ตอนที่ 65 ถือบัตรเข้าทำงาน!
เมื่อหยิบสมุดขึ้นมาในคราวนี้ โจวเจ๋อไม่รู้สึกร้อนลวกมือแต่อย่างใด กลับรู้สึกถึงความอบอุ่นและชุ่มเย็น เหมือนกับสิ่งที่ตัวเขากำลังถืออยู่คือหยกโบราณชิ้นหนึ่ง
ดูเหมือนว่าจะมีความเชื่อมโยงที่แปลกมากระหว่างตัวเขากับสมุดเล่มนี้
โจวเจ๋อเองก็เคยอ่านนิยายเทพเซียนกำลังภายในมาก่อน แต่ความรู้สึกครั้งนี้ไม่เหมือนกับตอนที่อาวุธวิเศษพบเจ้าของอย่างในนิยายเลย
สมุดก็ยังคงเป็นสมุด
เขาก็ยังคงเป็นเขา
แต่ก็อธิบายไม่ได้ว่าทำไม ก้นบึ้งหัวใจของโจวเจ๋อถึงเกิดความรู้สึกคุ้นเคยกับของสิ่งนี้ เหมือนกับผู้ชายอายุสามสิบปีคนหนึ่ง ที่ในมือกำลังถือรูปถ่ายตัวเองตอนอายุสามหรือห้าขวบเอาไว้อย่างนั้น
ไม่คุ้นเคย แต่ก็เหมือนคุ้นเคยเป็นอย่างมาก
เขาพลิกเปิดสมุดหน้าแรก รูปภาพที่งดงามก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง โจวเจ๋อหลับตาลง หลังจากนั้น ความยุ่งเหยิงเหล่านั้นก็หายไป
ครั้งก่อน ตัวเองถูกถ่ายทอดอย่างไม่จำยอม
ครั้งนี้ ดูเหมือนว่าตัวเองจะสามารถควบคุมสิ่งนี้เอาไว้ได้
ในที่สุดหน้าแรกก็ถูกเปิดออก ด้านบนมีรอยนิ้วมืออยู่ ซึ่งโจวเจ๋อเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นรอยนิ้วมือของเขาหรือของคนอื่น แถมในตอนนี้ยังไม่มีทางเปรียบเทียบรอยนิ้วมืออย่างละเอียดได้ด้วย แต่ความจริงแล้วรอยนิ้วมือนี้ก็แปลกมาก แม้กระทั่งโจวเจ๋อเองก็ยังคิดว่าบนโลกใบนี้คงไม่มีใครมีรอยนิ้วมือแบบนี้ได้หรอก
ลวดลายของรอยนิ้วมือเป็นไปในทิศทางเดียวกันมาก กลมกลืนซะจนท่านไม่สามารถแยกข้อแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ ได้เลย ทั้งยังเป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ไม่ว่ารายละเอียดเล็กน้อยเพียงใดก็ล้วนทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความสบายผ่อนคลายเป็นอย่างมาก
ด้านล่างมีสองหัวข้อ
หัวข้อที่หนึ่ง: ชื่อแซ่: โจวเจ๋อ
หัวข้อที่สอง: หน้าที่: ยมทูตชั่วคราว
ที่จริง โจวเจ๋อเคยมีความคิดหนึ่งมาก่อน นี่ควรเป็นสิ่งที่เรียกว่าบัตรยมทูต พูดให้ถูกก็คือ บัตรของยมโลก อย่างไรเสียยมโลกก็ถือเป็นสังคมเล็กๆ สังคมหนึ่ง นกกระจอกเทศจะแม้ว่าจะตัวเล็กแต่ก็สมบูรณ์ ยมทูตก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งในหน้าที่เท่านั้น
ในตอนแรกโจวเจ๋อและสวี่ชิงหล่างก็เคยถกเถียงกันเรื่องสถานการณ์ปัจจุบันของพวกเขา ข้อหนึ่งที่ชัดเจนก็คือว่าตัวตนของพวกเขาในฐานะลูกจ้างชั่วคราวนั้นต่ำต้อยมาก จะถูกมองเป็นแพะรับบาปเมื่อไรก็ได้ และยังไม่มีการรับประกันความปลอดภัยหรือตำแหน่งแม้แต่น้อย
ตอนที่สาวน้อยโลลิกลับมาครั้งที่แล้ว เผชิญหน้ากับคำถามของเขา เธอเองก็ยอมรับข้อนี้อย่างตรงไปตรงมา
ในขณะเดียวกัน เธอก็ถือโอกาสวาดขนมเปี๊ยะมาก้อนหนึ่ง และก็ไม่ได้สนใจว่าเขาจะยอมทานหรือไม่
เหตุผลจริงๆ แล้วก็คือ ที่เขาขาดไป ก็คือบัตรนี้นี่แหละ!
มีบัตรนี้อยู่ในมือ เขาก็จะไม่ใช่คนเถื่อนแล้ว
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ บัตรนี้จะบ่งชี้ว่าเขานั้นได้รับตารางที่เรียกว่า “ตารางวัดความขยัน” ซึ่งก็เหมือนกับการสถาปนาและพัฒนาการสอบขุนนางเคอจวี่ในอดีต เป็นหนทางที่จะยกระดับจากล่างไปถึงระดับบน
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาของการเปิดร้านหนังสือ โจวเจ๋อขี้เกียจมาก แต่ไม่ใช่เพราะนิสัยโดยธรรมชาติของโจวเจ๋อ แต่เพราะตัวตนที่น่ากระอักกระอ่วนในอดีตสำหรับเขา นั่นก็คือทำมากก็ยิ่งทำให้ผิดพลาดได้ง่ายมากขึ้น ไม่ทำก็ไม่มีเรื่องใหญ่อะไร
เหมือนกับสภาพจิตใจของรัฐวิสาหกิจที่ขาดทุนเมื่อสิบหรือยี่สิบปีก่อน
ตอนนี้ อย่างน้อยที่สุดก็สามารถตั้งเป้าหมายเล็กๆ ให้ตัวเองได้
ร้อยล้านก็พอแล้ว
แต่หวังว่าจะสามารถอาศัยความพยายามของตัวเอง ทำให้ระดับขั้นของตัวเองนั้นขึ้นไปได้อีก
เหมือนกับแม่นางไป๋ ผีสางเมื่อสองร้อยปีก่อน ที่ปกป้องหมู่บ้านและคนชราในโลกมนุษย์ จนบำเพ็ญสำเร็จจึงได้มาขอฐานะที่ยมโลก จุดเริ่มต้นของเขาโจวเจ๋อ ที่จริงนับว่าดีกว่าแม่นางไป๋เยอะมาก
แต่ที่ทำให้โจวเจ๋อไม่สบายใจก็คือ ทำไมตำแหน่งงานของเขายังคงเป็นแค่ “ยมทูตชั่วคราว”
โจวเจ๋อรู้ดี นี่ต้องไม่ใช่อะไรที่เบื้องบนเห็นว่าเขา ‘หมั่นเพียร’ ‘ความหมั่นเพียรในราชสำนัก’ ‘คำนับมิรู้เหน็ดเหนื่อย’ ‘ทำดีที่สุดแล้วจวบสิ้นลมหายใจ’ จึงให้เขาแน่
ปิ้ว
แล้วก็มีบัตรตกลงมาใบหนึ่ง
โจวเจ๋อยังรู้ตัวเองด้วยว่า ก่อนหน้านี้เขาทำงานแบบสามวันจับปลา สองวันทอดแห วันๆ เอาแต่ดื่มชาในร้านหนังสือ อ่านนิยาย พอตกดึกก็นอนกอดไป๋อิงอิง
พระเจ้าไม่ทรงปล่อยสายฟ้าฟาดสิ่งชั่วร้ายอย่างเขา ให้กลายเป็นผุยผงก็นับว่าเห็นแก่หน้าแล้ว เหตุใดจึงได้ให้รางวัลเขาในตอนนี้กันนะ
นี่เป็นบัตรของคนอื่น
แต่บังเอิญถูกเขาเก็บมาได้
ไม่สิ พูดให้ถูกก็คือเจิ้งผิงผิงเก็บได้ต่างหาก แต่เจิ้งผิงผิงยังมีชีวิตอยู่และเป็นคนธรรมดา เธอไม่มีทางควบคุมสิ่งนี้ได้แน่นอน แต่กลับจะได้รับผลกระทบอย่างทุกข์ทรมานจากอิทธิพลของมันจนทำให้จิตใจสับสน
ประจวบเหมาะกับได้รับแรงกระตุ้นจากอาการป่วยของแม่ของเธอ จึงทำให้พฤติกรรมของเจิ้งผิงผิงเริ่มผิดปกติไป
เธอลืมเลือนไปว่าเธอเป็นใคร เพราะหนังสือเล่มนี้ได้บันทึกคำพิพากษาของคนตายไปไม่รู้กี่คนต่อกี่คน เหมือนกับให้ท่านอ่านชีวิตของผู้คนนับหมื่นพันคนในคราวเดียว
จวงเซิงเสี่ยวที่ฝันว่าตัวเองกลายเป็นผีเสื้อจนงมงายว่าตัวเองไม่ใช่คน หรือความรู้สึกเพิกเฉยต่อทุกสิ่งหลังจากชีวิตเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน สามารถอธิบายได้โดยพื้นฐานจากสถานการณ์เหล่านี้
ลืมเลือนความเป็นตัวเอง ละเลยการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดรอบตัว เดิมทีท่านเป็นเพียงเม็ดทราย สุดท้ายก็ถูกแม่น้ำสายใหญ่ชะล้าง นับประสาอะไรกับคนอื่น ตัวท่านเองยังรู้ตัวหรือไม่ว่าท่านอยู่ที่ไหน
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อตอนนี้ตัวเองได้ “ขโมย” สิ่งนี้มาแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าเจิ้งผิงผิงและเอกสารนี้ถูกตัดขาดออกจากกันไปแล้ว อาการป่วยทางจิตของเธอน่าจะหายได้ในเร็วๆ นี้
แต่ปัญหาที่สำคัญก็คือ โจวเจ๋อไม่คิดว่าอดีตเจ้าของของสิ่งนี้จะเป็น “ยมทูตชั่วคราว” ด้วยเช่นกัน
ประสิทธิภาพการทำงานของยมทูตชั่วคราวคนหนึ่งจะเกินจริงอย่างนี้เลยหรือ
ถ้าอย่างนั้นพวกเขาแต่ละคนในนรกทั้งหมด ล้วนเป็นต้นแบบและเป็นแบบอย่างในยุคบุกเบิกใช่หรือไม่
เป็นคนบ้าที่หมกมุ่นกับงานทั้งหมดเลยหรือ
ดูความขี้เกียจของสาวน้อยโลลิสิ อันที่จริงเธอก็ไม่ได้แตกต่างจากเขาสักเท่าไหร่ ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ละทิ้งหน้าที่ให้เขา แล้ววิ่งไปหารายได้พิเศษหรอก
เมื่อได้ลองสังเกตดูใกล้ๆ โจวเจ๋อพบว่าบนชื่อของตัวเองและของยมทูตชั่วคราวคนก่อนมีจุดสีขาวบางๆ อยู่ ดูเหมือนกับว่าจะถูกละเลงไปด้วยน้ำยาลบคำผิด
โจวเจ๋อทั้งยื่นมือออกไปถูและใช้เล็บขูดมัน แต่กลับไม่มีอะไรหลุดออกมาเลย จุดสีขาวยังคงเป็นจุดสีขาวอยู่เช่นเดิม
สิ่งนี้ทำให้โจวเจ๋อรู้สึกขัดใจขึ้นมาเล็กน้อย ความจริงอยู่ภายใต้จุดสีขาวเท่านั้นเอง
เดิมทีข้อมูลบัตรของเจ้าของเดิมนี้ควรเขียนไว้ที่นี่ เพียงแต่ว่าเจ้าของเดิมอาจจะตายไปแล้ว ตนเองจึงได้สืบทอดบัตรนี้ ทำให้ข้อมูลทางการของบัตรจึงถูก ‘รีเฟรช’ ใหม่
โจวเจ๋อยังคิดกระทั่งว่าหลังจากกลับมาจากร้านหนังสือจะขอให้ไป๋อิงอิงลองใช้น้ำยาซักผ้าดูว่าสามารถล้างออกได้หรือไม่
หนังสือมีหลายหน้า เมื่อโจวเจ๋อเปิดไปหน้าที่สอง เขาก็เห็นประโยคที่แสนจะธรรมดาบรรทัดหนึ่ง
“แปดในร้อย”
“นี่คือแถบประสบการณ์หรือเปล่า” โจวเจ๋อยกมือมาแตะจมูกของตัวเองอย่างไม่รู้ตัว
อันที่จริง คำว่า ‘เศษส่วน’ มีมานานแล้วในจีนโบราณ แน่นอนว่าไม่ใช่การเพิ่มเส้นแนวนอนให้กับตัวเศษและตัวส่วนของเลขอารบิกแบบที่ผู้คนใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ แต่จะอธิบายโดยตรงในลักษณะเช่นนี้
ใน ‘บันทึกของนักประวัติศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ เทียนกวนซู’ ก็มีวิธีการเขียน ‘…สองในสาม…แปดในเก้า…’ อยู่ด้วย ‘สองในสาม’ ก็คือ ‘เศษสองส่วนสาม’ และ ‘แปดในเก้า’ ก็คือ ‘เศษแปดส่วนเก้า’
แปดในร้อยในที่นี้ก็หมายถึงแปดเปอร์เซ็นต์
โจวเจ๋อส่ายหน้า เขารู้สึกละอายใจเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ตนเองยังไม่รู้สึกอะไรกับการที่สาวน้อยโลลิโกรธที่ตนเกียจคร้านจนก่อให้เกิดเรื่องใหญ่โต และรู้สึกว่าเธอทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่
แต่เมื่อมาดูตอนนี้ ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมานี้ ตนเองก็เพิ่งทำภารกิจยมทูตชั่วคราวเสร็จสิ้นไปเพียงแปดเปอร์เซ็นต์เท่านั้น
ขี้เกียจจริงๆ
ในขณะเดียวกันนั้น โจวเจ๋อก็กำลังคิดว่า นี่มันหมายความว่าถ้าหากตนเองทำอีก 92 % ได้ครบและคิดเป็น 100%ได้แล้วล่ะก็ ก็จะสามารถเปลี่ยนสถานะจาก ‘ยมทูตชั่วคราว’ ใช่หรือไม่
เปลี่ยนจากพนักงานสัญญาจ้างเป็นพนักงานประจำ?
โจวเจ๋อไม่เคยจริงจังกับเรื่องนี้มาก่อน แม้แต่ในชาติที่แล้วเขาก็ยังดูหมิ่นคนที่ตั้งใจทำงานในองค์กรอยู่ไม่น้อย มีเพื่อนร่วมชั้นบางคนที่ครอบครัวส่งเสียเงินไปหลายแสนเหรียญ จนในที่สุดก็ได้เข้าทำงาน และหลังจากนั้นได้เงินเดือนสองสามพัน แต่ก็ยังรู้สึกว่าตนเองอยู่เหนือกว่าคนอื่น คิดว่านักเรียนคนอื่นที่ยังทำงานหนักหาอาชีพเสริมหรือทำงานในปักกิ่งเซี่ยงไฮ้และกวางโจวล้วนเป็นพวกพนักงานชั่วคราวทั้งนั้น
แต่ตอนนี้โจวเจ๋อได้ลบคำว่า ‘ชั่วคราว’ ทิ้งไปแล้ว และมุ่งเข้าสู่ระบบนรกด้วยความรู้สึกลึกซึ้งอันแรงกล้า!
นี่หมายถึงความรู้สึกที่ปลอดภัย หมายความว่าไม่ว่าคืนนี้ตนเองจะนอนหลับได้อย่างเต็มอิ่มหรือไม่ ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะมองไม่เห็นดวงอาทิตย์ในวันพรุ่งนี้อีกแล้ว
บางที อดีตเพื่อนร่วมชั้นของตัวเองเหล่านั้น ก็คงเพราะความรู้สึกปลอดภัยแน่ อย่างไรเสีย ในสามร้อยหกสิบบรรทัดนั้นไม่มีอาชีพอะไรที่มั่นคงไปกว่างานที่มั่นคงแล้ว
โจวเจ๋อยังอยากเปิดหน้าถัดไป กลับพบว่าหลายหน้าถัดไปนั้นมันเหนียวติดกันหมด ตนดึงอย่างไรก็ดึงไม่ออก
บางที
อาจเป็นเพราะระดับของตัวเขาเอง ข้อมูลหลายหน้าหลังจากนั้นแทบจะไม่มีสิทธิ์ตรวจสอบดูเลย
เก็บเอกสารรับรองแล้ว โจวเจ๋อบิดขี้เกียจเสียหนึ่งที
หวังเคอยังอยู่ในห้องนอนห้องข้างๆ นั่น เจิ้งผิงผิงตื่นแล้ว และกำลังฟื้นความทรงจำอย่างช้าๆ หวังเคอทั้งตื่นเต้นทั้งฮึกเหิม ในฐานะแพทย์จิตวิทยาอาวุโสท่านหนึ่ง เขาสามารถจับทางได้อย่างชัดเจนเลยว่าอาการของเจิ้งผิงผิงกำลังดีขึ้นอย่างรวดเร็วมากเลยในตอนนี้
เขาเองก็ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุอันใด แต่เขาก็ทำ ‘ท่าทางของความพยายาม’ ออกมาอย่างไม่รู้ตัว
โจวเจ๋อเดินออกมาจากห้องภาพวาด จุดบุหรี่ขึ้นมาตัวหนึ่ง ในใจพลางคิดว่าหลังจากไปที่ร้านหนังสือแล้วจะตั้งใจทำมันอย่างไรต่อไป ต่อไปหากไม่มีอะไรทำก็จะจัดวางธูปเทียนไว้ที่หน้าประตูร้านพร้อมกับอาหารและเครื่องดื่มเพื่อดึงดูดภูตผีต่างๆ ให้เข้ามา
ถึงตอนนั้นไม่ต้องสนใจเรื่องอันใดอีก ส่งทั้งหมดลงนรกไปเกิดใหม่เสียเลย
ยกตัวอย่างเช่นครั้งก่อนมีคุณแม่ท่านหนึ่งที่อยากอยู่เป็นเพื่อนลูกชายสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้เสร็จสิ้นก่อนค่อยไปนรกภูมิ ครั้งหน้าที่โจวเจ๋อพบเข้าก็คงไม่ใช่การโบกมือให้นางจากไปง่ายๆ แน่นอน
ท่านอาจจะบอกได้ว่านี่มันไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจเลย แต่นับแต่บรรพกาลที่เป็นทุนเดิมก็โหดร้ายเช่นนี้แหละ
เพื่อให้เลื่อนขั้นเร็วขึ้น
โจวเจ๋อช่างทำอะไรตามอำเภอใจจริงๆ
ตอนนี้เอง โจวเจ๋อมองเห็นทางบันไดนั้น ภรรยาของหวังเคอและพ่อบ้านหนุ่มคนนั้นดูเหมือนกำลังพูดคุยอะไรกันอยู่ โจวเจ๋อไม่ได้เข้าไปใกล้ แต่หูจับใจความได้คำว่า “เมื่อไรจะไปทำผมอีกครั้ง”อะไรเทือกนั้น
และพูดจากก้นบึ้งของหัวใจเลยว่า เมื่อเห็นท่าทีที่เขินอายที่พยายามทำท่าทางให้สงบของภรรยาของหวังเคอในเวลานี้ ทุกอย่างก็ชัดเจนในตัวเองแล้ว
พ่อบ้านหนุ่มตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว นี่เป็นอาชีพใหม่ อีกทั้งยังมีรายรับสูงมากอีกด้วย ปกติก็มีเพียงที่พักระดับสูงอย่างนี้ ถึงจะมีพ่อบ้านให้ด้วย ถือว่าเป็นผู้ให้บริการระดับสูง ระดับถือว่าไม่ด้อยไปกว่า ‘แอร์โฮสเตส’ ในสายตาผู้คนเมื่อหลายปีก่อนเลย
แน่นอนว่าโจวเจ๋อไม่มีทางไปร้องแรกแหกกะเชอ ประกาศอย่างเจ็บปวดว่า ‘ชายชู้หญิงชั่ว’ หวังเคอดูเหมือนว่าจะคาดเดาอะไรได้ แต่ในเมื่อคนในอย่างเขาตั้งใจไม่เปิดโปง คนนอกอย่างโจวเจ๋อเองก็ไม่มีเหตุผลอันใดต้องไปช่วย
แต่ในฐานะเพื่อนที่โตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก หวังเคอโดนสวมเขาแล้ว ในใจของโจวเจ๋อแน่นอนว่าต้องไม่สบายใจ
คุณเจิ้งที่กำลังสูบซิการ์อยู่ที่ระเบียง สีหน้าของเขาดูผ่อนคลายมาก เพราะหวังเคอเพิ่งจะบอกเขาว่าอาการป่วยของลูกสาวของเขาดีขึ้นมาแล้ว
“คุณสวีทำงานที่ไหนหรือครับ” คุณเจิ้งตอนนี้ถึงได้มีแก่ใจพูดคุยกับโจวเจ๋อขึ้นมา
“เปิดร้านหนังสือครับ”
โจวเจ๋อเอ่ยตอบ
ทำไงได้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนมีเงินอย่างนี้ ท่านก็ต้องวางท่าสูงส่งเสียหน่อยด้วย
“อ่อ ดีมากเลยๆ มีโอกาสผมจะไปเยี่ยม” คุณเจิ้งตอบอย่างมีมารยาท
โจวเจ๋อกลับเอ่ยถามต่อว่า “คุณหนูเจิ้งเมื่อครู่ควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ใช่ไหมครับ ผมไม่ค่อยเก่ง พอรู้วิธีบางอย่างสำหรับการปรับสภาพร่างกายและจิตใจ เสริมสร้างรากฐานและบำรุงกำลังอยู่บ้าง”
คุณเจิ้งเมื่อได้ยิน สีหน้าย่ำแย่ลงทันที เขาเป็นเศรษฐีใหญ่ แน่นอนว่าหมอดีดีต้องมีไม่ขาดแน่ ที่เขาโกรธก็คือโจวเจ๋อกลับพูดต่อหน้าเขาว่าลูกสาวของเขาควบคุมการขับถ่ายไม่ได้!
ทั้งๆ ที่ควบคุมการขับถ่ายไม่ได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น
และก็ไม่มีอุจจาระด้วยซ้ำ!
“ขอบคุณในความหวังดีของคุณนะครับ แต่ลูกสาวผมแค่เหนื่อยล้าทางจิตใจนิดหน่อย ร่างกายไม่ได้มีปัญหาอะไร”
ไม่ยื่นมือตบหน้าคนที่หวังดี โจวเจ๋อพูดว่าอยากแนะนำวิธีรักษาเพื่อช่วยเหลือ แน่นอนว่าคุณเจิ้งจะโกรธเกรี้ยวโจวเจ๋อคงไม่ได้
สีหน้าของโจวเจ๋อปรากฏร่องรอยของความประหลาดใจออกมา ก่อนพูดว่า
“ไม่มีหรือ แต่ผู้ดูแลบ้านเมื่อครู่เพิ่งพูดตรงนั้นกับใครเอง ว่าเป้ากางเกงคุณหนูเต็มไปด้วย……”
เมื่อพูดถึงตรงนี้
โจวเจ๋อก็ดูเหมือนจะรู้สึกว่าพูดอย่างนี้ไม่สุภาพและไม่เหมาะสม เขารีบหัวเราะฮ่าๆ ก่อนพูดว่า
“คุณหนูไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
……………………………………………………………….