ตอนที่ 71 ขอแต่งงาน
ตอนที่นั่งรถกลับมาที่ร้านหนังสือ ก็เป็นเวลาดึกดื่นเที่ยงคืนแล้ว ประตูร้านยังเปิดอยู่และมีคนอยู่ข้างในไม่น้อย
โจวเจ๋อจำได้ว่าก่อนหน้านั้นสวี่ชิงหล่างโทรมาหาตัวเองบอกว่ากิจการที่ร้านคืนนี้ดีมาก สงสัยจะเป็นเช่นนั้นจริงเพราะดึกขนาดนี้แล้ว ยังมีลูกค้าอยู่เลย
เมื่อผลักประตูกระจกเข้าไป สิ่งที่ทำให้โจวเจ๋อรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยคือ คนสิบกว่าคนที่นั่งอยู่ในร้านล้วนเป็นคนที่ยังมีชีวิตอยู่
คราวที่แล้วกรณีของผู้กำกับจ้าวเป็นกรณีพิเศษ ครั้งนี้คงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ทั้งสิบกว่าคนล้วนเป็นกรณีพิเศษใช่ไหม
ต่อให้เป็นยุคสามราชาห้าจักรพรรดิ ขนบธรรมเนียมของมนุษย์ ไม่สิ ขนบธรรมเนียมของผีคงไม่เรียบง่ายแบบนี้เหมือนกัน
พวกเขานั่งล้อมวงอยู่ด้วยกัน มีคนหนึ่งยืนอยู่ตรงกลาง กำลังเล่านิทานอยู่และคนอื่นๆ ก็นั่งฟังอย่างตั้งใจ ดูเหมือนกำลังเล่าเรื่องลึกลับสยองขวัญ คนที่เล่าเรื่องใช้น้ำเสียงสูงและต่ำรวมทั้งท่าทาง พยายามสร้างบรรยากาศอย่างเต็มที่
ไป๋อิงอิงนั่งอยู่ข้างหลังเคาน์เตอร์ กำลังเล่นโทรศัพท์อยู่
ตอนที่โจวเจ๋อกลับมาแล้ว ไป๋อิงอิงลุกขึ้นโดยอัตโนมัติ แล้วรินน้ำให้โจวเจ๋อหนึ่งแก้ว
โจวเจ๋อนั่งลง พลางยื่นมือปิดตำแหน่งตรงหน้าอกของตัวเองเมื่อรู้ตัว ถึงแม้จะมีเสื้อผ้าปิดบัง แต่อย่างน้อยตอนนี้ดูแล้ว ตรงบริเวณนั้นมีแต่ความว่างเปล่า
“เถ้าแก่ ท่านเป็นอะไร” ไป๋อิงอิงถามอย่างสงสัย
“หืม” โจวเจ๋อมองไปทางไป๋อิงอิง
“รู้สึกว่าท่านมีตรงไหนเปลี่ยนไป ตอนบ่ายตอนที่ท่านออกไปไม่ใช่สภาพแบบนี้”
และต้องพูดว่า ศพผีสาวมีความรู้สึกไวมากจริงๆ
“ไม่มีอะไร” โจวเจ๋อตอนนี้ไม่อยากพูด
“ท่านกลับมาแล้ว งั้นข้าจะไปเล่นเกมที่ร้านข้างๆ นะเจ้าคะ” ไป๋อิงอิงขอร้อง
โจวเจ๋อพยักหน้า
“เถ้าแก่ใจดีที่สุดเลย”
ไป๋อิงอิงไปที่ร้านบะหมี่ที่อยู่ข้างๆ ไม่ช้า สวี่ชิงหล่างก็เดินจากร้านบะหมี่เข้ามาในร้านหนังสือ เดินมาที่เคาน์เตอร์ ยื่นบุหรี่ให้โจวเจ๋อหนึ่งมวนแล้วถามว่า
“นี่คือกำลังจัดปาร์ตี้น้ำชาเหรอ”
โจวเจ๋อส่ายหน้า เพื่อบอกว่าตัวเองก็ไม่แน่ใจ
“เฮ้ ฟังแล้วเหมือนกำลังเล่าเรื่องผี” สวี่ชิงหล่างเกิดความสนใจ ดังนั้นจึงหาเก้าอี้พลาสติกตัวหนึ่งแล้วนั่งลง
คนที่อยู่ตรงกลางกำลังเล่าเรื่องผีเด็กทารกกลับมาแก้แค้น ดูน่าตื่นเต้นมาก เรื่องเล่าถือว่าไม่เลวจริงๆ คนรอบๆ ก็ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
ไม่นานนักโจวเจ๋อก็เริ่มเข้าใจ นี่น่าจะเป็น ‘สมาคม’ อย่างหนึ่ง คล้ายกับสมาคมอ่านหนังสือหรือไม่ก็ชมรมขี่จักรยานทำนองนั้น โดยมีคนที่สนใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วมารวมตัวกัน
พอเล่าเรื่องจบแล้ว ผู้ชายที่เป็นหัวหน้าได้หยิบกระดาษสีขาวใบหนึ่งออกมาและมีภาพวาดสิ่งของอยู่บนนั้น จากนั้นก็หยิบปากกาออกมาสองสามด้าม
โจวเจ๋ออยู่ห่างนิดหน่อย จึงมองเห็นไม่ถนัด สวี่ชิงหล่างจึงหันมา แล้วใช้รูปปากพูดกับโจวเจ๋อว่า
“ผีปากกา”
ผีปากกา เป็นเกมเรียกวิญญาณอย่างหนึ่ง มีสีสันและลึกลับ ว่ากันว่า เกมประเภทนี้สามารถดวงซวยได้ง่ายถึงขั้นวิญญาณเข้าสิงร่าง
คนพวกนี้แต่ละคนตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ทุกคนยื่นมือออกมาแล้วจับปากกาด้วยกัน ผู้ชายสวมเสื้อโค้ทสีเหลืองใส่แว่นตากรอบสีดำคนหนึ่งดูเหมือนจะเป็นหัวหน้า หลังจากที่ทุกคนเตรียมตัวพร้อมแล้ว ก็เริ่มพูดด้วยความเชื่อมั่น
“ผีปากกาๆ คุณอยู่ที่ไหน ผีปากกาๆ คุณอยู่ที่ไหน”
ปากกายังไม่ขยับ แต่ในร้านหนังสือกลับเงียบสงัด
ผู้ชายใส่แว่นตากรอบสีดำพูดต่อ
“ผีปากกาๆ คืนนี้พวกเราจะได้เจอผีไหม”
หลังจากสิ้นเสียงไปสิบวินาที ปากกาด้ามยาวที่ทุกคนจับด้วยกันก็เริ่มขยับอย่างช้าๆ
ทุกคนล้วนหยุดหายใจ
อันที่จริงหลายคนจับปากกาด้ามเดียวพร้อมกัน ขอเพียงปลายปากกากลมมากพอ ก็สามารถขยับได้ง่าย ถ้าหากมีหนึ่งคนในนั้นแกล้งเล็กน้อย เช่นนั้นก็ยิ่งง่ายเข้าไปอีก
“ฟึ่บ!”
ปลายปากกาสั่นในทันใด แล้วจึงพุ่งไปทางตำแหน่งที่นั่งของโจวเจ๋อ
สวี่ชิงหล่างอ้าปากเล็กน้อย เจอแจ็กพ็อตเหรอ
โจวเจ๋อยังคงนั่งอยู่ที่หลังเคาน์เตอร์ไม่ขยับเหมือนเดิม พร้อมกับหรี่ตามองเหตุการณ์ในนี้
เนื่องจากการขยับของปลายปากกา สายตาของคนส่วนใหญ่ล้วนมองไปที่โจวเจ๋อที่นั่งอยู่ตรงนั้น
“ใช่!”
ผู้ชายใส่แว่นตากรอบสีดำพูดไปตรงบริเวณที่ปลายปากกาชี้
มีคำว่า ‘ใช่’ กับ ‘ไม่ใช่’ อยู่สองเขต เวลานี้ปลายปากกากำลังอยู่ในบริเวณของคำว่า ‘ใช่’
“โอเค เก็บของได้ อีกสักพักออกเดินทาง อย่าลืม ใช้เวลาปฏิบัติภารกิจครึ่งชั่วโมง โทรศัพท์ของทุกคนชาร์จเต็มแล้วใช่ไหม อีกสักพักทุกคนต้องเริ่มบันทึกวิดีโอ อย่างน้อยยี่สิบนาที”
“โอเค”
“เข้าใจแล้ว”
“อืม”
คนที่เหลือเก็บของแล้วออกจากร้านหนังสือ ผู้ชายใส่แว่นตากรอบสีดำเดินมาที่หน้าเคาน์เตอร์ของโจวเจ๋อแล้วพูดขอโทษว่า
“ขอโทษเถ้าแก่ด้วยนะครับ พวกเราเป็นสมาคมคนรักเรื่องเล่าสยองขวัญ เวลาว่างไม่มีอะไรทำก็ชอบไปหาเรื่องผจญภัยลี้ลับด้วยกัน ไม่ได้ทำให้คุณตกใจใช่ไหมครับ”
โจวเจ๋อส่ายหน้า
“อย่างนั้นเถ้าแก่ก็ใจกล้ามาก เมื่อครู่สาวน้อยคนนั้นที่นั่งอยู่ตรงนี้ ผมถามเธอว่าขอเล่นผีปากกาที่นี่ได้ไหม เธอก็อนุญาต ปรากฏว่าคุณกลับมาแล้ว ผมยังกังวลว่าคุณจะโทษพวกเราไหม นี่คือค่าน้ำชา เถ้าแก่รับไว้ด้วยครับ”
ชายหนุ่มยื่นเงินมาให้หกร้อยหยวน
โจวเจ๋อรับเงินแล้วถามว่า “พวกคุณอีกสักพักจะไปที่ไหน”
“ไปที่ตึกใหญ่ที่อยู่บนร้านของคุณครับ ที่นี่ไม่มีร้านค้านานแล้วไม่ใช่เหรอ ก่อนหน้านั้นก็เกิดเหตุเพลิงไหม้ มีคนถูกเผาตายหลายคน คืนนี้พวกเราอยากจะลองเสี่ยงโชคที่นี่ครับ”
“อยากเจอผีขนาดนั้นเชียว”
“ไม่รู้ครับ แต่คนเราชอบสงสัยในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้เสมอ จริงๆ แล้วทุกคนอยากหาอะไรที่สนุกตื่นเต้น จึงมารวมตัวกันครับ และด้วยแวดวงสังคมโดยทั่วไป ยากมากที่จะหาคนรอบตัวที่ชื่นชอบในสิ่งที่คล้ายกัน สมาคมของพวกเรา ก็เพื่อให้ทุกคนมีโอกาสได้สื่อสารแลกเปลี่ยนกัน และคืนนี้ผมได้เตรียมแผนไว้อย่างหนึ่ง โดยสั่งให้คนเตรียมจัดของล่วงหน้า ในโรงภาพยนตร์ที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ก่อนหน้านี้เมื่อตอนกลางวันแล้ว คืนนี้คุณเฉินที่อยู่สมาคมของพวกเรา จะสารภาพรักกับคุณหลิวแฟนสาวครับ”
“สารภาพรักหรือ”
“ใช่ครับ จริงๆ แล้วเรื่องในคืนนี้ พวกเราคนอื่นๆ รู้กันหมดแล้ว มีเพียงคุณหลิวเท่านั้นที่ยังไม่รู้ สมาคมของพวกเราก่อตั้งมาห้าปีแล้ว ความสัมพันธ์ของทุกคนจึงถือว่าไม่เลว ดังนั้นทุกคนจึงยินดีที่จะช่วยเหลือ”
“คุณเป็นคนญี่ปุ่นเหรอ” โจวเจ๋อมองไปที่ผู้ชายใส่แว่นตากรอบสีดำแล้วถาม
“ใช่ครับ ผมเป็นลูกครึ่งจีนญี่ปุ่นครับ กลับมาอยู่ประเทศจีนเมื่อห้าปีที่แล้ว และสมาคมที่คนทำกิจกรรมแบบนี้ที่ญี่ปุ่นมีเยอะมาก หลังจากกลับมาอยู่ที่ประเทศจีน พบว่าทุกคนไม่ค่อยพูดกันเท่าไร ดังนั้นกิจกรรมพวกสมาคมอ่านหนังสือหรือผจญภัยบ้านผีสิง ผมจะเป็นคนจัดขึ้นมาครับ”
ชายหนุ่มตบที่หน้าผากเบาๆ จากนั้นยื่นนามบัตรของตัวเองออกมา
“ชื่อภาษาจีนของผมคือชุยอีหล่าง ช่วยดูแลด้วยนะครับ”
โจวเจ๋อรับนามบัตรที่อยู่ในมือของเขา
“อย่างนั้นพวกเราขอไปทำกิจกรรมก่อนนะครับ ขอบคุณการต้อนรับของเถ้าแก่อีกครั้งครับ”
เมื่อชุยอีหล่างเดินออกจากร้านหนังสือ สวี่ชิงหล่างที่เดิมทียืนอยู่ข้างๆ ไม่พูดไม่จาพลางเอามือบังหน้าท้องของตัวเองแล้วหัวเราะเสียงดังฮ่าๆ
“ฮ่าๆๆ ผมกลั้นขำไม่ไหวแล้ว พวกเขาครั้งนี้ได้เจอผีจริงๆ”
สวี่ชิงหล่างหัวเราะคิกคัก พบว่าโจวเจ๋อไม่หัวเราะ เขาจึงยื่นมือทุบตรงหน้าอกของโจวเจ๋อแล้วถามว่า
“ไม่ตลกเหรอ”
โจวเจ๋อโก่งตัวทันที แล้วเอามือข้างหนึ่งบังตำแหน่งหน้าอกของตัวเองที่เพิ่งโดนทุบ
“คุณ…ไม่เป็นไรใช่ไหม ผมไม่ได้ใช้แรงมากนะ”
เขาใช้แค่กำปั้นเล็กๆ ทุบไปที่หน้าอกของเขาเท่านั้น
“เปล่า” โจวเจ๋อยื่นมือออกมา เพื่อบอกให้สวี่ชิงหล่างอย่าเข้าใกล้ ขณะเดียวกันเอ่ยว่า “ผมแค่หัวเราะจนเจ็บหน้าอกเฉยๆ”
“โอเวอร์ขนาดนั้นเชียว” สวี่ชิงหล่างเบ้ปาก “คุณหิวไหม ผมจะไปทำ…ข้าวผัดไข่ให้คุณหนึ่งชาม”
“ไม่หิว กินมาแล้ว”
“คุณกินมาจากข้างนอกแล้วเหรอ” สวี่ชิงหล่างถามอย่างสงสัยอยู่บ้าง “คุณไม่ชินกับการกินข้าวนอกบ้านไม่ใช่เหรอ”
“เจ้าสิ่งนั้น อร่อยมาก”
“เป็นอาหารอะไร ถ้าหากคุณกินลงวันพรุ่งนี้ผมจะไปซื้อกลับมาแล้วทำให้คุณกิน”
โจวเจ๋อส่ายหน้า มนุษย์เรา มีแค่หัวใจดวงเดียว
โจวเจ๋อก็ไม่สามารถหอบมาเต็มตะกร้า แล้วเอาให้สวี่ชิงหล่าง ‘ทั้งทอด ทั้งผัด ทั้งต้ม ทั้งนึ่ง’ ได้หรอก
“ถ้าอย่างนั้นช่วงนี้คุณอยากกินอะไรครับ” สวี่ชิงหล่างถาม
“ผัดผักบุ้ง” โจวเจ๋อมองสวี่ชิงหล่าง แล้วพูดอย่างจริงจัง “ช่วงนี้ผมอยากกินอันนี้มาก”
“ได้ วันพรุ่งนี้ผมจะไปซื้อของ”
และในเวลานี้ ไฟในร้านหนังสือจู่ๆ ก็ดับลง
“ว้ายๆๆๆๆๆๆ! รอบชิงชนะเลิศแล้ว ใกล้จะชนะแล้ว! ข้ากำลังจะชนะแล้วเชียว ปืนของข้าอุตส่าห์ลงทุนไปสิบห้าเท่า!”
ไป๋อิงอิงวิ่งพรวดออกมาจากร้านบะหมี่ ยืนร้องโวยวายอยู่ข้างนอก
โจวเจ๋อรู้สึกว่าเมื่อก่อนนางถูกจับขังในกรงหมูถ่วงน้ำ ไม่น่าจะโวยวายดุเดือดเหมือนตอนนี้
ไฟดับแล้ว
โจวเจ๋อกับสวี่ชิงหล่างก็เดินออกมาข้างนอกเหมือนกัน
สวี่ชิงหล่างโทรศัพท์ จากนั้นก็วางสาย แล้วพูดอย่างจนใจว่า
“วันน้องหมาแห่งชาติ (วันแห่งความยากลำบาก) บอกว่าวันพรุ่งนี้ถึงจะมีคนเข้ามาซ่อม พี่โจว สถานที่ของพวกเราไม่ไหวแล้วจริงๆ พอไฟดับคนก็ยังขี้เกียจเข้ามาดู ตอนนี้กลายเป็นสถานที่ให้คนชอบผจญภัยบ้านผีสิงเข้ามาแล้ว”
สวี่ชิงหล่างชี้ไปที่ริมหน้าต่างตึกสูงที่อยู่เหนือศีรษะของคนทั้งสอง “พวกเขาคิดได้ยังไง อยากจะสารภาพรักในโรงภาพยนตร์ที่มีคนตาย”
“โรแมนติกยังไงละ บรรยากาศน่าสะพรึงกลัวข้างใน บวกกับความรักที่จู่โจมเข้ามากะทันหัน ความรู้สึกขัดกันแบบนี้ สำหรับคนที่ชื่นชอบแล้ว มีเสน่ห์น่าหลงใหลมากพอ”
“วันนี้คุณทำไมพูดจาแปลกพิลึก” สวี่ชิงหล่างมองโจวเจ๋อ
โจวเจ๋อส่ายหน้า
“ท่าทางของคุณเป็นแบบนี้เหมือนถูกควักหัวใจออกมา วันนี้ไปหาที่รักของคุณยังข้ามด่านนั้นไม่ได้เหรอ” สวี่ชิงหล่างเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“คิดมากเกินไปแล้ว”
แต่ ‘ควักหัวใจ’ คำนี้ ทำให้หนังตาของโจวเจ๋อกระตุกเล็กน้อย และสวี่ชิงหล่างก็จับรายละเอียดเหล่านี้ได้
โจวเจ๋อเงยหน้า มองไปข้างบน
“นี่ คุณแหงนมองท้องฟ้าก็ไม่มีประโยชน์ นี่คือร้อนตัวเหรอ หรือว่าผมพูดถูกเผ็ง”
สวี่ชิงหล่างเห็นว่าโจวเจ๋อไม่ตอบ จึงแหงนหน้าขึ้นเหมือนกัน
แหงนมองท้องฟ้า จากนั้นทั้งสองคนก็เห็นตำแหน่งที่หน้าต่างกระจกของชั้นห้า เหมือนมีคนใส่เสื้อผ้าสีขาวยืนอยู่คนหนึ่ง
เนื่องจากไฟดับ รอบๆ จึงไม่มีแสงสว่าง แต่พระจันทร์คืนนี้สว่างมาก และสีเสื้อผ้าของอีกฝ่ายก็ง่ายต่อการแยกแยะในเวลากลางคืนเป็นอย่างยิ่ง
“หรือว่ามีคนอยากแกล้งเป็นผีเพื่อสร้างบรรยากาศ” สวี่ชิงหล่างพ่นควันบุหรี่ออกมา “เล่นได้สมจริงมาก…”
สวี่ชิงหล่างไม่พูดแล้ว เพราะเขาเห็นคนใส่ชุดสีขาวคนนั้นตกลงมาอย่างรวดเร็ว และตำแหน่งที่ร่วงลงมาก็อยู่ห่างจากตัวเองกับโจวเจ๋อไม่ถึงสิบเมตร
“ตึ่ก!”
เสียงหนักอึ้งดังออกมา
มีคนหนึ่งตกลงมา หน้าหงายขึ้นท้องฟ้า ไม่ขยับเขยื้อน แล้วเลือดสดๆ ก็ไหลออกมาจากร่างของเธออย่างช้าๆ
โจวเจ๋อรู้สึกถึงความเย็นบนใบหน้าของตัวเอง มีเลือดกระเด็นมาโดนแก้มของเขา
สวี่ชิงหล่างรีบวิ่งเข้าไปดูสถานการณ์ทันที แต่โจวเจ๋อกลับยื่นมือไปหยิบกระดาษทิชชูออกมาจากกระเป๋ากางเกง เพื่อเช็ดคราบเลือดที่อยู่บนใบหน้าของตัวเองก่อน
คนตายแล้ว..ต้องช่วยชีวิตคน…ต้องตรวจดูสถานการณ์…
โจวเจ๋อเผยแววตาดิ้นรนสับสนออกมาจากดวงตา แต่มือของเขายังคงสั่นขณะหยิบกระดาษทิชชู จากนั้นก็เช็ดคราบเลือดสองสามหยดอย่างช้าๆ และระมัดระวัง
“นี่ คุณรีบมาดูเร็วเข้า ยังมีโอกาสช่วยชีวิตได้หรือเปล่า!” สวี่ชิงหล่างเงยหน้าตะโกนเรียกโจวเจ๋อ จากนั้นตอนที่เขาเห็นโจวเจ๋อยืนเช็ดหน้าขาไม่ขยับอยู่ตรงนั้น จึงตะโกนพูดโดยตรงว่า
“คุณยังมีจิตสำนึกอยู่ไหม เวลานี้ยังจะมาเช็ดหน้าอีก!”
โจวเจ๋อตกตะลึง ใช่แล้ว หัวใจ ไม่มีอยู่แล้ว…
…………………………………………………………………………