึกหวานเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะปากของศพผีสาวนั้นหวาน แต่เป็นเพราะสาเหตุนี้
“ขอบใจ”
“ไม่ต้องเกรงใจเจ้าค่ะ”
ด้านนอกประตูร้านมีผู้ชายใส่เสื้อแจ็กเก็ตคนหนึ่งเดินเข้ามา ผู้ชายแต่งตัวเฉิ่มเชยเล็กน้อย ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าแดงก่ำ น่าจะดื่มเหล้าเมามาเมื่อครู่
อีกฝ่ายเดินเป็นวงกลมอยู่ข้างนอกสองรอบ สุดท้ายจึงผลักประตูแล้วเดินเข้ามาในร้านหนังสือ
ตอนแรกโจวเจ๋อไม่ได้สังเกต แต่ไม่ช้าสายตาของโจวเจ๋อกลับนิ่งไปเล็กน้อย
เขารู้จักผู้ชายคนนี้
ซุนเทา เป็นผู้ช่วยคนก่อนของตัวเอง เป็นหมอหนุ่มที่มี…ศักยภาพมากคนหนึ่ง
ศพผีสาวก็จ้องมองนิ่ง นางยื่นมือไปจิ้มเอวของโจวเจ๋อเบาๆ แล้วพูดเสียงออดอ้อนว่า
“ท่านยมทูต คือว่า ข้ากินได้ไหม”
‘กินคนเหรอ’
โจวเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ท่านยมทูตท่านไม่เห็นเหรอ บนหลังของคนผู้นั้น”
พอนางพูดเตือน โจวเจ๋อจึงลุกขึ้น มองไปที่หลังของผู้ชายที่มีวัตถุสีดำทะมึนห้อยอยู่
คนทั่วไปเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ว่ามันเป็นอะไร เพาะหน้าตามันเป็นนามธรรมมาก คล้ายหนอนพยาธิสีดำ แต่กลับมีลักษณะพิเศษคล้ายสิ่งมีชีวิตที่เป็นมนุษย์อยู่บ้าง
แต่เนื่องจากโจวเจ๋อเคยเป็นหมอมาก่อน มองปราดเดียวก็รู้ว่ามันคืออะไร…เป็นทารกที่คลอดก่อนกำหนด
“ฮือๆๆ…ฮือ…”
ดูเหมือนว่ามันจะสังเกตเห็นว่าโจวเจ๋อมองมัน เด็กทารกจึงส่งเสียงร้องไห้สะอื้นออกมา
เสียงนี้มีความคุ้นเคยยิ่งนัก ในหัวของโจวเจ๋อเริ่มค้นหาความทรงจำที่เกี่ยวข้อง ในที่สุด เขาก็หาต้นกำเนิดที่คุ้นเคยนี้จนเจอ
พยาบาลเฉิน
หรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือ เสียงที่เคยดังมาจากในท้องของพยาบาลเฉิน แน่นอนว่าตอนนั้นมีเพียงโจวเจ๋อที่ได้ยินเพียงคนเดียว
โจวเจ๋อไม่ได้แอบดีใจที่ตัวเองสามารถตรวจหา ‘ความน่าจะเป็นของการเป็นพ่อ’ ได้
สิ่งที่พรั่งพรูออกมาจากหัวใจ มีเพียงความเศร้าเท่านั้น
เด็กคนนั้น รักษาไว้ไม่ได้ใช่ไหม
ศพผีสาวพูดว่าอยากจะกินเขา ไม่ได้หมายถึงคน แต่หมายถึงวิญญาณของเด็กทารกนั่น
โจวเจ๋อขึงตาใส่นางหนึ่งที ศพผีสาวเบ้ปาก ไม่กล้าพูดอะไรอีก แล้วจึงได้แต่กลืนน้ำลายอย่างไม่พอใจอยู่ข้างๆขณะเดียวกันก็ยื่นมือกอดหน้าอกที่หนักอึ้งของตัวเองอย่างน้อยใจ
“ข้าไม่กินอาหารของคนเป็น ทุกคืนยังต้องถูกท่านหยิบเอาพลังชี่พิฆาตเหมือนกับเตาหลอม ถ้าหากข้าไม่บำรุง ก็จะขาดความอุดมสมบูรณ์ ถึงตอนนั้นท่านก็จะไม่สามารถแอบมองข้ายามที่ข้าทำงานได้อีก”
โจวเจ๋อตกใจที่นางแอบสังเกตสายตาของตัวเอง
“คนผีทะเล” ศพผีสาวเอ่ยอย่างแง่งอน
“เถ้าแก่ มีเหล้าไหม” ซุนเทาตะโกนถาม
“ไปร้านข้างๆ” โจวเจ๋อตอบ แต่ก็ยังลุกขึ้นรินน้ำให้เขาหนึ่งแก้ว
อย่างไรก็ตามก็เคยเป็นศิษย์น้องที่ตัวเองเคยสอน เพราะตัวเองเติบโตมาจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ซุนเทาเติบโตมาจากครอบครัวของพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว ตัวเองในตอนแรกก็ยังมองข้ามหมอหลินคนสวย แต่กลับใส่ใจดูแลศิษย์น้องที่ชื่อว่าซุนเทามากกว่า
นอกจากนี้ เนื่องจากนิสัยของทั้งสองคนมีความคล้ายกันมาก สิ่งที่ประสบพบเจอในวัยเด็กทำให้พวกเขายิ่งเข้าใจความหมายของการต่อสู้และความเพียรพยายาม ต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อพิสูจน์ความเก่งของตัวเอง
“พรุ…ฮ่าๆๆๆ…” ซุนเทารับน้ำมา แล้วดื่มคำโต จากนั้นก็หัวเราะเสียงดัง “เถ้าแก่ คุณมองผมทำไมครับ ผมไม่ชอบผู้ชายนะ”
“อ้อ” โจวเจ๋อขานรับหนึ่งที
มีผู้ชายข้างบ้านที่สวยขนาดนั้น ฉันยังต้องสนใจนายอีกหรือ
ซุนเทานั่งลงบนเก้าอี้พลาสติกแล้วกัดริมฝีปาก จากนั้นก็ส่ายหัว
“เถ้าแก่ คุณมีลูกไหม”
“พวกเรายังไม่อยากมี ท่านรู้สึกว่าข้ายังเด็กเกินไป” ศพผีสาวพูดแทรกอยู่ข้างๆ พยายามเพิ่มบทบาทให้ตัวเอง
ซุนเทาเงยหน้ามองศพผีสาว ถึงแม้ศพผีสาวจะมีรูปร่างที่อิ่มเอิบ ตัวผอมเพรียว แต่มองดูแล้วเหมือนเด็กชั้นมัธยมปลายเท่านั้น เขาจึงยิ้มแล้วเอ่ยว่า
“เธอยังเด็กเกินไปจริงๆ”
ศพผีสาวเบือนหน้าหนีอย่างไม่พอใจ จากนั้นจึงกลืนน้ำลายหนึ่งที
“ผมเดิมทีมีลูกครับ” ซุนเทาพูดอย่างทอดถอนใจ
โจวเจ๋ออยากจะพูดว่า นายมีลูกจริงๆ และเด็กคนนั้นก็ห้อยอยู่ที่หลังของนาย
การพัฒนาด้านการแพทย์ในปัจจุบันบวกกับแนวความคิด ‘ทันสมัย’ ของผู้คน การแท้งลูกและการทำแท้ง ไม่ใช่คำที่สะดุดตามากขนาดนั้น แต่มีคนจำนวนมากที่รู้ดีว่า เด็กทารกที่ไม่ได้เกิดมา ความอาฆาตที่ติดตัวของพวกเขา จริงๆ แล้วยิ่งใหญ่มาก
เด็กทารกที่ตายก่อนจะกลายร่างเป็นผีได้ง่ายที่สุด แน่นอนว่าความสามารถที่พวกมันต้องการแก้แค้นความจริงช่างอ่อนแอยิ่งนัก
มากสุดก็แค่ใช้ความเคียดแค้นนี้ เกี่ยวพันกับบุคคลที่เรียกว่าเป็นพ่อแม่ของตัวเองอยู่ระยะหนึ่ง จากนั้นก็จะหายไป
ศพผีสาวอยากกินเขา เพราะเด็กทารกเหล่านี้ยังไม่ได้เกิดมา ดังนั้นก็เหมือนกับเมล็ดที่ยังไม่งอกสิ่งมีชีวิตที่ดำรงอยู่ประเภทนี้สำหรับศพผีสาวมี ‘คุณค่าของการบำรุง’ ที่สูงมาก
“เป็นอะไร” โจวเจ๋อถาม “แฟนไม่ตกลงเหรอ”
โจวเจ๋อจำได้ว่าคราวที่แล้วพยาบาลเฉินถึงแม้จะตกใจและไม่สบายใจ แต่เธอเคยพูดว่า จะเอาเด็กไว้
“ไม่ เธอยอม แต่ผมไม่ยอม ผมกลัวมาก ผมจึงสั่งให้เธอเอาเด็กออก”
ไม่รู้ว่าทำไม ซุนเทาอยากจะพูดคุยกับเถ้าแก่ร้านหนังสือแห่งนี้มาก เขาเจอความรู้สึกคุ้นเคยของพี่ใหญ่ได้จากตัวของเถ้าแก่ร้านหนังสือแห่งนี้
และพี่ใหญ่คนนั้น ก็ได้เสียชีวิตไปนานกว่าครึ่งปีแล้ว
“กลัวเหรอ” โจวเจ๋อถาม
“พ่อแม่ของเธอดูถูกผม เหอะๆ บ้านของพวกเขา มีฐานะดีมาก” ซุนเทาเงยหน้า เหมือนกำลังกลั้นน้ำตาของตัวเอง
“แต่เรื่องก็เกิดขึ้นแล้วยากจะแก้ไข” โจวเจ๋อกล่าว
“แต่ผมไม่อยากเอาเรื่องนี้ไปข่มขู่ครอบครัวของพวกเขา ผมไม่อยากให้เพื่อนร่วมงานของผม ไม่อยากให้เพื่อนของผม คิดว่าผมใช้วิธีพวกนี้เข้าบ้านของพวกเขา ผมไม่อยากให้คนอื่นคิดว่าผมเป็นผู้ชายที่ต้องการชุบตัว ผมไม่ได้โลภมาก อยากได้เงินที่บ้านของพวกเขา และไม่คิดโลภอย่างอื่น ผมไม่อยากหลังจากแต่งงานไปแล้ว ต้องเห็นสายตาดูถูกของพ่อตาแม่ยาย กระทั่งพวกบรรดาญาติๆ ของตระกูลของพวกเธอ ผมตั้งแต่เด็กเติบโตขึ้นมาจากครอบครัวพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว ดังนั้นผมจึงยิ่งเข้าใจหลักของการต่อสู้ดิ้นรนด้วยตัวเอง”
“ถึงแม้ว่าเธอจะสมัครใจ”
“เธอสมัครใจ เธอยินดี แต่ผมไม่ยอม ผมอยากให้ตัวเองใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติ เหอะๆ ตอนที่เพิ่งเข้าทำงาน มีพี่ชายคนหนึ่งเคยบอกผม เขาพูดว่าศักดิ์ศรีและเกียรติยศกับท่าทีของคนอื่นที่มีต่อตัวเอง ต้องอาศัยการต่อสู้ด้วยสองมือเรา ตอนนี้ผมยังไม่มีผลงานอะไร ดังนั้น ผมไม่อยาก…”
โจวเจ๋อสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นถามว่า “แล้วพี่ชายคนนั้นได้บอกนายอีกหนึ่งประโยคหรือเปล่า”
“อะไรครับ” ซุนเทาถามอย่างประหลาดใจ
“นั่นก็คือ ตอนที่ตัวเองฟิน อย่าลืมใส่ถุง..ยาง”
พูดจบ โจวเจ๋อยกหมัดของตัวเองแล้วซัดไปที่ใบหน้าของซุนเทาโดยตรง
“ผัวะ!”
ซุนเทาโดนชกอย่างไม่มีสาเหตุ เขาล้มลงไปกองกับพื้นทั้งตัว พร้อมกับสีหน้างุนงง
“อย่าหาเหตุผล อย่าหาความมีเกียรติ อย่าพูดถึงสิ่งอื่น นายเป็นคนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวสุดๆ”
พูดจบ
โจวเจ๋อเตะซุนเทาที่ล้มลงไปกองกับพื้นแล้วอีกครั้งหนึ่ง
“ปั่ก!”
ซุนเทาขดตัว เขาเจ็บมาก ขณะเดียวกันก็สร่างเมาแล้ว แต่ยังคงพูดด้วยความโมโห
“คุณจะบ้าเหรอ ที่ต่อยคน!”
“ใช่ ฉันบ้า แม่งตอนแรกฉันเองที่ตาบอด คิดอยากจะช่วยดันนายขึ้นมา!”
และในเวลานี้
บางสิ่งที่ขดตัวอยู่ไหล่ของซุนเทาแต่เดิม ก็ได้คลายตัวออกมาอยู่ตรงหน้าของโจวเจ๋อ
จากนั้นส่งเสียงร้อง ‘จือจือ’ ออกมา
ศพผีสาวได้ยิน
โจวเจ๋อก็ได้ยิน
แต่ซุนเทาไม่ได้ยิน
เขาเป็นเด็กที่ยังไม่ได้ลืมตาดูโลกอย่างแท้จริง
แต่ในเวลานี้กลับแยกเขี้ยวยิงฟันให้กับคนที่ต่อยพ่อของเขา และส่งเสียงร้องด้วยความโกรธออกมา…
…………………………………………………………………………