ตอนที่ 48 มีคุณภาพดีมาสามร้อยปีแล้ว
“พวกเขาอยู่ในรถ”
ไป๋อิงอิงถือม้านั่งตัวเล็กๆ มานั่งหน้าประตูร้านหนังสือพลางจ้องมองรถมาเซราติอยู่ไกลๆ จากที่นั่น
“เฮ้อ จริงๆ แล้วพื้นที่ของรถมาเซราติไม่ได้กว้างเหมือนรถคาเยนน์ จำรถคาเยนน์ที่เธอขับมาครั้งที่แล้วได้ไหม”
สวี่ชิงหล่างก็ถือม้านั่งตัวเล็กๆ มานั่งอยู่ที่ประตูหน้าร้านบะหมี่ของตัวเองเช่นกัน
“ถูกเถ้าแก่ขับรถไปเบียดเสาไฟฟ้าจนเป็นรอย ถึงได้เปลี่ยนรถน่ะสิ”
เดิมทีทั้งสองคนต่างก็กำลังจัดการเรื่องของตัวเองอยู่ แต่ศพผีสาวไน่เหอไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป ในฐานะที่เคยอยู่และนอนใต้ดินมาเป็นเวลาสองร้อยปีแล้ว การได้ยินของนางจึงดีมาก
ในช่วงสองร้อยปีที่ผ่านมา แม่นางไป๋จะแวะเวียนมาพูดคุยกับเธอที่นี่เป็นครั้งคราว มักพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ภายนอกเหมือนเพื่อนสาวคนสนิทก็ไม่ปาน
อืม ก็เหมือนกับที่นักศึกษาหอพักหญิงในมหาวิทยาลัย มารวมตัวกันเป็นครั้งคราวเพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องสัพเพเหระ หรือไม่ก็ดูหนังเพื่อการศึกษาบางประเทศของทางฝั่งภาคตะวันออกด้วยกัน
และด้วยเหตุนี้ ถึงแม้ว่าศพผีสาวจะไม่เคยออกมาตลอดสองร้อยปี แต่เธอก็ไม่ได้ถูกแยกออกจากยุคสมัยไปไหน ส่วนในตอนที่แม่นางไป๋ไม่อยู่ นางเองก็จะคอยฟังเสียงใต้ดินและบนดิน และด้วยเหตุนี้ นางฝึกฝนการได้ยินที่น่าสะพรึงกลัวจนถึงขีดสุด
หลังจาก ‘ได้ยิน’ โครงเรื่องราวก็เริ่มไหลเปลี่ยนไปในทิศทางที่ไม่อาจพรรณนาได้ นางถือม้านั่งมานั่งลงทันที ขณะเดียวกันก็ตบผนัง ส่งสัญญาณไปหาสวี่ชิงหล่างที่อยู่ร้านข้างๆ เพื่อออกมาดูเรื่องสนุกๆ ด้วยกัน
ไม่บอกก็ไม่ได้ แม้ทั้งสองคนจะทะเลาะวิวาทกันบ่อยมาก แต่ช่วงเวลาสำคัญๆ ก็ยังรู้จักแบ่งปันให้กัน
“โอ้ เถ้าแก่ลงจากรถแล้ว” ไป่อิงอิงกระซิบ
“เอ๋ หมอคนนั้นก็ลงจากรถแล้ว” สวี่ชิงหล่างรายงานสด
“โอ้ เถ้าแก่เปิดประตูหลังแล้ว” ไป๋อิงอิงยังคงกระซิบต่อ
“เอ๋ หมอคนนั้นเข้าไปหลังรถแล้ว” สวี่ชิงหล่างรายงานสดต่อ
“รถมันโยกอยู่นะ” ไป๋อิงอิงกุมปากไว้พลางจ้องไปที่นั่นอย่างไม่ละสายตา
“ไม่น่าจะใช่ครั้งแรกของพวกเขานะ” สวี่ชิงหล่างสูดหายใจเข้าลึกๆ
“มีกลิ่นเปรี้ยวๆ อบอวลไปทั่วในอากาศเลย น้ำบ๊วยเปรี้ยวในห้องครัวของคุณรั่วหรือเปล่าเนี่ย” ศพผีสาวโบกปัดๆ และปิดจมูก
“เฮอะ ไร้สาระน่า มา เรามาพนันกันว่าจะได้นานแค่ไหน” สวี่ชิงหล่างมองนาฬิกาครู่หนึ่งและพูดว่า “ผมพนันไว้สิบนาที”
“สิบห้านาทีขาดตัว!” ศพผีสาวตอบ
“หนึ่ง สอง สาม สี่…แปด เก้า สิบวินาที!”
เคาะกระดานดำและสังเกตหน่วยเวลา
“เอ๋ รถไม่โยกแล้วนี่นา” ศพผีสาวพูดอย่างสงสัย
“หรือว่าจะเปลี่ยนท่าแล้ว” สวี่ชิงหล่างขมวดคิ้ว เขาไม่อยากจะเชื่อข้อสรุปสุดสยองนั้น!
“สิบวินาทีเปลี่ยนท่าแล้วเหรอ” ศพผีสาวหัวเราะคิกคัก “ท่านเป็นพวกไก่อ่อนสินะ”
ศพผีสาวเป็นคนเคยผ่านโลกมากก่อน ย้อนกลับไปตอนนั้นแม่นางไป๋นัดพบกับนักปราชญ์ที่ยากจนและแอบกินผลไม้ต้องห้าม นางเป็นผู้มีประสบการณ์ทีเดียว
ใบหน้าสวี่ชิงหล่างดูไม่มีความสุข ในฐานะชายที่มีห้องชุดยี่สิบกว่าห้องนั้น ให้ความสำคัญกับครั้งแรกของตัวเองมากหน่อย ไม่ได้หรือ?
“รถโยกอีกแล้ว” สวี่ชิงหล่างอุทานขึ้น
“หนึ่ง สอง สาม สี่…แปด เก้า สิบวินาที!”
“รถไม่โยกอีกแล้ว” ไป๋อิงอิงสูดน้ำมูก “เปลี่ยนท่าอีกแล้วเหรอ”
“เถ้าแก่ของพวกคุณ ไม่เคยแต่งงานมาก่อนเลยใช่ไหม” สวี่ชิงหล่างขมวดคิ้ว “เดี๋ยวก่อน ดูเหมือนว่าผมจะเคยตรวจสอบข้อมูลของโจวเจ๋อมาก่อน มันเขียนเอาไว้ว่าโสด ไม่น่าจะใช่ไก่อ่อนหรอกใช่ไหม”
“น่าจะยังไม่เคยแต่งงานนะ” ไป๋อิงอิงตอบ
“หมอคนนั้นหน้าผากก็ยังไม่เปิด และน่าจะยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง” สวี่ชิงหล่างตบหน้าผากตัวเองอย่างแรง “ฮ่าๆๆๆ ตลกจังเลย ผมเข้าใจแล้ว ไก่อ่อนทั้งคู่ ครั้งแรกก็เริ่มขั้นสูงเลยเหรอเนี่ย”
ไป๋อิงอิงนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาอยู่ข้างๆ
“คุณเป็นอะไรไป” สวี่ชิงหล่างถาม
“ฉันจำครั้งแรกของแม่นางไป๋กับนักปราชญ์คนนั้นได้ ดูเหมือนว่านักปราชญ์จะช่ำชองมาก” ไป๋อิงอิงเศร้าเล็กน้อย
“นักปราชญ์ซิ่วไฉ[1]ในสมัยโบราณฉลาดแกมโกงเหลือเกิน ชอบหลอกลวงสาวๆ อย่างพวกคุณๆ ความเป็นจริงแล้วเป็นพวกเก่งในสนามน่าไม่อายทั้งนั้น”
สวี่ชิงหล่างดูเหมือนคนที่มองทะลุโลกโลกีย์ “แม่งเอ้ย รถโยกอีกแล้ว”
หยุดสิบวินาที
ขยับสิบวินาที
หยุดสิบวินาทีแล้วก็ขยับสิบวินาที
ทุกครั้งที่รถขยับ ศพผีสาวและสวี่ชิงหล่างนั้น ก็เปลี่ยนท่าหันหน้าไปด้านข้างหนึ่งครั้ง เมื่อรถขยับอีกครั้ง พวกเขาก็สลับกลับไปอีก
จนท้ายที่สุด ทั้งสองต่างก็รู้สึกเมื่อยคอเล็กน้อย
ในที่สุด ประตูหลังรถก็ถูกเปิดออกมาแล้ว
โจวเจ๋อและหมอหลินเหงื่อท่วมตัวลงจากรถ จากนั้นทั้งสองก็แยกย้ายกันไปนั่งที่ตำแหน่งเบาะด้านหน้า
“ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรเลย” สวี่ชิงหล่างส่ายหน้า
“ฉันก็ด้วย” ไป๋อิงอิงก็ยากที่จะเข้าใจเช่นกัน
“หรือว่าจังหวะของโจวเจ๋อจะต่างจากคนทั่วไป” สวี่ชิงหล่างส่ายหน้าอีกครั้ง
“เป็นไปได้” ไป๋อิงอิงเดา
ในที่สุดรถมาเซราติก็แล่นออกไปและความสนุกก็ได้สิ้นสุดลงแล้ว
สวี่ชิงหล่างและไป๋อิงอิงมองหน้าและสะบัดเสียงใส่กัน
ด่าว่า ‘งี่เง่า’ อยู่ในใจ!
จากนั้นต่างคนต่างก็เชิดหน้าแยกย้ายกันไป คนหนึ่งไปห้องครัว ส่วนอีกคนหนึ่งก็ไปอ่านหนังสือ
…
“แฮ่ก…แฮ่ก…”
โจวเจ๋อยังคงหอบหายใจอย่างหนักบนเบาะที่นั่งข้างคนขับและผมเผ้าบนหน้าผากชุ่มไปด้วยเหงื่อ
หมอหลินกำลังขับรถอยู่ เหงื่อโทรมกายทำให้ดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น
“ขอโทษค่ะ เป็นความผิดของฉันเอง ฉันไม่มีเสน่ห์ดึงดูดมากพอ” หมอหลินกัดริมฝีปากและโทษตัวเอง “ฉันไม่มีประสบการณ์ในด้านนี้ ฉันไม่รู้ มันเลยทำให้คุณ…หมดสนุก”
โจวเจ๋อพิงศีรษะไปข้างหลังและส่ายหน้า
“เป็นเพราะผม ไปถึงขนาดนั้นแล้ว มันต้องเป็นเพราะผมนี่แหละ”
โจวเจ๋อดึงกระดาษทิชชูที่อยู่ตรงหน้า ซับผมที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อของตัวเอง
“พวกเราเป็นหมอกันทั้งคู่ จริงๆ แล้วเรื่องพวกนี้เราต่างก็รู้ดี เป็นฝั่งผมต่างหากที่มีปัญหาจริงๆ” โจวเจ๋อสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็ถอนหายใจออกมาหนักๆ
ตอนนี้เขาแทบอยากจะกลับไปลากคอสวี่ชิงหล่างออกมาในทันที แล้วแขวนบนต้นไม้และใช้แส้หวดเขาร้อยครั้ง ร้อยๆ ครั้ง!
เพราะเมื่อสักครู่นี้ จู่ๆ โจวเจ๋อก็นึกถึงคำพูดที่สวี่ชิงหล่างบอกกับตัวเอง
‘ที่คุณใช้น่ะ มันคือร่างกายของสวีเล่อ ถ้าอย่างนั้นสรุปแล้วสวมเขาให้สวีเล่อหรือสวีเล่อสวมเขาให้คุณกันล่ะ กายหยาบของคุณก็เป็นของสวีเล่อ ดีเอ็นเอก็เป็นของสวีเล่อ ลูกก็ยังเป็นของสวีเล่ออีกต่างหาก’
เวลาปกติก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ทว่าในตอนนั้นแม้แต่โจวเจ๋อก็ยังรู้สึกรังเกียจไอ้นั่นที่ท่อนล่างของตัวเองเล็กน้อย ราวกับว่าเขากำลังจับของคนอื่นอยู่
ภายใต้แรงกดดันทางจิตวิทยาแบบนี้
หลังจากพยายามมาหลายครั้งแล้ว
ในที่สุดก็สามารถชนะเหนือพระเจ้าอวี่[2]ได้สำเร็จ
ไม่มีความจริงใจเอาซะเลย!
“ให้เวลาผมหน่อย” โจวเจ๋อจุดบุหรี่หนึ่งมวน จากนั้นมาคิดๆ ดูแล้วก็ทิ้งบุหรี่ออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง
ไม่ใช่ว่าโจวเจ๋อคิดว่าการสูบบุหรี่ในรถผู้หญิงเป็นเรื่องหยาบคาย แต่รู้สึกราวเหมือนกับว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์สูบบุหรี่หลังเกิดเหตุ
“ครั้งหน้าฉันจะสวมถุงน่องค่ะ” หลินหวั่นชิวพูดขึ้นอย่างจริงจัง
“งั้นก็พิสูจน์ได้แน่ชัดแล้วว่าเป็นปัญหาที่ผม” โจวเจ๋อยิ้มอย่างขมขื่น แต่เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของหมอหลินที่อยู่ข้างๆ ใจของโจวเจ๋อก็อ่อนลงทันที
แม้กระทั่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เรื่องอยู่บ้าง เอาความโกรธที่ทนเก็บไว้ในใจของตัวเองเมื่อสักครู่ระบายใส่บนร่างผู้หญิงคนนี้ไม่มากก็น้อย
‘ขอโทษ’ โจวเจ๋อเอ่ยในใจ
ไม่ว่าความสัมพันธ์ความเกลียดชังซับซ้อนแบบไหนที่สวีเล่อมีต่อตัวเอง แต่อย่างน้อยผู้หญิงคนนี้ไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่ด้วย และความรู้สึกของเธอที่มีต่อตัวเองก็บริสุทธิ์มากเช่นกัน
ดูเหมือนว่าตัวเองในชาติที่แล้ว จะประสบความสำเร็จมากทีเดียว แต่หลังจากเสียชีวิตไปแล้วครึ่งปี คนที่จำเขาได้ดูเหมือนว่าจะมีแค่เธอเท่านั้นแหละ
“จอดข้างหน้าเลย คุณกลับไปเถอะ คืนนี้ก็เข้านอนเร็วๆ นะ” โจวเจ๋อพูด
“คุณก็รีบพักผ่อนด้วยนะคะ” หลินหวั่นชิวจอดรถ
หลังจากที่โจวเจ๋อลงจากรถไปแล้ว เธอถึงจะขับรถออกไป
ก่อนหน้านี้โจวเจ๋อเคยพูดไว้ว่า จังหวะการดำเนินชีวิตของพวกเขา ก็ให้เป็นไปตามปกติเหมือนแบบเดิมก่อนหน้านี้
แต่มันไม่มีทางจะเหมือนเดิมได้ แม้ว่าโจวเจ๋อจะเต็มใจที่จะกลับไปเผชิญหน้ากับสีหน้าอมทุกข์ของพ่อตาแม่ยายและน้องภรรยาได้ แต่การนอนบนเตียงเดียวกันกับหมอหลินในตอนกลางคืน เขาก็นอนไม่หลับน่ะสิ
หรือจะให้หมอหลินนอนในตู้แช่กับตัวเองดี
ตัวเขาเองไม่แข็งตาย แต่หมอหลินจะทำอย่างไรล่ะ
หรือจะเรียกไป๋อิงอิงมา แล้วให้ทุกคนนอนด้วยกันไปเลย
โจวเจ๋อไม่ได้เลวทรามถึงขั้นนั้น
การกินและการนอน สองเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่สุดในชีวิตคนเรา แต่ตอนนี้ตัวเองถูกตีกรอบจำกัด การปล่อยตัวเองมันยากจริงๆ
วัดขงจื๊อปิดไปนานแล้ว ไม่เหมือนช่วง ‘ล้างประตู’ ครั้งที่ทุกคนพากันแย่งชิงเครื่องหอมกับคนอื่นชุลมุนวุ่นวายนั่น
คนจีนมักชอบเอาเรื่องผีสางเทวดามาทำประโยชน์เสมอมา และแน่นอนว่าเรื่องนี้ดูเหมือนจะเป็นข้อได้เปรียบอยู่ด้วย
โจวเจ๋อแกะบุหรี่ที่ตัวเองนำมา แม้ว่าในระหว่างทางจะมีเรื่องแทรกเข้ามาก็ตาม แต่โจวเจ๋อรู้ดีว่าตัวเองจะทำอะไร
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาไม่สามารถรออย่างใจจดใจจ่อจนสาวน้อยโลลิกลับมาหลังจากทำงานเสร็จได้ จากนั้นกำจัดตัวตนในฐานะพนักงานชั่วคราวของตัวเองทิ้งไป และตอนจบของตัวเองจะให้ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของคนอื่นได้อย่างไรล่ะ
บุหรี่แต่ละมวนถูกเสียบเรียงกันบนพื้น และโจวเจ๋อจุดมันขึ้นมาทีละมวน จากนั้นวางขนมบัวลอยจีนไว้อย่างดี หลังจากทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย โจวเจ๋อก็ยกมือขึ้นคำนับพร้อมตะโกนไปด้านหน้า
“ข้าน้อยนำของไหว้มามอบให้ท่านแล้ว เชิญท่านปรากฏตัวด้วยเถิด”
เมื่อพูดจบก็รออยู่นานเลยทีเดียวและยังคงไร้ซุ่มเสียง
โจวเจ๋อแกะบุหรี่ออกมาอีกหนึ่งกล่อง และเมื่อเตรียมจะจุดบุหรี่อีกครั้งและพบว่าบุหรี่แถวยาวที่ตัวเองเพิ่งจุดไป ไฟได้ดับไปพร้อมกันแล้ว
เมื่อโจวเจ๋อเงยหน้าขึ้นก็เห็นชายแคระชราคนนั้นนั่งอยู่บนเนินดินข้างหน้าเขา ในกระเป๋าตุงขึ้นมา มีความสุขจนหุบปากไม่ได้
“พ่อหนุ่ม เธอนี่ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรก็ไม่คิดจะมาดูแลปรนนิบัติเลยนะ
ชายแคระชราแบกฆ้องไว้บนหลัง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยย่น
“จริงๆ แล้วมีเรื่องจะถามท่านน่ะ” ท่าทางโจวเจ๋อนอบน้อมมาก
สามารถนำขบวนพาเหรดรอบวัดขงจื้อได้ ต้องไม่ใช่ผีเร่ร่อนแน่นอน น่าจะเป็นคนที่อยู่ในระบบเช่นกัน ดังนั้นเขาก็น่าจะรู้เรื่องเกี่ยวกับผีไม่น้อยเลยทีเดียว
“ไม่ต้องตกใจไป ข้าขอทำนายก่อน” ชายชราคำนวณจากปลายนิ้ว และมองโจวเจ๋ออย่างมีความหมายลึกซึ้งพลางครุ่นคิด “ข้ารับใช้ในวัดขงจื๊อมาหกสิบปีแล้วและถือว่ามีญาณอยู่บ้าง ไม่ว่าใจของเจ้าจะวิงวอนปรารถนาสิ่งใด ข้าสามารถทำนายมันได้อย่างแน่นอน”
โจวเจ๋อได้ฟังอย่างนั้นก็รออยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ
ในที่สุด
ชายชราก็ตบหน้าตักอย่างแรงพลางเอ่ย “ทำนายได้แล้ว!”
“ท่านผู้อาวุโสโปรดชี้แนะด้วย” โจวเจ๋อถามด้วยความเคารพนอบน้อม
ในฐานะที่ตัวเองเป็นผีรับคำสั่ง เช่นนี้แล้วจะลบคำนำหน้าของพนักงานชั่วคราวได้อย่างไร
ตัวเองควรจะแก้ปัญหาอย่างไรกันแน่
ชายชราหัวเราะ ‘หึๆ’ พร้อมกับสีหน้าบ่งบอกว่า ‘ข้ามองทะลุจิตใจของเจ้าหมดแล้ว’ ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมทั้งหมด
เขาลูบเคราของเขาอย่างสบายๆ และพูดว่า “เรื่องที่เจ้าปรารถนามากที่สุด ข้ารับรู้แล้ว แต่ก็ช่างเถอะ ดูเหมือนว่าคราวนี้เจ้าจะพกมารยาทมาด้วยเสียขนาดนี้ ข้าเองก็จะชี้ทางสว่างให้เจ้า”
โจวเจ๋อรอคอยอย่างตั้งอกตั้งใจ
“ยาจีนแผนโบราณลิ่วเว่ยตี้หวงหวัน[3]สูตรเข้มข้นของจิ่วจือถัง[4]” ชายชรากล่าว
โจวเจ๋อนิ่งงัน
“เอ๋ ไม่ถูกต้องสิ มันไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น สิ่งนั้นมีคุณภาพดีมาสามร้อยปีแล้ว สมัยข้ายังมีชีวิตอยู่ตอนหนุ่มๆ ก็กินมันนี่แหละ แล้วมันก็ได้ผลดีด้วย”
ในตอนนี้เอง
จู่ๆ โจวเจ๋อก็อยากจะบีบคอชายชราที่กระหยิ่มยิ้มย่องอย่างสบายใจที่อยู่ตรงหน้าให้ตายไปซะ
…………………………………………………….
[1]ซิ่วไฉ ชื่อเรียกผู้ผ่านการสอบเข้ารับราชการในรอบที่หนึ่ง ซึ่งเป็นการสอบคัดเลือกระดับท้องถิ่น มีการจัดสอบทุกปีและปีละหนึ่งครั้ง
[2] พระเจ้าอวี่ ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์เซี่ย นับเป็นราชวงศ์แรกของจีนที่มีการสืบราชบัลลังก์ทางสายเลือด
[3] ลิ่วเว่ยตี้หวงหวัน ยาจีนโบราณมีสรรพคุณแก้อาการวิงเวียน มีเสียงในหู เมื่อยเอวเข่าอ่อน มีไข้ตอนบ่าย ร้อนในกระดูก เหงื่อออกตอนกลางคืน ฝันเปียก
[4] จิ่วจือถัง บริษัทผลิตยาจีนโบราณ