ตอนที่ 61 รถติดยาวสิบไมล์ (2)
ลุงตำรวจนั่งพลิกอ่านหนังสืออยู่ตรงนั้น และมักหยิบมือถือออกมาดูเวลาบ่อยๆ
พูดตามตรงว่าการที่เขาอยู่ในร้านนั้นสร้างแรงกดดันอย่างมากให้กับโจวเจ๋อและไป๋อิงอิง
ให้ความรู้สึกเหมือนมีเข็มทิ่มแทงอยู่ข้างหลัง
นี่เป็นตำรวจที่ดีคนหนึ่งและเป็นคนเถรตรง บวกกับที่เขาสวมชุดตำรวจแทบจะสามารถหลบหลีกวิญญาณชั่วร้ายทั้งหมดได้
แต่โจวเจ๋อไม่มีทางหลบพ้น เพราะที่นี่เป็นร้านของตัวเอง
โชคดีที่โจวเจ๋อและไป๋อิงอิงไม่ใช่พวกผีเร่ร่อนไร้ญาติ หรือพวกภูตผีปีศาจระดับล่างจำพวกนั้น แม้ว่าจะรู้สึกอึดอัดไปบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นอันตรายมาก
ตรงกันข้ามโจวเจ๋อยังคงมีความเคารพอย่างจริงใจต่อชายผู้นี้
คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ ไม่ปลอมแค่เปลือก แต่ในฐานะที่เป็นผี กลับไวต่อความรู้สึกแบบนี้มากกว่า
ดังนั้นหนังสือชุดที่โจวเจ๋อส่งให้เขาในตอนแรก ไม่ได้เป็นการล้อเลียนอีกฝ่าย แต่โจวเจ๋อเชื่อและยอมรับความรู้สึกแวบแรกของตัวเองว่า ตำรวจประเภทนี้จิตใจปลูกฝังเต็มไปด้วยความเถรตรงและยิ่งใหญ่ คิดว่าน่าจะชอบอ่านหนังสือที่ดูจริงจังและมีคุณค่า
แต่ต่อมาโจวเจ๋อพบว่าตำรวจก็เป็นคนเหมือนกัน
ในเมื่อเป็นคน ก็มีงานอดิเรกเป็นของตัวเอง อย่างเช่นลุงตำรวจตรงหน้าคนนี้ ที่กำลังนั่งอ่านนิยายอย่างอิ่มเอมใจอยู่ตรงนั้น
“คุณลุงคะ ดื่มชาค่ะ”
ไป๋อิงอิงยกแก้วน้ำชามาเสิร์ฟอย่างเหนียมอาย
“โอ้ ขอบคุณ” ลุงตำรวจรับแก้วน้ำชา มองไป๋อิงอิงแล้วถามว่า “หนูไม่ไปโรงเรียนเหรอ”
“วันนี้เป็นวันหยุดน่ะค่ะ”
ไป๋อิงอิงไม่กล้าพูดว่า ตัวเองไม่ได้ไปโรงเรียนและอยู่เล่นไปวันๆ เพื่อตัดปัญหาที่จะตามมาในอนาคต
สำหรับไป๋อิงอิงแล้วนั้น ค่อนข้างกลัวคนตรงหน้า กระทั่งดูจะหนักกว่าโจวเจ๋อเสียอีก
โจวเจ๋อเป็นคนร่วมสมัยและสามารถใช้วิธีการคิดนี้แทนได้ แม้ว่าคนตรงหน้าจะทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวตามสัญชาตญาณ แต่ในทางกลับกัน มันก็หมายความว่าคนตรงหน้ามีค่าควรแก่การเคารพนับถือ
แต่ไป๋อิงอิงรู้สึกว่าหัวใจของนางเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย หลังจากเสิร์ฟชาแล้ว นางก็วิ่งไปที่ชั้นสองทันทีและไม่อยากลงมาอีก
“เถ้าแก่ ราคาเท่าไรครับ” ลุงตำรวจมองโจวเจ๋อ
“แล้วแต่คุณจะให้” โจวเจ๋อพูด
“ไม่ได้หรอก ช่างเถอะ รอผมไปก่อนแล้วค่อยคิดเงินก็ได้ พวกเขาน่าจะมารับผมอีกในครึ่งชั่วโมงนี้แหละ” ลุงตำรวจนั่งลงอีกครั้ง เอามือล้วงกระเป๋าและตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
ในฐานะที่เป็นคนสูบบุหรี่ โจวเจ๋อเข้าใจและยื่นบุหรี่ให้หนึ่งมวน
“ขอบใจนะ”
ลุงตำรวจขอบคุณที่โจวเจ๋อช่วยจุดไฟให้ จากนั้นทั้งสองก็สูบบุหรี่ด้วยกัน
บุหรี่เป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ในการพบปะสังสรรค์สำหรับผู้ชาย จากคนแปลกหน้าเปลี่ยนไปเป็นเพื่อนสูบบุหรี่ และยังถนัดคุยโม้เรื่องเจ๋งๆไม่กี่ประโยคได้ด้วย
“กิจการของคุณไม่ค่อยดีเลยใช่ไหม” ลุงตำรวจถาม
“พออยู่ไปรอดไปวันๆ น่ะ” โจวเจ๋อตอบ
“โอ้ ผมจำได้แล้วว่าคุณเป็นใคร” ลุงตำรวจตบหัวตัวเองแปะๆ แล้วพูดว่า “ตอนที่เพลิงไหม้ครั้งก่อน คุณกล้าหาญ กระโจนพุ่งตัวเข้าไปช่วยชีวิตคนในกองเพลิงใช่ไหม”
โจวเจ๋อพยักหน้า
“ดูความจำของผมสิ อ้อ ใช่แล้ว คราวก่อนทางสถานีจะมอบธงให้คุณ ทำไมคุณถึงไม่ไปรับมันมาล่ะ”
“ผมไม่อยากเป็นจุดสนใจที่มันนอกลู่นอกทางน่ะ” โจวเจ๋อตอบ
ลุงตำรวจพยักหน้าและพูดอย่างช่วยไม่ได้ “ก็จริง ในตอนท้ายผู้คนต่างก็คาดไม่ถึงว่า ผู้ลอบวางเพลิงจะเป็นหนึ่งในวีรบุรุษที่กระโจนพุ่งเข้าไปช่วยคนออกมาจากกองเพลิง”
“บัดซบ แท็กซี่สาบสูญไปแล้วจริงๆ หรือไง กดเรียกแท็กซี่ออนไลน์ยากจริงๆ เลย ผมเรียกแท็กซี่ยังไม่ได้เลย พี่โจวครับ ดูเหมือนว่าเราจะต้องย้ายบ้านกันจริงๆ แล้ว สถานที่อันห่างไกลและอ้างว้างแบบนี้ แม้รถสักคันหนึ่งก็เรียกไม่ได้เลย ผมยังขาดสายเคเบิลอีกหนึ่งเส้น ต้องกลับไปซื้อใหม่อีกรอบ ไม่งั้นจะติดตั้งโฮสต์ไม่ได้”
สวี่ชิงหล่างเดินเข้ามาด้วยก็บ่นกระปอดกระแปดไปด้วย จากนั้นก็เห็นลุงตำรวจนั่งอยู่ในร้านหนังสือ
“โอ้ ผู้กำกับจ้าว!”
เห็นได้ชัดว่าสวี่ชิงหล่างรู้จักตำรวจนายนี้และเผยรอยยิ้มและพูดอย่างเป็นกันเองทันที
“ผู้กำกับจ้าว สุขภาพร่างกายคุณดูแข็งแรงดีนะ อ้อ ผมจำได้ พักก่อนยังเห็นข่าวเกี่ยวกับคุณอยู่เลย มันเขียนไว้ว่าอะไรแล้วนะ ลืมไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่าคุณสร้างผลงานความดีความชอบและได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ใช่ น่าจะเป็นแบบนี้แหละ ยินดีด้วยนะครับ!”
“เจ้าตัวเล็ก ยิ่งโตยิ่งหล่อขึ้นเลยนะเนี่ย” ลุงตำรวจยืนขึ้นพลางหัวเราะและตบไหล่สวี่ชิงหล่าง ดูสนิทสนมมาก “ตอนนี้ยังลักเล็กขโมยน้อยอยู่หรือเปล่า”
“ไหนเลยจะกล้าล่ะครับ บ้านถูกรื้อถอนจนแบ่งออกเป็นห้องชุดกว่ายี่สิบห้อง ตอนนี้ผมเป็นพลเมืองที่เสียภาษีถูกต้องตามกฎหมาย” สวี่ชิงหล่างตอบ
“นาย…” ผู้กำกับจ้าวชี้ไปที่สวี่ชิงหล่าง “นายเนี้ยก็ถือว่าผ่านช่วงยากลำบากมาแล้วนะ”
“ผู้กำกับจ้าว ลูกชายคุณใกล้จะแต่งงานเร็วๆ นี้แล้ว ผมให้หนึ่งห้องทำเป็นเรือนหอของลูกชายคุณดีไหม”
“เจ้าหนูนี่ ถ้ายังกล้าพูดเหลวไหลต่อหน้าฉันอีก เชื่อได้เลยว่าฉันจะจับนายเข้าตารางอีกน่ะ” ผู้กำกับจ้าวดุอย่างเคร่งขรึม
“หึ ผมเปิดร้านบะหมี่ที่นี่ ไม่ได้ติดสินบนคุณเสียหน่อย ในตอนแรกถ้าไม่ได้คุณล่ะก็ ผมก็คงไม่สามารถประคับประคอง จนรื้อถอนบ้านเก่าและที่ดินได้ ผมให้เกียรติคุณด้วยห้องชุดตามที่ควรจะเป็นต่างหาก”
“นายตั้งใจใช้ชีวิต ก็พอแล้ว”
“พวกคุณรู้จักกันเหรอ” โจวเจ๋อถาม
ผู้กำกับจ้าวพยักหน้า “รู้จักสิ รู้จักมากกว่าที่คิดเสียอีก เด็กคนนี้วิ่งราว ล้วงกระเป๋าตามท้องถนนตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสิบขวบ ถูกผมจับไปหลายครั้งแล้ว ตอนที่จับได้เป็นครั้งแรก ผมยังบอกกับตำรวจใต้บังคับบัญชาอยู่เลยว่าจับขโมยสาวได้ ใครจะไปรู้ว่าจริงๆ แล้วมีดุ้นน่ะ!”
“เมื่อก่อนยังไม่รู้ความ อย่าพูดถึงมันอีกเลย” สวี่ชิงหล่างไม่อยากให้โจวเจ๋อฟังเรื่องฉาวโฉ่ของตัวเองในอดีต
“พูด ต้องพูดถึงสิ นายเคยทำเรื่องแย่ๆ มาไม่น้อยเลย ความผิดพลาดเหล่านั้นไม่สามารถลืมได้ ต้องเก็บไว้ในใจและเตือนตัวเองว่าจะไม่ทำอีกในอนาคต วันดีๆ ไม่ได้มาง่ายๆ นะ”
“ผู้กำกับจ้าว ผมรู้แล้ว” สวี่ชิงหล่างพยักหน้า
“อ้อ ใช่สิ เมื่อก่อนฉันส่งนาย ไปเป็นเด็กฝึกงานของท่านอาจารย์ซุน ตอนนี้อาจารย์ซุนเป็นอย่างไรบ้าง” ผู้กำกับจ้าวถาม
“โอเคดีครับ แต่ว่าร้านของเขาถูกส่งต่อให้ลูกชายเขาไปแล้ว ผมก็ออกมาทำเอง”
ที่แท้แล้วสวี่ชิงหล่างเปิดร้านบะหมี่ด้วยเหตุนี้ ครอบครัวของเขาประสบอุบัติเหตุในตอนแรก จนเกือบจะกลายเป็นนักเลงอันธพาลในสังคมไปแล้ว ถูกผู้กำกับจ้าวที่เป็นหัวหน้าโรงพักในตอนนั้นจับกุมและอบรมไปหลายครั้งหลายคราว จนท้ายที่สุดผู้กำกับจ้าวจัดการส่งเขาไปเป็นเด็กฝึกงานในร้านบะหมี่แห่งหนึ่ง ถือได้ว่านั่นคือสิ่งที่ทำให้เขาเดินไปในทางที่ถูกต้อง
ไม่เช่นนั้นสวี่ชิงหล่างในตอนนี้อาจจะต้องเพิ่มห้องชุดอีกห้อง นั่นก็คือห้องขัง
“ผู้กำกับจ้าว ทำไมคุณถึงมาที่นี่ได้ล่ะ” เมื่อพูดจบสวี่ชิงหล่างก็เตือนเบาๆ “ผมจะบอกคุณว่าอย่ามาที่นี่บ่อย ฮวงจุ้ยไม่ดี”
ความหมายแฝงก็คือที่ร้านหนังสือของโจวเจ๋อ คนตายมาอ่านหนังสือมากกว่าคนเป็นนั่นเอง
โจวเจ๋อเลิกคิ้วอยู่ข้างๆ หมายความว่าอะไร
“เจ้าหนู นายยังลึกลับซับซ้อนไม่เคยเปลี่ยน ฉันเกิดมาใต้ธงแดง เติบโตภายใต้ธงแดง ถึงได้ไม่เชื่อคำกล่าวอ้างที่ไม่ถูกทำนองคลองธรรมเหล่านี้ ถ้าจะให้พูดก็คือ ทำการใดให้เปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่ได้ทำเรื่องอะไรผิด ก็ไม่ต้องกลัวผีมาเคาะประตู ถึงโลกนี้จะมีผีจริงๆ ฉันไม่กลัวผีหรอก มีแต่ผีนั่นแหละที่จะต้องกลัวฉัน!”
โจวเจ๋อลูบปลายจมูกของเขาอยู่ข้างๆ คุณพูดถูกจริงๆ
“ผู้กำกับจ้าว ผมแสดงฝีมือ ลงครัวเองทำอาหารสักสองสามอย่าง เราไม่ได้เจอกันนานหลายปีแล้ว คืนนี้ซักสองชั่วโมงเป็นยังไง”
“ไม่ได้น่ะสิ เดี๋ยวสักพักจะมีคนมารับฉัน จะไปราชการต่างจังหวัด ฉันกลัวว่าจะเบื่อระหว่างทาง เลยตั้งใจมาซื้อนิยายอ่านระหว่างทางสักสองเล่มน่ะ”
“ท่านเป็นถึงผู้กำกับแล้ว ยังยุ่งขนาดนี้อยู่เหรอเนี่ย” สวี่ชิงหล่างรู้สึกเสียดาย
“ยุ่งนั่นแหล่ะดีแล้ว ฉันเป็นตำรวจนะ ถ้าตำรวจเกียจคร้านขึ้นมา ประชาชนก็ไม่เป็นอันสงบสุขน่ะสิ”
ผู้กำกับจ้าวเกาหัวแกรกๆ ใส่หมวกตำรวจอีกครั้ง จากนั้นหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูเวลาและเอ่ยขึ้น
“ใกล้จะถึงเวลาแล้ว พวกเขาน่าจะมารับฉันแล้ว ฉันไปก่อนนะ”
“เดินทางปลอดภัยนะครับ”
โจวเจ๋อคิดในใจว่าในที่สุดเขาก็ได้ส่งเทพผู้เปล่งประกายน่าเคารพผู้นี้ออกไปแล้ว
ผู้กำกับจ้าวเดินไปที่ประตู แล้วนึกอะไรบางอย่างออก ล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ ดูเหมือนว่ากำลังจะหยิบกระเป๋าเงินออกมา
“ดูความจำผมสิ หยิบหนังสือ ดื่มชาแล้ว เกือบจะลืมจ่ายเงินไปแล้ว”
“ดูคุณสิ เห็นเป็นคนอื่นคนไกลไปได้ ผมจ่ายแล้ว” สวี่ชิงหล่างก้าวไปข้างหน้าทันที “เถ้าแก่ร้านนี้โตมากับการกินอาหารของผมเองแหละ คนกันเอง”
“…” โจวเจ๋อ
“ไม่ได้สิ หนังสือที่ฉันซื้อ ทำไมต้องให้นายจ่ายให้ด้วยล่ะ” ผู้กำกับจ้าวไม่เห็นด้วย
“โอเค อีกไม่กี่วันผมจะไปเยี่ยมท่านด้วยตัวเองถึงบ้าน ให้ท่านคืนเงินผมด้วย และผมก็จะกินข้าวมื้อหนึ่งด้วย เป็นอย่างไรครับ” สวี่ชิงหล่างอ้อนวอน “คุณต้องหาเหตุผลเปิดประตูให้ผมด้วยหล่ะ
“ตกลงตามนั้น ฝีมือทำอาหารของป้ายังดีอยู่ ตอนนั้นฉันอาจจะไม่ได้อยู่บ้าน ก็ขอให้ป้าทำอาหารให้นาย ก็เรียนรู้เอาหน่อย บอกไปว่าฉันบอกมา อีกหน่อยจะได้เปลี่ยนร้านบะหมี่ให้เป็นโรงแรมได้ ผู้คนต่างต้องแสวงหาบางอย่าง อย่าเอาแต่นอน รอกิน รอตายอยู่บนบ้านไปวันๆ ไม่มีประโยชน์”
“หึ แล้วถ้าคุณไม่อยู่บ้านผมจะไปทำไมล่ะ” สวี่ชิงหล่างหัวเราะ
“เอาเถอะ ฉันไปก่อนนะ ไว้เจอกันใหม่!” ผู้กำกับจ้าวโบกมือให้โจวเจ๋อและสวี่ชิงหล่าง จากนั้นผลักประตูร้านหนังสือแล้วจากไป
“เถ้าแก่ ข้างนอกรถเยอะมากเลย” ไป๋อิงอิงเดิมอยู่บนชั้นสอง เดินลงบันไดและตะโกนบอกคนในร้านหนังสือ
“รถอะไร” สวี่ชิงหล่างถาม “เป็นขบวนรถแต่งงานของคนอื่นหรือเปล่า”
“รถแต่งงานจะมีเครื่องหมายการค้าเหมือนเกี้ยวแปดคนหามได้อย่างไร” โจวเจ๋อแขวะสวี่ชิงหล่าง
“ไม่ใช่รถแต่งงาน มันคือแท็กซี่ มีแท็กซี่เยอะแยะมากมาย ถนนทั้งเส้นเต็มไปด้วยแท็กซี่” ไป๋อิงอิงพูด นางมองเห็นได้ชัดเจนจากขอบหน้าต่างบนชั้นสอง
“แท็กซี่เหรอ” สวี่ชิงหล่างอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “แม่ง ผมก็ว่าทำไมวันนี้ถึงเรียกแท็กซี่ยากจัง หาแท็กซี่ไม่เจอเลย นี่พวกเขานัดหยุดงานประท้วงกันใช่ไหม”
ทันใดนั้นสวี่ชิงหล่างก็ตกตะลึงครู่หนึ่ง
ดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ จากนั้นรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาค้นหา ในที่สุดเขาก็หาเจอแล้ว
เป็นข่าวเมื่อครึ่งเดือนที่แล้ว หน้าแรกของข่าวเป็นรูปภาพใหญ่ของผู้กำกับจ้าว เนื้อหาที่บรรยายด้านล่างนี้คือแก๊งขโมยรถที่หนีหัวซุกหัวซุนข้ามไปหลายจังหวัดถูกจับในทงเฉิง และถูกรองผู้กำกับการตำรวจที่เพิ่งเลิกงานและกำลังจะกลับบ้านพบเข้า ระหว่างปะทะกันของทั้งสองฝ่าย รองผู้กำกับได้เสียชีวิตในหน้าที่อย่างหน้าเศร้า
และสามวันต่อมา ตำรวจจับแก๊งอาชญากรนี้ได้ทั้งหมด ไม่หลุดรอดแม้แต่คนเดียว แก๊งอาชญากรขโมยรถนี้ส่วนใหญ่ขโมยแท็กซี่ และยังมีชีวิตของคนขับแท็กซี่สองคนอยู่ในกำมือด้วย
ผู้กำกับจ้าวได้เสียสละไปตั้งนานแล้ว
“เขาได้ตายไปแล้ว…ผมจำได้ว่าตอนผมอ่านข่าวนี้แล้วก็เศร้าใจอยู่นาน แต่พอเห็นเขามาอยู่ตรงหน้าเมื่อครู่ ก็นึกว่าเขายังมีชีวิตอยู่ และไม่ทันคิดถึงข่าวนี้เลย”
เมื่อพูดจบสวี่ชิงหล่างมองโจวเจ๋ออย่างโกรธเคือง
“เขาเป็นผี เขาไม่ใช่คนเป็น เมื่อครู่นี้ทำไมคุณถึงไม่เตือนผม ผมยังมีเรื่องมากมายที่ยังไม่ได้บอกเขาเลยนะ!”
โจวเจ๋อทำหน้าประหลาดใจและเอ่ยว่า “เขาเป็นผีเหรอ”
“คุณมองไม่ออกเหรอ คุณเป็นยมทูตนะทำไมถึงมองไม่ออก”
“ตอนที่เขาเข้ามาฉันก็สังเกตอย่างละเอียดแล้ว เขาเป็นคนจริงๆ นะ”
“จะเป็นคนไปได้อย่างไร!” สวี่ชิงหล่างแทบจะคำรามออกมาแล้ว
ก่อนหน้านี้เขามีโอกาสบอกลากับอีกฝ่ายได้ แต่เมื่อครู่ตัวเองมัวแต่คุยเรื่องสัพเพเหระอยู่นั้นแหล่ะ!
“ฉันจะโกหกนายไปทำไม ฉันสังเกตอย่างละเอียดไปแล้ว มองไม่ออกจริงๆ ว่าเขาเป็นผีน่ะ”
“ข้าก็มองไม่ออกเช่นกัน” ไป๋อิงอิงเดินเข้ามาในเวลานี้
ในเวลานี้ บนถนนฝั่งตรงหน้าประตูร้าน
รถแท็กซี่หลายคันจัดเรียงเป็นสองขบวน เรียงกันเป็นแถวหน้ากระดานเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ขบวนนั้นยาวมาก แทบไม่เห็นขอบเขตกันเลยทีเดียว
สวี่ชิงหล่างผลักประตูร้านหนังสือแล้วเดินออกไป โจวเจ๋อและไป๋อิงอิงก็ตามออกไปด้วย
แท็กซี่เกือบหนึ่งพันคันจัดระเบียบกันเองอย่างพร้อมเพรียง รวมเป็นหนึ่งขบวนแล้วเคลื่อนตัวไปข้างหน้า คนขับแท็กซี่ชายและหญิง เปลี่ยนแนวความเคยชินกับการแซงรถด้วยความเร็วแบบเดิมๆ คราวนี้ พวกเขานั้นขับช้ามากๆ
ที่ส่วนท้ายขบวน มีรถบรรทุกศพอยู่คันหนึ่ง ในรถนั้นกำลังเปิดเพลงที่บรรเลงในงานศพ ในขณะเดียวกัน ด้านบนของรถบรรทุกศพ ก็มีภาพถ่ายขาวดำรูปหนึ่งแขวนอยู่ เป็นรูปถ่ายก่อนเสียชีวิตของผู้กำกับจ้าว
“วันนี้เป็นวันพิธีแห่ขบวนศพเหรอ” สวี่ชิงหล่างกล่าวอย่างผิดหวัง “ดังนั้นที่เขาบอกว่าไปทำงานต่างจังหวัดแล้วจะมีคนมารับเขาไป ก็คือพิธีขบวนแห่ศพนี้ใช่ไหม แต่ทำไมผมถึงมองไม่ออกว่าเขาเป็นผีกันนะ แม้แต่คุณก็ดูไม่ออก”
“บางคนมีชีวิตอยู่ แท้จริงกลับตายไปแล้ว บางคนถึงแก่กรรมแล้ว แต่กลับยังมีชีวิตอยู่ บางทีอาจเป็นเพราะเหตุนี้ก็ได้” โจวเจ๋อเอ่ย
“เฮ้อ” สวี่ชิงหล่างได้ยินสิ่งที่เขาพูดก็พยักหน้า จากนั้นเขาก็โบกมือให้กับขบวนรถที่ยาวเหยียดและกำลังบอกลา
ในขณะเดียวกันก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย มิน่าเล่า ทงเฉิงในวันนี้ ถึงเรียกแท็กซี่ได้ยากนัก
โจวเจ๋อกำลังมองดูรถที่แขวนภาพเหมือนใบนั้นขับผ่านไปอย่างช้าๆ และกล่าวในใจว่า ‘ขอให้ไปสู่สุคตินะครับ’
…………………………………………………………………