ตอนที่ 42 รถชน
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือความเงียบสงัดอย่างกะทันหันกลางอากาศ…
โจวเจ๋อเม้มปาก หมอหลินก้มหน้า และรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก
คนหนึ่งมีความคิดนอกใจ
อีกคนหนึ่ง ‘นอกใจด้วยร่างกาย’
คนหนึ่งทำผิดจึงรู้สึกละอายใจ
หากทำผิดสองคนก็ถือว่าผู้ชายและผู้หญิงเสมอกัน
โจวเจ๋อหัวเราะขึ้นมาในตอนนี้ หัวเราะเหมือนไม่แยแส
ใช่แล้ว หลังจากตัวเองตายไป คนที่ซื้อบ้านของเขาก็คือ ‘ภรรยา’ ของตัวเองในตอนนี้
ถูกต้อง หมอหลินมีเงิน เธอซื้อบ้านมือสองของเจ้าของที่เสียชีวิตไปแล้วในเมืองทงเฉิง และดูเหมือนว่าจะเป็นเธอเท่านั้นที่ทำความสะอาดที่นี่ ขณะเดียวกันก็ยังคงรูปแบบการจัดวางของที่นี่ไว้เหมือนเดิม
ประทับใจเหรอ
แน่นอนว่าเขาประทับใจ
โจวเจ๋อก็คือโจวเจ๋อ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเขามาอยู่ในร่างของสวีเล่อก็ตาม แต่สิ่งที่เข้ามาแทนเขาก็คือมุมมองของตัวโจวเจ๋อเอง
สวีเล่อเป็นอดีตไปแล้ว ไม่ว่าความรู้สึกการใช้ชีวิตของเด็กคนนี้จะไม่ราบรื่นเพียงใดหรือไม่มีเกียรติแค่ไหน โจวเจ๋อไม่คิดที่จะสนใจ
ก็เหมือนวันตรุษจีน ตอนที่ทุกคนกินข้าวส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ด้วยกัน บนโต๊ะอาหารมีไอ้โง่คนหนึ่งจู่ๆ ก็หยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วบอกกับทุกคนให้ดูผู้อพยพกินไม่อิ่ม ชีวิตลำเค็ญ เนื้อหนังหุ้มกระดูกที่อยู่ทวีปแอฟริกาแล้วพวกคุณยังจะกินข้าวลงอีกเหรอ
มีผู้หญิงคนหนึ่ง เหมือนกับคนบ้าสามารถจดจำตัวเองและคิดถึงตัวเองตลอดแบบนี้
ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง จะไม่ภูมิใจ ไม่ซาบซึ้งได้อย่างไร
“ไปหาเสื้อผ้าของผมแล้วเปลี่ยนซะ” โจวเจ๋อชี้ไปที่ไป๋อิงอิง
ศพผีสาวพยักหน้าพร้อมกับขานรับ ‘เจ้าค่ะ’ หนึ่งที และครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน นางไม่กล้าใส่ไฟแกล้งยั่วอะไรอีกเดินเข้าไปในห้องนอนของโจวเจ๋ออย่างเรียบร้อย หาเสื้อผ้าแห้งสะอาดของโจวเจ๋อเปลี่ยนแล้วเดินออกมา
หมอหลินยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่พูดอะไร
เธอเหมือนจะหลุดพ้นและเหมือนจะโล่งใจ ทว่าโจวเจ๋อไม่ปล่อยให้เธอมีอารมณ์แบบนี้ต่อไป เดินไปข้างหน้าแล้วเอื้อมมือไปจับมือของหมอหลินแล้วพูดอย่างจริงจังว่า
“มีเรื่องหนึ่ง ผมอยากจะบอกกับคุณ ไปกับผม”
โจวเจ๋อจับมือหมอหลินอย่างป่าเถื่อนเล็กน้อย เดินออกจากประตูแล้วเข้าไปในลิฟต์กับเธอ ไป๋อิงอิงเดินตามอยู่ข้างหลัง ไม่พูดไม่จา นางรู้ว่าตอนนี้ตัวเองยิ่งพูดยิ่งผิด จึงพูดได้แต่ว่าทุกอย่างช่างบังเอิญเกินไป
พอลงมาข้างล่าง โจวเจ๋อเดินไปอยู่ข้างรถปอร์เช่คาเยนน์ของหมอหลิน แล้วยื่นมือบอกเป็นสัญญาณให้เธอยื่นกุญแจรถให้เขา
โจวเจ๋อตัดสินใจแล้ว ว่าจะบอกฐานะของตัวเองกับเธอ ไม่ว่าเธอจะยอมรับได้หรือไม่ ไม่ว่าเธอจะเป็นเหมือน ‘ปู่เย่ชอบมังกร[1]’ ในสมัยโบราณหรือไม่ก็ตาม
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม โจวเจ๋ออยากจะบอกความจริงกับเธอ เขาไม่อยากบิดเบือน ไม่อยากหลบๆ ซ่อนๆ อีก อย่างไรก็ตามตอนนั้นไม่เหมือนกับตอนนี้ ตอนแรกตัวเองเป็นบุคคลที่ไม่มีสำมะโนครัว แต่ตอนนี้ตัวเองได้ล้างมลทินแล้ว
ไม่มีเหตุผลที่ตัวเองจะต้องน้อยเนื้อต่ำใจ
“คุณไม่มีใบขับขี่” หมอหลินเอ่ยเตือน
“เอากุญแจมาให้ผม” โจวเจ๋อพูดอย่างหนักแน่นอย่างไม่ต้องสงสัย
เขาจะพาเธอไปโรงพยาบาล ไปยังห้องผ่าตัดที่คุ้นเคย บอกฐานะที่แท้จริงของตัวเองกับเธอด้วยการปฏิบัติจริง
ไม่อย่างนั้น เขากังวลว่ามัวแต่ใช้คำพูดบรรยายอย่างเดียวเธออาจจะเข้าใจผิดคิดว่า ‘โรคเพ้อเจ้อของสามีผู้น่าสงสาร’ ของตัวเองกำเริบ
หมอหลินเอากุญแจรถให้โจวเจ๋อ จากนั้นทั้งสามคนจึงขึ้นรถ
โจวเจ๋อนั่งตำแหน่งคนขับ หมอหลินนั่งตำแหน่งข้างคนขับ ไป๋อิงอิงนั่งเบาะหลังอย่างว่าง่าย
จากนั้นจึงสตาร์ทรถ ถอยรถออกมาแล้วขับออกไป
โจวเจ๋อดูเหมือนชำนาญมาก แต่สวีเล่อไอ้งั่งนั่นกลับไม่มีแม้แต่ใบขับขี่
ส่วนตัวเองเรียกว่าได้ว่าขับรถเก่งมาก
จากนั้นก็ได้ยินเสียงเสียดสีแสบแก้วหูดัง ‘เอี๊ยดๆๆๆ…’ จนตัวรถสั่นอยู่พักหนึ่ง
โจวเจ๋อเงียบไป และผู้หญิงอีกสองคนที่อยู่ในรถก็เงียบเช่นกัน
ตัวรถของปอร์เชร์คาเยนน์เบียดกับเสาไฟฟ้า ถูกเสียดสีกันอย่างกะทันหัน
ค่ำคืนที่มืดมิด ราวกับมีนกกาตัวหนึ่งที่ขยันขันแข็งมากบินผ่านอากาศเข้ามาได้จังหวะพอดิบพอดี
แล้วส่งเสียงร้องดัง ‘กา…กา…กา’ ไม่หยุด
บรรยากาศกลับสู่ความเงียบงันที่น่าเขินอายที่สุดอีกครั้ง
โจวเจ๋อปลดเข็มขัดนิรภัย เอ่ยว่า “คุณมาขับเถอะครับ”
“ไปโรงพยาบาลประชาชนเหรอ” หมอหลินเปลี่ยนตำแหน่งแล้วถาม
“ใช่ครับ ไปโรงพยาบาลประชาชน” โจวเจ๋อที่นั่งอยู่ตำแหน่งข้างคนขับยื่นมือกุมศีรษะ จากนั้นจึงกระแทกกับหน้าต่างรถเบาๆ
เขาไม่ได้ขับรถมานาน บวกกับเปลี่ยนเป็นกายร่างนี้ ฝีมือการขับรถของเขาจึงดูฝีมือตกไปมาก
แต่ไม่ว่าจะหาเหตุผลอีกมากมายเท่าไร เมื่อครู่นี้มันหน้าขายหน้าชะมัด
รถขับอยู่ระหว่างทาง ไม่ช้าก็ขับขึ้นทางยกระดับสายตะวันออก
ภายในรถเงียบมาก หมอหลินไม่พูดไม่จา ถึงแม้เธอจะไม่รู้ว่าทำไมโจวเจ๋อต้องไปโรงพยาบาล แต่เธอก็ไม่ได้ถาม
ความสัมพันธ์แบบสามีภรรยาของทั้งสองคนในตอนนี้ เต็มไปด้วยรูพรุน
ไป๋อิงอิงนั่งอยู่เบาะหลังรถ มองดูวิวทิวทัศน์ที่อยู่นอกหน้าต่าง นางไม่ได้ออกมาข้างนอกนานมากแล้ว ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนแม่นางไป๋จะพูดคุยกับนางแทบทุกวัน แต่โลกที่อยู่ข้างนอก นางออกมาดูมาเห็นด้วยตาตัวเองน้อยมากจริงๆ
บวกกับนางก็รู้ดีว่าตอนนี้ตัวเองไม่เหมาะสมที่จะพูด
โจวเจ๋อจู่ๆ นั่งตัวตรง แล้วเอ่ยว่า “รถคันนั้น กำลังขับรถย้อนศรใช่ไหม”
ที่กำแพงคอนกรีตลาดต่ำอีกฟากหนึ่ง เป็นถนนเลนสวนอีกเส้นหนึ่งของทางยกระดับ มีรถเก๋งสีขาวคันหนึ่งอยู่ตรงนั้น แต่หน้ารถกลับอยู่ทางเดียวกับหน้ารถของโจวเจ๋อ
ซึ่งหมายความว่าอีกฝ่ายกำลังขับรถย้อนศร
และในเวลานี้เอง รถบัสขนาดใหญ่คันหนึ่งขับผ่านเลนที่อยู่ข้างๆ สาดไฟสว่างมาแต่ไกลแสบตามาก
ต่อมาก็ได้ยินเสียงรถเบรกกะทันหันแสบแก้วหู
โจวเจ๋อหลับตาทั้งสองข้างเมื่อได้สติ ขณะเดียวกันก็เอาสองมือกุมศีรษะของตัวเอง รถบัสคันใหญ่ที่อยู่เลนข้างๆ เป็นไปไม่ได้ที่จะชนตัวเอง ทว่าฉากนี้ แทบจะเป็นฉากภาพที่น่ากลัวที่สุดในความทรงจำของเขา
ตัวเองในตอนแรกก็ถูกรถบัสคันใหญ่ชนระหว่างทางเลิกงานกลับบ้าน
และทุกอย่างในเวลานี้ ได้สะกิดสิ่งที่น่ากลัวที่สุดและเป็นภาพที่ไม่อยากนึกย้อนถึงมากที่สุดในใจของเขา
“ปัง!”
เสียงกระแทกดังอย่างแรง หมอหลินรีบหยุดรถทันที
บนถนนที่อยู่ข้างๆ รถบัสขนาดใหญ่คันนั้นกับรถเก๋งสีขาวคันเล็กที่ขับย้อนศรเกิดกระแทกกัน รถเก๋งคันเล็กถูกชนออกไป จากนั้นก็ถูกรถบัสขนาดใหญ่ชนซ้ำอย่างแรงไปติดเสาไฟฟ้า จนตัวรถผิดรูป
จากนั้นจึงมีแสงไฟกระพริบสองที หมอหลินรีบลงจากรถอย่างรวดเร็ว พลางมองดูสามีที่นั่งขดตัวสั่นอยู่ตำแหน่งข้างคนขับ เธอจึงแสดงความผิดหวังออกมาจากดวงตาของเธอ แต่ก็ยังรีบเปิดท้ายรถ หยิบป้ายเตือนออกมาแล้ววางที่ข้างหลังรถ ต่อจากนั้นเธอจึงกระโดดข้ามรั้วกั้นไปยังฝั่งตรงข้าม
เธอเป็นหมอคนหนึ่ง เธอต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ถึงที่สุด เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ถ้าหากมีกำลังของรถพยาบาลมืออาชีพอยู่รอบๆ ชีวิตของผู้บาดเจ็บมีความเป็นไปได้สูงที่จะรักษาเอาไว้ได้
“เถ้าแก่” ไป๋อิงอิงที่นั่งอยู่เบาะหลังตะโกนเรียก
โจวเจ๋อปล่อยมือทั้งสองข้าง มองไปรอบๆ อย่างงุนงง เขามองเห็นสถานที่เกิดอุบัติเหตุบนเลนถนนที่อยู่ข้างๆ หมอหลินรีบวิ่งไปโน่นแล้ว
“ลงไปกับผม ไปช่วยคน”
โจวเจ๋อลงจากรถ สองขาอ่อนแรงอยู่บ้าง
นี่คือสติการปกป้องตัวเองอย่างหนึ่งของมนุษย์ เมื่อแผลของจิตใจถูกสะกิดขึ้นมา มักจะมีปฏิกิริยาการตอบสนองความอ่อนแอที่เกิดขึ้นของร่างกายตัวเอง
เมื่อสูดลมหายใจลึกๆ แล้ว โจวเจ๋อจึงไม่ลังเลเลยสักนิด จากนั้นจึงกระโดดข้ามรั้วไปช่วยชีวิตคนฝั่งนั้น
ไป๋อิงอิงก็วิ่งตามไป
คนขับรถของรสบัสคันใหญ่ก็มีเลือดอยู่บนใบหน้า ศีรษะน่าจะไปกระแทกกับพวงมาลัย หรือไม่ก็ตรงไหนสักแห่งและอีกสามคนที่ตกลงมาจากรถบัสคันใหญ่ ก็น่าจะเป็นผู้โดยสาร อย่างไรก็ตาม รถบัสขนาดใหญ่คันนี้โล่งมาก
“ไอ้นี่มันบ้าหรือเปล่า ขับรถย้อนศรบนทางยกระดับ อยากตายก็อย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อนสิ!” คนขับรถบัสคันใหญ่ เอามือข้างหนึ่งป้องบาดแผลที่หน้าผากของตัวเอง แล้วสบถด่าไปด้วย
หากเป็นใครที่เจอเรื่องซวยแบบนี้ก็คงจะโกรธมาก
“ไม่ต้องตะโกนแล้ว ช่วยคนเร็ว!” หมอหลินพูดดุคนขับรถบัสคันใหญ่
ใครต้องรับผิดชอบอุบัติเหตุค่อยคุยกันทีหลัง ตอนนี้ช่วยคนที่อยู่ในรถเก๋งออกมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน
“นี่ คุณยังมีสติอยู่ไหม ตอบฉันได้ไหมคะ” หมอหลินตะโกนเรียกคนที่อยู่ในรถเก๋งที่บิดเบี้ยวผิดรูป
แต่ไม่ได้รับการตอบสนอง
คนขับรถบัสคันใหญ่ก่นด่า แต่ก็ยังเข้าไปช่วยคน บนถนนเส้นนี้เดิมทีก็ค่อนข้างเปลี่ยว เป็นช่วงทางยกระดับที่มีรถขับผ่านน้อยมาก มีรถขับผ่านมาเป็นบางครั้ง แต่ก็ไม่มีคันไหนหยุดดูด้วยความสงสัย จากนั้นก็ขับผ่านไปเลย
“เปิดแผงประตูรถ!” โจวเจ๋อเอ่ยแนะนำ
“ไม่มีอุปกรณ์ แล้วจะงัดยังไง” หมอหลินมีอารมณ์ตื่นเต้นอยู่บ้าง โดยเฉพาะตอนที่สามีตัวเองไม่เข้าใจอะไร แต่ยังจะสั่งการมั่วซั่ว เธอจึงยิ่งอารมณ์เสีย
ในรถมีอยู่สองคน เป็นผู้หญิงคนหนึ่งกับเด็กอีกคนหนึ่ง สถานการณ์ตอนนี้แย่มาก ทั้งสองคนทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือด และขณะที่ตะโกนเรียกก็ไม่มีการตอบสนองแม้แต่นิดเดียว
ประตูรถถูกกระแทกจนผิดรูปไปถึงด้านใน จนเกือบจะติดอยู่ในนั้น อันนี้ต้องให้ทีมนักดับเพลิงใช้อุปกรณ์มืออาชีพถึงจะตัดให้ขาดได้
โจวเจ๋อเดินไปข้างหน้า ยื่นมือจับประตูรถ แล้วไป๋อิงอิงก็เข้ามาในเวลานี้ นางเป็นผีดิบ ดังนั้นจึงมีกำลังเยอะ แล้วจึงออกแรงพร้อมกับโจวเจ๋อ
จากนั้นก็ได้ยินเสียงดัง ‘แกร๊ก’
ประตูก็ถูกรื้อออกมา พร้อมกับไป๋อิงอิงที่ถูกเบาะนั่งหลังรถกดทับลงไป
หมอหลินมองด้วยความตกตะลึง
เจ้าของรถบัสคันใหญ่กับผู้โดยสารสองสามคนที่อยู่บนรถก็มองด้วยความตื่นตะลึงเช่นกัน
นี่คือความโชคดี ที่ประตูติดไม่มาก
โจวเจ๋อโน้มตัวลงไป ใช้มือข้างหนึ่งปิดคอของอีกฝ่ายและใช้มืออีกข้างหนึ่งจับขาของอีกฝ่ายไว้ แล้วดึงผู้หญิงออกมาอย่างระมัดระวัง จากนั้นเขาจึงดึงร่างของเด็กผู้ชายออกมาอีก
หมอหลินตรวจสอบร่างกายของผู้หญิงก่อน สีหน้าเคร่งขรึม รอจนเด็กผู้ชายถูกดึงออกมา เธอจึงไปตรวจร่างกายของเด็กผู้ชายอีกที แล้วสีหน้าจึงเปลี่ยนเป็นหม่นหมองในทันที
ตายแล้ว
ตายหมดแล้ว
“ตายแล้วเหรอ” เจ้าของรถบัสคันใหญ่ถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ ขณะเดียวกันก็มีสีหน้าที่ดูไม่ได้ เขาซวยมากจริงๆ “ไอ้ระยำพวกนี้ ดึกดื่นป่านนี้ก็ยังออกมาสร้างความเดือดร้อนคนอื่น ทำให้ฉันซวยไปด้วย!”
“โทรไปแจ้งความแล้วก็โทร 120” โทรศัพท์ของหมอหลินอยู่ในรถ เธอจึงตะโกนเสียงดังใส่เจ้าของคนขับรถบัส
เจ้าของรถบัสคันใหญ่ถึงแม้จะโกรธมาก แต่ก็ยังหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วเริ่มกดโทรศัพท์
แต่โจวเจ๋อกลับพลิกร่างของผู้หญิงกับเด็กผู้ชายกลับมา หมอหลินมองเห็นการกระทำนี้ของโจวเจ๋ออย่างไม่ค่อยเข้าใจอยู่บ้าง
“ตอนที่ผมเพิ่งจะดึงพวกเขาออกมา ก็ตรวจสอบแล้ว ร่างกายของพวกเขามีบาดแผลตามตัวเยอะมาก ล้วนเป็นผลมาจากตอนที่เกิดรถชน แต่พวกเขามีจุดที่เหมือนกันอย่างหนึ่ง ตำแหน่งศีรษะด้านหลังของพวกเขา มีแผลที่ยุบลงไปตรงกะโหลกศีรษะหากไม่ใช่อุบัติเหตุ ก็น่าจะเป็นการทำร้ายถึงชีวิต ผมรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ที่จะถูกคนใช้ค้อนที่ห่อด้วยผ้าแล้วทุบลงไปครับ”
“หมายความว่าอะไรคะ” หมอหลินรีบตรวจสอบตำแหน่งที่บาดแผล จึงเข้าใจทันที แล้วเอ่ยว่า “พวกเขาเสียชีวิตก่อนที่จะถูกรถชน!”
ใช่แล้ว ไม่อย่างนั้นคุณคงยากที่จะอธิบาย ทั้งสองคนได้รับบาดเจ็บจนถึงแก่ชีวิตในตำแหน่งเดียวกัน มันบังเอิญเกินไป บังเอิญจนไม่น่าจะเกิดขึ้นได้
“คนที่ตายแล้วถูกจับมานั่งอยู่ในรถ และให้รถย้อนศร” โจวเจ๋อมองหมอหลิน เอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มเล็กน้อย “จากนั้นก็จัดฉากว่าเป็นอุบัติเหตุรถชน เป็นอุบัติเหตุที่เยี่ยมมาก”
ต่อจากนั้น โจวเจ๋อจึงหันหน้ามองไปที่เจ้าของรถบัสคันใหญ่ที่กำลังโทรศัพท์แจ้งความอยู่ข้างหลัง ผู้โดยสารสองสามคนที่อยู่ในรถบัสเดิมทีที่ยืนอยู่รอบๆ ก็เริ่มล้อมวงเข้ามาอย่างช้าๆ
เจ้าของรถบัสคันใหญ่ก็มองโจวเจ๋อ พร้อมกับใบหน้าที่เผยรอยยิ้มอย่างมีความหมายลึกซึ้ง แล้วพูดโทรศัพท์กับอีกสายว่า
“เถ้าแก่ ไม่ค่อยราบรื่นเท่าไร เจอพวกตัวซวยที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านสองสามคนครับ”
…………………………………………………………………………
[1] ปู่เย่ชอบมังกร เป็นสำนวนเปรียบเปรย อ้างว่าชื่นชอบแต่ความจริงไม่ได้ชอบ ถึงกลับกลัวเสียด้วยซ้ำ หรือเปรียบเปรยว่าตัวเองเก่งมีความสามารถ แต่แท้จริงแล้วทำอะไรไม่เป็น ดีแต่หลอกลวง ขี้โม้ไปวันๆ