ตอนที่ 41 เขินอายที่สุด
สวี่ชิงหล่างกับศพผีสาวรวมทั้งสามีภรรยาวัยกลางคนคู่นั้นออกมากันหมดแล้ว ใบหน้าของสามีภรรยาคู่นั้นล้วนเต็มไปด้วยความยินดี เห็นได้ชัดว่าภายใต้การช่วยเหลือของศพผีสาว พวกเขาถึงชิงจุดธูปได้คนเป็นคนแรก
ไม่ว่าจะได้ผลหรือไม่ ท้ายที่สุดแล้วก็ถือว่าเป็นลางที่ดี
ถึงแม้ผู้ปกครองจะไม่เชื่อเรื่องงมงาย แต่ก่อนที่ลูกจะสอบครั้งใหญ่ ก็จะให้ลูกกินบ๊ะจ่างกับขนมเข่ง เพราะเป็นคำที่มีความหมายแฝงว่า ‘เกาจง’ (มัธยมปลาย)
สีหน้าของศพผีสาวดูไม่สู้ดีนัก ตอนที่ทุกคนกลับไปพร้อมกัน นางรั้งท้ายอยู่คนเดียว
“พวกเราไปกินมื้อดึกกันเถอะ กินปิ้งย่างเป็นยังไง” สวี่ชิงหล่างพูดเสนอ
ตัวเขาเองเปิดร้านอาหาร แต่ไม่อยากให้ตัวเองต้องเตรียมของปิ้งย่างตอนเย็น
ผิวพรรณของสวี่ชิงหล่างมีคุณค่ามาก จะทนรมควันไฟแบบนี้ได้อย่างไร
ทว่าหลังจากที่สวี่ชิงหล่างพูดข้อเสนอนี้ก็รู้สึกเสียใจ
เพราะคนกลุ่มนี้ มีผีดิบตนหนึ่ง และยังมีคนตายที่ยังมีชีวิตอยู่ที่ไม่กินดอกไม้ไฟของมนุษย์อีกหนึ่งคน
พอลองนึกถึงภาพตอนที่กินข้าว ทั้งสองคนก็คงนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน เหมือนกับรูปปั้นที่กำลังเพลิดเพลินอยู่ท่ามกลางดอกไม้ไฟ
ฉากภาพนี้ คิดดูแล้วไม่รู้สึกอยากอาหารเลย
“พวกคุณไปกันเถอะ พวกเราขอตัวกลับก่อน” โจวเจ๋อกล่าว
“แบบนั้นเกรงใจแย่เลย” ผู้ชายวัยกลางคนเอ่ย
“ไม่เป็นไรครับ ลุง พวกเราไปกินกันเถอะ พวกเขาสองสามีภรรยาอยากจะเดินเล่นกันเอง”
สวี่ชิงหล่างจูงมือของสามีภรรยาวัยกลางคนเดินออกไป
โจวเจ๋อไม่ได้รีบร้อนเรียกรถ แต่เดินไปตามทางเส้นเล็กที่ไม่ค่อยมีคนพร้อมกับศพผีสาว
อากาศเริ่มอบอุ่น ตอนเย็นจึงไม่ค่อยหนาวเหมือนเมื่อก่อน
“เป็นอะไรเหรอ” โจวเจ๋อถามศพผีสาว
ศพผีสาวหลังจากเดินออกมาจากในวัด ก็ดูอึดอัดไม่มีความสุข
“ไม่สบายเจ้าค่ะ” ศพผีสาวตอบ
“ประจำเดือนยังไม่หมดอีกเหรอ” สองร้อยปีแล้วนะ
“…” ศพผีสาว
หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง ศพผีสาวจึงเอ่ยปาก “ในวัดมีรูปปั้นสองสามตัวจ้องมองข้า รู้สึกแปลกมาก”
“คุณรู้สึกว่าพวกเขากำลังมองคุณงั้นเหรอ” โจวเจ๋อถาม
“เจ้าค่ะ” ศพผีสาวพยักหน้า
“คุณรู้สึกว่าพวกเขาไม่ชอบคุณเหรอ”
“เจ้าค่ะ” ศพผีสาวพยักหน้าต่อ
“คุณคิดว่าเป็นเพราะคุณเป็นผีดิบ ดังนั้นเดิมทีจึงไม่ควรไปสถานที่แบบนั้นใช่ไหม”
“เจ้าค่ะ” ศพผีสาวยังคงพยักหน้า
“นักปราชญ์เป็นผู้ริเริ่ม การศึกษาไม่แบ่งชนชั้น” โจวเจ๋อหัวเราะ พลางยื่นมือตบศีรษะของศพผีสาวเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “คุณเป็นผีดิบ เป็นสิ่งที่มีตัวตนที่คนแค้นผีชัง แต่คุณไปที่วัดขงจื๊อ ไปช่วยจุดธูปให้คนอื่น ถือว่าเพิ่มความนิยมให้พวกเขา คุณรู้สึกว่าพวกเขากำลังมองคุณอยู่ อาจจะเป็นเพราะความพิเศษของคุณ ดังนั้นพวกเขาจึงให้ความสนใจคุณมากกว่า ก็เหมือนกับสุนัขไซบีเรียนฮัสกี้ตัวหนึ่งที่จู่ๆ ก็หลงเข้ามาในฝูงหมาป่าแห่งทุ่งหญ้า ไม่ว่าใครที่ได้เห็นก็ต้องหยุดมองเป็นธรรมดาไม่ใช่เหรอ แน่นอนว่า มีความเป็นไปได้ ที่พวกเขาเดิมทีก็เป็นรูปดินปั้น ดวงตาของพวกเขาได้ยินว่าถูกปั้นออกมาอย่างหยาบๆ เพราะว่าเวลามองจะยิ่งมีชีวิตชีวาและเป็นประกาย ทั้งหมดทั้งมวล เป็นเพราะคุณสร้างแรงกดดันให้ตัวเองเท่านั้นเอง”
“แต่ถ้าหาก พวกเขากำลังมองข้าอยู่จริงๆ ละเจ้าคะ ถ้าหากพวกเขาไม่พอใจขึ้นมาจริงๆ…” ศพผีสาวยังคงลังเลอยู่บ้าง
“อย่างนั้นพวกเขาก็ไม่เหมาะสมที่จะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ผู้คนสักการะบูชาอยู่ในวัด!”
โจวเจ๋อพูดเสียงดัง
“เทพเจ้าได้รับการจุดธูปกราบไหว้บูชามานานนับพันปี ถ้าหากพลังเล็กน้อยแค่นี้ก็ยังไม่มี เช่นนั้นเขายังจะมากินของไหว้บนโต๊ะบูชาในวัดได้ยังไง กะอีแค่เทพเจ้าจอมปลอม มีอะไรต้องกลัว”
ศพผีสาวมองโจวเจ๋อ จากนั้นจึงยิ้มมุมปากแล้วเอ่ยว่า “เถ้าแก่ เมื่อครู่ท่านพูดมีพลังมากเจ้าค่ะ”
“อยู่แล้ว” โจวเจ๋อเพลิดเพลินไปกับการประจบประแจงของสาวใช้ของตัวเอง
“แต่เถ้าแก่เจ้าคะ ท่านก็เป็นยมทูต ท่ามกลางความมืดมิดคงรู้ว่าอะไรเป็นอะไร สำหรับคนทั่วไปแล้ว อาจจะไม่มีอะไรเกี่ยวโยงมากนัก แต่สำหรับท่านกลับไม่เหมือนกัน อีกอย่าง ท่านก็เปิดร้านหนังสือ เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่เป็นการอวยพรให้โชคของเทพเจ้า ท่านวิจารณ์ใส่ร้ายเทพเจ้าแบบนี้สำหรับท่าน ไม่ดีจริงๆ นะเจ้าคะ”
ศพผีสาว นานทีจะได้พูดกับโจวเจ๋อจากก้นบึ้งของหัวใจ หากเป็นเมื่อก่อน นางคงอยากจะให้โจวเจ๋อหาเรื่องใส่ตัว
เอาเลยๆ ทำตัวเองจนตายแล้วข้าจะช่วยเก็บศพให้ท่าน จากนั้นก็จะแกะเล็บของท่านแล้วบดเป็นผงมุกเอามาชงดื่มเป็นน้ำชา ไม่สิ เอาไปให้หมูกิน!
“ยังไงก็ขอพูดประโยคนั้นเหมือนเดิม ไม่ทำเรื่องที่ละอายใจ ไม่กลัวผี…ไม่กลัวเทพเจ้ามาเคาะประตู”
โจวเจ๋อเงยหน้ามองแสงไฟข้างทาง แล้วพูดต่อว่า
“ชาติที่แล้วผมช่วยชีวิตรักษาคน ไม่รับอั่งเปา ไม่ทำผิดศีลธรรม รักษาจรรยาบรรณของหมอมาตลอด ชาตินี้ถึงแม้จะกลายเป็นผี ยืมศพคืนชีพแล้ว ก็จะไม่ทำเรื่องที่ผิดบาปในใจใดๆ เหมือนกัน มีอะไรต้องกลัว”
โจวเจ๋อสูดลมหายใจลึกๆ แล้วพูดซ้ำ “มีอะไรต้องกลัว”
ศพผีสาวได้ยินแล้วแสดงสีหน้าครุ่นคิด
คำพูดเหล่านี้ของโจวเจ๋อไม่ใช่คำปฏิญาณของเด็กมัธยมปีที่สอง แต่ยิ่งเหมือนกับคำเตือนให้ตัวเอง
ทั้งสองคนเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย สายลมที่พัดในตอนเย็น เย็นชื่นใจ
ในที่สุด ศพผีสาวจึงหยุดเดิน แล้วถามว่า “เถ้าแก่ ท่านจะไปไหนเหรอเจ้าคะ”
โจวเจ๋อหยุดเดิน มองไปรอบๆ เมื่อรู้ตัว ทันใดนั้นก็พบว่าตัวเองเดินเข้ามาในเขตชุมชนเล็กๆ แห่งหนึ่ง
บรรยากาศที่คุ้นเคย ห้องประชาสัมพันธ์ที่คุ้นเคย
ภายในห้องประชาสัมพันธ์ที่คุ้นเคยมียามเฝ้าประตูที่แอบหลับอู้งานตอนเย็น
ตู้รับส่งเอกสารด่วนที่คุ้นชิน
และเขาก็เดินเล่นไปเรื่อยๆ แบบนี้ จากนั้นก็เดินกลับเข้าไปในเขตหมู่บ้านเล็กๆ ที่ตัวเองเคยอาศัยอยู่อย่างเคยชิน
ถึงแม้จะอยู่ที่ร้านหนังสือมาหนึ่งเดือนแล้ว แต่จิตใต้สำนึกบอกว่า ที่นี่ คือบ้านของเขา
เขาเติบโตในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จึงยิ่งเข้าใจความหมายของคำว่าบ้าน ขณะเดียวกัน จึงยิ่งยึดติดกับบ้านที่อยู่อาศัย
แต่โชคดีตอนที่เขาซื้อบ้าน ราคาบ้านในเมืองทงเฉิงยังไม่เพิ่มสูงมากเกินไป และก็เป็นเพราะหลังจากที่เขาได้ทำงานแล้ว กำลังจะเตรียมตัวเป็นทาสของบ้านอย่างอดใจไม่ไหว กลับดวงดีกลายเป็นเศรษฐี ทำให้บรรดาเพื่อนร่วมงานที่ซื้อบ้านในภายหลังอิจฉามาก
ตอนนี้โจวเจ๋อหาบัญชีของวีแชทกับโปรแกรมแชทคิวคิวกลับมาไม่ได้ ไม่สามารถยืนยันทางโทรศัพท์ ลองหารายชื่อเพื่อนในโทรศัพท์เพื่อช่วยยืนยัน ก็ถูกคนอื่นมองเป็นโรคจิตหรือไม่ก็ทำให้คนอื่นตกใจตื่น
แม้แต่ห้องของตัวเองก็ถูกโรงพยาบาลช่วยขายหลังจากที่เขาเสียชีวิต แล้วบริจาคเงินให้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในนามของตัวเอง
โจวเจ๋อใช่ว่าจะไม่ชอบวิธีพวกนี้ อย่างไรเสียเขาก็ไม่มีญาติสนิทคนอื่นในโลกนี้แล้ว
“ที่นี่ เป็นบ้านของผมในอดีต” โจวเจ๋อพูดกับศพผีสาว
“อย่างนั้น ก็ขึ้นไปดูสิเจ้าคะ” ศพผีสาวพูดเสนอแนะ
“ถูกขายไปแล้ว” โจวเจ๋อพูดอย่างน่าเศร้า
“งั้นก็ถือว่ากลับมาเที่ยวบ้านเกิด”
โจวเจ๋อพยักหน้า แล้วเดินเข้าไป
พอเข้าไปที่อาคารหลังที่แปด ยูนิตที่สอง เข้าไปในลิฟต์ก็มาถึงชั้นที่ห้า
โจวเจ๋อเดินมาอยู่หน้าประตูบ้านหลังหนึ่ง ประตูยังเป็นประตูเดิม ผู้ซื้อน่าจะยังไม่ทันได้เปลี่ยนและปรับปรุงใหม่มั้ง
แม้แต่พรมหน้าประตูก็เหมือนเดิม
รวมทั้งกระบองเพชรนั่นที่วางอยู่หน้าประตู ก็ยังวางอยู่ตรงนั้น
โจวเจ๋อยื่นมือออกไป คลำกระป๋องที่อยู่ใต้พื้น แล้วหาลูกกุญแจออกมาหนึ่งดอก
ตอนนั้น ตัวเองถูกเรียกไปโรงพยาบาลเพื่อรักษาผู้ป่วยฉุกเฉินในตอนเย็นเป็นประจำ และมักจะลืมโทรศัพท์หรือลูกกุญแจอยู่หลายครั้ง ดังนั้นเขาจึงวางลูกกุญแจสำรองไว้ที่นี่ สะดวกเวลาที่ตัวเองเข้าบ้านไม่ได้
เขาลองด้วยจิตใจที่มีความหวัง ใส่ลูกกุญแจเข้าไปแล้วบิด
เสียงไขประตูดังแกร๊ก… ประตูเปิดออกแล้ว
‘ประตูไม่ได้เปลี่ยน กุญแจก็ไม่ได้เปลี่ยนเหรอ’
โจวเจ๋อแปลกใจเล็กน้อย ผลักประตูออกแล้วเปิดไฟ
การตกแต่งในห้องรับแขกยังคงเหมือนเดิม
โจวเจ๋อถึงขนาดมองเห็นรองเท้าแตะของตัวเอง จึงเปลี่ยนใส่รองเท้าแตะแล้วเดินเข้าไป ศพผีสาวก็เดินตามเข้ามา
“เถ้าแก่ ยังเหมือนเดิมหรือไม่เจ้าคะ” ศพผีสาวถาม
“อืม นี่คือสิ่งที่ผมแปลกใจมากที่สุด”
ทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนเดิมจริงๆ แต่มันไม่ถูกหลักการ
คนทั่วไปหลังจากซื้อบ้านแล้ว ก็ควรจะเอาของที่คนตายเคยใช้แล้ว ทิ้งไปไม่ใช่เหรอ
แล้วทำไมถึงยังเก็บเอาไว้ นอกจากนี้ยังคงสภาพเดิมทั้งหมด แถมยังไม่รังเกียจความซวยอีกด้วย
หรือมีความเป็นไปได้ว่า คนที่ซื้อบ้านต่อจากตัวเอง จะเก็บไว้เพื่อลงทุน แต่ไม่ได้ให้คนอยู่อาศัย
โจวเจ๋อนั่งลงบนโซฟา ราวกับว่าเวลานี้เขาย้อนกลับไปเป็นตัวเอง
ทุกครั้งที่กลับมาด้วยความเหน็ดเหนื่อย ก็จะดูโทรทัศน์ ทำอาหารมื้อดึกกินเล็กน้อย ใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ แต่กลับรู้สึกเติมเต็มมาก
ศพผีสาวไปต้มน้ำชา รินให้โจวเจ๋อหนึ่งแก้ว จากนั้นจึงเอ่ยว่า
“เถ้าแก่ ท่านตายมาครึ่งปีกว่าแล้วใช่ไหมเจ้าคะ”
“เจ็ดเดือนแล้ว”
โจวเจ๋อตอบ แต่ทำไมรู้สึกว่าบทสนทนานี้แปลกเล็กน้อย
“แต่ที่นี่สะอาดมาก ไม่เหมือนสภาพที่ไม่มีคนอยู่มาเจ็ดเดือนแล้ว” ศพผีสาวพูดเตือน
โจวเจ๋อพยักหน้า เป็นจริงเช่นนั้น ที่นี่ถูกเก็บกวาดสะอาดมาก น่าจะมีคนเข้ามาทำความสะอาดเป็นประจำ
แต่โจวเจ๋อ ก็ยากที่จะจินตนาการเป็นอย่างมาก คนที่ซื้อบ้านของตัวเอง ขี้เกียจถึงขั้นไม่ทิ้งไม่เปลี่ยนอะไร กระทั่งที่ล็อกกลอนประตูก็ยังคงสภาพเดิม
โจวเจ๋อผลักประตูห้องนอน พบว่าแม้แต่ผ้าห่มและผ้าปูเตียงของตัวเองยังเป็นของที่ตัวเองเคยใช้เมื่อก่อน
“เถ้าแก่ ข้าจะไปอาบน้ำ เมื่อครู่ตอนที่อยู่ในวัด ข้าถูกวัตถุโบราณพวกนั้นจ้องมองอยู่นานสองนาน รู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัวเจ้าค่ะ”
“ไปสิ เปิดเครื่องทำน้ำร้อนก่อนนะ” โจวเจ๋อเอ่ยเตือน “ผ้าเช็ดตัวอยู่ในตู้หน้าประตูห้องน้ำ” ถ้าหาก ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมล่ะก็
ศพผีสาวเข้าไปอาบน้ำ นางรักสะอาดมาก ผู้หญิง เดิมทีก็รักสะอาดอยู่แล้ว เมื่อก่อนนางเป็นถึงลูกคุณหนู นอนอยู่ในโลงมาสองร้อยปี ไม่สามารถอาบน้ำได้ จะทรมานมากขนาดไหนกัน
ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้วนางจะอาบน้ำตอนเช้าหนึ่งรอบ ตอนเย็นก็อาบน้ำอีกหนึ่งรอบ เปลืองค่าน้ำของโจวเจ๋อไปไม่น้อย
แต่พอคิดว่านางเป็นพนักงานร้านหนังสือของตัวเอง แล้วก็ไม่มีเงินเดือน โจวเจ๋อจึงได้แต่อดทน
จากนั้นจึงดึงผ้าม่านขึ้น โจวเจ๋อยืนอยู่บนระเบียง มองดูแสงไฟระยิบระยับตอนกลางคืนที่อยู่ตรงหน้า
ที่นี่คือบ้านของเขา
มันไม่เคยเปลี่ยน แต่มันก็ไม่ใช่ของตัวเองอีกต่อไปแล้ว
สรรพสิ่งยังเหมือนเดิมแต่คนเปลี่ยนไป นี่เป็นความหมายอย่างแท้จริงของสรรพสิ่งยังเหมือนเดิมแต่คนเปลี่ยนไป
โจวเจ๋อหยิบบุหรี่ออกมาหนึ่งมวน จุดไฟ สูบบุหรี่แล้วพ่นควันออกมา
ในใจของเขารู้สึกเศร้าเล็กน้อย เขาในเมื่อก่อนคิดว่าตัวเองสามารถปล่อยวางได้ แต่ในความเป็นจริงเขาทำไม่ได้
ก็เหมือนกับเด็กทารกที่เขาส่งลงไปนรกเพื่อเวียนว่ายตายเกิดด้วยตัวเอง
ตอนนี้เขาตระหนักถึงความหมายได้อย่างลึกซึ้ง
ในฐานะคนเป็นคนหนึ่ง ความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ในโลกมนุษย์ของเขา ยากที่จะใช้คำพูดบรรยายออกมาได้จริงๆ
ถึงแม้ว่าตัวเอง เวลานี้จะเกิดความคิดวู่วาม อยากจะซื้อบ้านของตัวเองกลับมาอีกครั้ง
ส่วนเรื่องเงินน่ะหรือ ด้วยความสามารถของเขา อยากจะฝ่าฝืนกฎแล้วหาเงินจริงๆ
ยากมากนักเหรอ
ความคิดวู่วามแบบนี้ถูกกดลงไปได้อย่างง่ายดาย โจวเจ๋อรู้ดี นี่คือเส้นทางที่ไม่อาจหวนคืน เป็นกล่องแพนโดรา เมื่อถูกเปิดออกแล้ว ตัวเองก็ยากที่จะยั้งมือได้แน่
โจวเจ๋อรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนมีวินัยคนหนึ่ง ไม่ว่าเวลาไหน หากสามารถหลีกเลี่ยงได้ก็อย่าคิดที่จะทดสอบ‘คุณธรรมของจิตใจมนุษย์’
“แกร๊ก…” น่าแปลกมาก มีเสียงไขประตูดังขึ้นมาจากข้างนอก
‘เจ้าของบ้านกลับมาแล้วเหรอ
โจวเจ๋อหมุนตัว เดินจากระเบียงกลับมาที่ห้องรับแขก เขากำลังคิดว่าตัวเองอยู่ในห้องนี้จะอธิบายกับเจ้าของห้องอย่างไรดี แต่ก็ไม่ได้ตื่นเต้นมากเกินไป
ต่อให้พูดมากมายแค่ไหน อย่างน้อยเขาก็เป็นยมทูต ถ้าหากท้ายที่สุดแล้วถูกจับไปสถานีตำรวจโทษฐานบุกรุกบ้านของคนอื่นจริงๆ
แบบนี้ก็เท่ากับทำร้ายตัวเองใช่ไหมละ
วินัยก็คือวินัย แต่ไม่จำเป็นต้องทรมานตัวเอง
อย่างไรเสียที่นี่ก็คือบ้านของเขาในอดีต
แต่ทว่าตอนที่ประตูถูกผลักออก คนที่เดินเข้ามากลับเป็นร่างเงาที่คุ้นเคยคนหนึ่ง
หมอหลินยืนอยู่หน้าประตู มองโจวเจ๋อที่ยืนอยู่ในห้องรับแขก พร้อมกับเผยสีหน้าตกใจลนลานออกมา พลางเอ่ยว่า
“คุณ…คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
โจวเจ๋อก็พูดไม่ออกไปชั่วขณะ
คนที่ซื้อบ้านของตัวเอง ที่แท้ก็คือหมอหลินเรอะ
“คุณฟังฉันอธิบายก่อน” หลินหวั่นชิว
“คุณฟังผมอธิบายก่อน” โจวเจ๋อ
ทั้งสองคนพูดประโยคนี้พร้อมกัน
สำหรับหลินหวั่นชิว เธอลนลานทำตัวไม่ถูกมาก เพราะเธอรู้สึกว่าโจวเจ๋อรู้และพบหลักฐานว่าตัวเอง ‘คิดนอกใจ’
มาหาถึงที่นี่ เธอเป็นภรรยาของเขา แต่กลับซื้อบ้านของผู้ชายคนอื่น ทั้งยังคอยเก็บกวาดทำความสะอาดตลอด และเป็นเพราะผู้ชายคนนั้น จึงปฏิเสธที่จะเข้าห้องหอใช้ชีวิตแบบสามีภรรยากับเขา
หมอหลินรู้สึกว่าตัวเองเสียเปรียบ
ยังดีที่บรรยากาศเขินอายแบบนี้ดำเนินอยู่ไม่นานนัก
เพราะมีเรื่องที่ยิ่งน่าอายมากกว่านี้เกิดขึ้นอีก
“เถ้าแก่ ข้าไม่ระวังทำเสื้อผ้าของข้าเปียกน้ำ”
ศพผีสาวพูดพร้อมกับเดินนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนหนึ่งออกมา
นางเดินมาถึงในห้องรับแขก และยืนอยู่ตรงกลางระหว่างโจวเจ๋อกับหลินหวั่นชิว
…………………………………………………………………………