ตอนที่ 91 คืนฝนพรำ
หลังจากคำพูดประโยคสุดท้ายของหญิงชราที่สวี่ชิงหล่างแปลออกมานั้น ทุกคนที่ตื้นตันใจสุดๆ ก่อนหน้านี้ทำหน้างุนงงกันเป็นแถบๆ
เชี่ย
พูดไว้เสียดิบดีฉันทำเพื่อลูกสาวและลูกทำเพื่อฉัน แล้วเรื่องเล่าสร้างแรงบันดาลใจของมารดาผู้เมตตากับบุตรกตัญญูล่ะ
ทำไมถึงกลับตาลปัตรแบบนี้ไปเสียได้
โจวเจ๋อปรบมือแล้วถาม “กินเสร็จแล้วใช่ไหม”
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือกินข้าวเสร็จแล้วก็ออกเดินทางต่อ
หญิงชราวางตะเกียบลงอย่างประหม่าแล้วพูดขึ้น
“ฉันไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ถ่อมาถึงนี่ได้ ฉันไม่ได้อยากลงไป ฉันยังอยาก…”
โจวเจ๋อมองดูเธออย่างเงียบๆ รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปาก
ลูกค้าเปิดประเดิมรายแรก ก็ต้องฟังคำขอของลูกค้าด้วยรอยยิ้ม
หญิงชราตัวแข็งทื่อ สั่นสะท้านด้วยความกลัว รีบพูดขึ้นทันทีว่า
“ฉันรู้สึกว่าฉันลงไปเร็วขึ้นอีกหน่อยน่าจะดีกว่า”
โจวเจ๋อรู้สึกว่าตัวเองควรจะใส่สโลแกนสองสามประโยคไว้ในห้องส่วนตัวเล็กๆ นี้
‘สารภาพโทษผ่อนหนักเป็นเบา ปฏิเสธลงโทษหนักสถานเดียว’
ดูเหมือนว่าจะจริงจังไปหน่อย หรือว่าเอาอีกสักอัน
‘รู้จักปรับปรุงแก้ไข เป็นคนใหม่อีกครั้ง’
ความคิดเหล่านี้ก็ทำได้เพียงแค่ยิ้มกับตัวเองในใจ โจวเจ๋อลุกขึ้นยืนและเปิดประตูแห่งนรกภูมิ หญิงชรายังคงลังเลอยู่ตรงนั้น แต่โจวเจ๋อคว้าไหล่ของเธอด้วยมือเพียงข้างเดียวแล้วโยนเข้าไปข้างในทันที
เพียงเท่านี้ ออเดอร์แรกของร้านใหม่ก็เสร็จเรียบร้อย
ต่อมา โจวเจ๋อก้มลงไปมองที่ใต้โต๊ะตัวเล็ก มองเห็นเงินกระดาษอยู่ปึกหนึ่ง
“นับดูหน่อยสิ มากกว่าก่อนหน้านี้หรือเปล่า” สวี่ชิงหล่างเร่งเร้า
“เหมือนว่าจะมากกว่านิดหน่อย” โจวเจ๋อยืนยัน
“งั้นหมายความว่าวิธีนี้ก็ใช้ได้น่ะสิ ผมบอกแล้ว ช่องว่างกำไรจากบริการเสริมคือที่สุดแล้ว พวกเรายังสามารถทำรายการอื่นๆ ได้อีกใช่ไหม”
แม้ว่าจะมีห้องชุดมากกว่ายี่สิบห้อง แต่ความปรารถนาในการหาเงินของสวี่ชิงหล่างยังคงเหมือนเดิม
ไม่มีใครรังเกียจเงินเยอะหรอก
“นวดหรือไม่ก็สปาไหมล่ะ” โจวเจ๋อยิ้มเอ่ย
“อันนี้ก็ออกจะเกินไปหน่อย” สวี่ชิงหล่างขมวดคิ้ว
“ตอนนี้ในหอประกอบพิธีฌาปนกิจบางแห่งมีบริการประเภทนี้ด้วย นวดสปาให้คนตาย ฉันเคยเห็นมาก่อนน่ะ อยู่ในห้องกั้นด้วยกระจก ครอบครัวยืนดูอยู่ด้านนอก ส่วนช่างก็อาบน้ำและนวดสปาให้ศพอยู่ด้านใน พร้อมกับตัดเล็บให้ด้วยเสร็จสรรพ”
“คุณนี่น่าขยะแขยงจริงๆ” สวี่ชิงหล่างดูเหมือนจะทนเขาไม่ไหว หันกลับมาเริ่มทำความสะอาดเก็บกวาดถ้วยชามและตะเกียบบนโต๊ะ
อันที่จริงอาหารพวกนี้ไม่พร่องลงไปเลย อย่างน้อยๆ ก็ดูเหมือนว่าไม่พร่องลงไปสักนิดเลย แต่อย่างไรก็ต้องทิ้งอาหารพวกนี้ไป
หากเป็นอาหารหรือผลไม้ที่คนในครอบครัวถวายเซ่นไหว้บรรพบุรุษตัวเอง หลังจากเซ่นไหว้เสร็จแล้วยังสามารถนำมากินได้ ถึงอย่างไรก็เป็นของที่บรรพบุรุษตัวเองกินไป และมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่ทุกคนจะกินอาหารบนโต๊ะเดียวกัน
แต่สวี่ชิงหล่างและหญิงชราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะกินของเหลือของคนอื่น
เมื่อนำเงินกระดาษใส่เข้าไปในตู้แล้ว โจวเจ๋อก็กลับมานั่งพิงเก้าอี้อีกครั้ง
โยกไปข้างหน้า
โยกไปข้างหลัง
เขาชอบความสบายใจแบบนี้ และเพลิดเพลินไปกับการผ่อนคลายไร้กังวลแบบนี้ด้วย
ไป๋อิงอิงหนีขึ้นไปเล่นคอมพิวเตอร์ด้านบน ส่วนนักพรตเฒ่าพาเจ้าลิงขึ้นไปดูทีวี และสวี่ชิงหล่างก็ขึ้นไปพักผ่อนแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงเหลือเถ้าแก่โจวเจ๋ออยู่ที่ชั้นหนึ่งของร้านหนังสือเพียงคนเดียว
หยิบมือถือเลื่อนดูข่าวอะไรไปเรื่อยเปื่อย ฝนด้านนอกเริ่มตกลงมาโดยไม่รู้ตัว ฝนตกค่อนข้างหนักเลยทีเดียว จากฝนปรอยๆ ในตอนแรกจนกลายเป็นฝนห่าใหญ่ในภายหลัง
ฤดูกาลนี้ฝนตกได้ทุกเวลาจริงๆ
หยิบแก้วน้ำขึ้นมาจิบ เมื่อโจวเจ๋อบิดขี้เกียจและเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง กลับพบว่ามีคนยืนออกันอยู่หน้าร้านหนังสือของตัวเอง
โอ้โห กิจการวันนี้ดีขนาดนี้เลย
นี่ยังเป็นคืนแรกของการเปิดร้านใหม่ หากเป็นอย่างนี้ต่อไปละก็ โจวเจ๋อคิดว่าตัวเองไม่เพียงแต่สามารถคืนเงินให้สาวใช้ของตัวเองได้เร็วเท่านั้น แต่ยังสามารถซื้อรถดีๆ ได้เลยอีกด้วย
อืม เจ้าสวีเล่อขี้แพ้คนนี้แม้แต่ใบขับขี่ก็ยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ เห็นทีตัวเขาต้องไปสอบใบขับขี่มาสักใบแล้วละ
เมื่อเดินไปถึงหน้าประตูร้าน โจวเจ๋อตะลึงไปครู่หนึ่ง สิ่งที่ยืนอยู่ด้านนอกนั้นไม่ใช่คน แต่เป็นเสื้อผ้าเรียงรายเป็นแถวๆ
เป็นคนที่เคยตั้งแผงขายเสื้อผ้าข้างนอก เพราะว่าฝนตกเลยย้ายแผงเข้ามาหลบฝนหน้าร้านของเขา เพราะความคิดที่เชื่ออย่างสนิทใจทำให้โจวเจ๋อเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเงาผีตะคุ่มอยู่ข้างนอก
เมื่อเปิดประตูร้าน มีสาวน้อยสองคนยืนอยู่ด้านนอกของประตู อายุก็น่าจะยี่สิบต้นๆ มีกระเป๋าเงินคาดอยู่ที่เอวมัดผมหางม้าดูสดใสและทะมัดทะแมงมาก
“เถ้าแก่ ขอโทษด้วยนะคะ มาขวางกิจการของคุณเสียแล้ว รอฝนซาลงพวกเราจะรีบไปทันที ขอโทษจริงๆ ขอโทษด้วยค่ะ” เด็กสาวคนหนึ่งขอโทษขอโพยโจวเจ๋อ
“เถ้าแก่ มีกาแฟไหมคะ เราขอซื้อกาแฟสองแก้วค่ะ” เด็กสาวอีกคนความคิดเฉียบแหลมกว่ามาก ซื้อกาแฟคนอื่นไปสองแก้ว คนอื่นก็ไม่กล้าไล่พวกเธอไปแล้วละ
“ไม่เป็นไร พวกคุณรอให้ฝนหยุดแล้วค่อยไปก็ได้”
โจวเจ๋อยังไม่ไร้มนุษยธรรมนัก นอกจากนี้ถึงเอาแผ่นเหล็กมากั้นไว้นอกร้านลูกค้าของเขาก็ยังเข้ามาได้อยู่ดี
“ขอบคุณค่ะ เถ้าแก่”
“ขอบคุณค่ะ เถ้าแก่”
เด็กสาวทั้งสองขอบคุณโจวเจ๋ออีกครั้ง
โจวเจ๋อกลับไปด้านหลังเคาน์เตอร์บาร์ของตัวเอง หลังจากเคาน์เตอร์บาร์ที่นี่อัปเกรดแล้วดูล้ำหน้าและสบายกว่าเคาน์เตอร์บาร์อันก่อนอยู่มาก ระบบเสียงเซอร์ราวด์เปิดอยู่ กำลังเล่นเพลงช้าฟังสบาย
ผ่านไปประมาณสิบห้านาทีแล้ว ฝนยังไม่มีทีท่าว่าจะซาลงสักที เด็กสาวคนหนึ่งผลักประตูร้านหนังสือแล้วเดินเข้ามา ซึ่งก็คือหนึ่งในสองสาวน้อยที่ขายเสื้อผ้าก่อนหน้านี้
เด็กสาวเดินไปด้านหน้าชั้นหนังสือ แล้วเลือกนิตยสารแฟชั่นสองสามเล่ม จากนั้นเดินไปหาโจวเจ๋อ เตรียมจ่ายเงิน
“สี่สิบแปดหยวน” โจวเจ๋อเหลือบมองป้ายราคา แล้วพูดอย่างเป็นกันเอง “ให้ห้าสิบหยวนเถอะ ไม่ต้องทอนแล้ว”
“ได้ค่ะ”
เด็กสาวตอบแล้วยื่นเงินห้าสิบหยวนให้โจวเจ๋อ
โจวเจ๋อรับเงินไป
ชั่วขณะหนึ่ง เด็กสาวตกตะลึง ดูเหมือนว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
โจวเจ๋อพิงเก้าอี้ต่อ เด็กสาวก็ไม่สนใจเงินสองหยวนอีกต่อไป นั่งลงบนโซฟาตัวเล็กๆ ในร้านพร้อมกับหนังสือ
เพื่อนคนหนึ่งของเธอกำลังเฝ้าแผงขายของอยู่ข้างนอก แต่เธอกลับหยิบสมุดปกขาวมาคัดลอกเสื้อผ้าในนิตยสาร
โจวเจ๋อลุกขึ้น รินน้ำส้มหนึ่งแก้ว แล้วยื่นไปตรงหน้าอีกฝ่าย
“ฟรีน่ะ” โจวเจ๋อพูด
“อ้อ ขอบคุณค่ะเถ้าแก่”
“เรียนการออกแบบอยู่เหรอ” โจวเจ๋อถาม
“ค่ะ เราเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยทงเฉิง”
“นักศึกษาออกมาทำธุรกิจตั้งแผงลอย ไม่เลวเลยทีเดียว”
โจวเจ๋อชมไปไม่กี่ประโยค และเขาก็ไม่ใช่ลุงแปลกๆ ที่มีความคิดไร้เหตุผล ดังนั้นจึงไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ในขณะที่เดินไปที่ประตูร้าน ทันใดนั้นโจวเจ๋อก็เห็นหญิงสาวที่เฝ้าเสื้อผ้าอยู่ข้างนอกกำลังคุยอะไรบางอย่างกับชายหนุ่มชุดดำอยู่
ด้านหลังชายชุดดำยังมีคนยืนอยู่สองสามคน พวกเขาดูเหมือนว่าจะหนาวเล็กน้อย ยืนตัวสั่นหงึกๆ ท่ามกลางสายฝน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่รู้จักเข้ามาหลบฝนใต้ชายคา
โจวเจ๋อผลักประตูร้านแล้วเดินออกไป
ชายชุดดำเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นโจวเจ๋อ ก็ก้มหน้าลงทันที
คนที่สวมใส่เสื้อผ้าบางๆ สองสามคนที่อยู่ข้างหลังเขากลายเป็นคนเหนียมอายในทันใด ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับโจวเจ๋อ
โจวเจ๋อเดินไปหาชายชุดดำ อีกฝ่ายสวมหมวก ใบหน้าครึ่งซีกถูกซ่อนอยู่ภายในอย่างมิดชิด จากนั้นโจวเจ๋อก็หันไปเห็นหญิงสาวที่ยื่นเสื้อผ้าด้วยใบหน้าทึ่มทื่อและดวงตามึนงง อีกทั้งเงินที่เพิ่งได้รับในมือ ก็เป็นเงินกระดาษเก่าๆ ปึกหนึ่ง
“เกินไปหน่อยแล้วมั้ง” โจวเจ๋อปริปากพูด
“พวกเราล้วนเป็นผีไร้ญาติ เดิมทีรีบกลับบ้านเกิด แต่ดันเป็นวันที่ฝนตก พวกพี่ๆ น้องๆ ก็ไม่มีเสื้อผ้าติดตัวเลย มันหนาวมากจริงๆ ท่านยมทูตได้โปรดเห็นใจด้วยเถอะ”
“ผีไร้ญาติก็รีบลงนรกไปสิ”
ท่าทีของโจวเจ๋อแข็งกร้าว เห็นได้ชัดว่าไม่คิดจะเจรจาด้วย
ตลกแล้ว ผีไร้ญาติก็ถือว่าเป็นผลงานเหมือนกันนะ!
ตอนนี้เถ้าแก่โจวเตรียมเร่งทำผลงานอยู่นะ ขาของยุงก็เป็นเนื้อ ไม่มีทางปล่อยไปเด็ดขาด
ดูเหมือนว่าการเลือกเปลี่ยนร้านใหม่จะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ดูคืนนี้สิคึกคักขนาดไหน
ชายชุดดำค่อยๆ เงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าที่มีรอยแผลเป็นและพูดอย่างเคร่งขรึม
“นี่ท่านยมทูตไม่คิดจะคุยกันดีๆ หน่อยเลยหรือ”
“ผมมีอะไรต้องคุยกับคุณด้วยเหรอ”
โจวเจ๋อเอื้อมมือไปคว้าไหล่ของเด็กสาวแล้วลากเด็กสาวไปข้างหลัง จากนั้นตัวเองก็ก้าวขึ้นไปยืนประจันหน้ากับชายชุดดำ
เขายื่นมือออกมาและจิ้มไปที่หน้าอกของชายชุดดำเบาๆ
“พวกคุณลองแต่งเรื่องน่าสงสารเพื่อทำให้ผมใจอ่อนลงดูสิ โอ้ไม่สิ ขอโทษที ผมลืมไป จิตสำนึกมโนธรรมของผมถูกกินไปชั่วคราว หามันไม่เจอแล้วน่ะ”
“หลังจากที่ผมพาพวกเขากลับไปที่บ้านเกิดแล้ว ก็จะพาพวกเขากลับนรก เรื่องนี้ท่านยมทูตวางใจได้!”
แม้ว่าชายชุดดำจะมีร่องรอยแผลเป็นมากมายบนใบหน้า แต่พูดด้วยน้ำเสียงฉะฉาน ราวกับเป็นหัวหน้าของกลุ่มปีศาจน้อยกลุ่มนี้
“หรือว่าผมจะต้องซื้อตั๋วเครื่องบินตามกลับไปเยี่ยมชมบ้านเกิดของพวกคุณด้วยล่ะ ขอโทษนะพี่ชาย ผมไม่ว่าง”
เล็บทั้งสิบนิ้วของโจวเจ๋อค่อยๆ งอกยาวออกมา มีมวลรัศมีสีดำลอยวนอยู่รอบๆ อย่างช้าๆ
ในเวลานี้เอง เด็กสาวที่นั่งอยู่ในร้านคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาเหลือบมอง เห็นเพียงเพื่อนตัวเองดูเหมือนกำลังคุยอยู่กับเถ้าแก่คนนั้นอยู่ สิ่งเธอไม่ควรเห็นก็ไม่สามารถมองเห็นมันได้
“ตอนนี้ผมไม่อาจส่งพวกเขาให้กับคุณ ผมต้องพาพวกเขากลับไปก่อน!”
ชายชุดดำพุ่งเข้าหาโจวเจ๋ออย่างดุดัน!
แต่วินาทีต่อมา
แค่โจวเจ๋อสะบัดแขนเบาๆ ชายชุดดำก็ถูกฟาดลอยกระเด็นออกไปทันที ความคมของเล็บทำให้วิญญาณของเขาสั่นไหวเล็กน้อย
“เหอะๆ”
โจวเจ๋อหัวเราะ
เป็นแค่ผีธรรมดาตนหนึ่ง ริอ่านกล้าลงมือกับตัวเขาที่เป็นถึงยมทูต
ชายชุดดำพุ่งเข้ามาอีกครั้ง แต่ไม่มีข้อยกเว้น เขาถูกโจวเจ๋อฟาดกระเด็นไปอีกครั้ง
คราวนี้ ผีสองสามตนที่ยืนตัวสั่นหงึกๆ อยู่ตรงนั้น มีแนวโน้มเอนเอียงทันที
เดิมทีโจวเจ๋อคิดว่าพวกเขาจะรวมตัวกันเพื่อช่วยพี่ใหญ่ต่อสู้ นี่ถึงจะเรียกว่าความจงรักภักดี
หรือไม่ผีสองสามตนนี้ก็คงรีบคุกเข่าลงอ้อนวอนเขา แม้ว่าคำวิงวอนจะไม่เป็นผลก็ตาม
แต่พวกเขากลับหันกลับมา แล้วรีบตรงไปที่ร่างสีดำที่ถูกโจวเจ๋อฟาดลอยกระเด็นไปสองครั้งติดๆ กันจนวิญญาณเริ่มเลือนลาง
พวกเขาโกรธมากและเริ่มฉีกทึ้งร่างสีดำนี้
โจวเจ๋อยืนดูเรื่องตลกอยู่ข้างๆ และพูดขึ้น
“ดูเหมือนว่าปกติแล้วน้องๆ ที่คุณช่วยคงจะถูกคุณขูดรีดมาเยอะน่าดูเลยนะ”
แม้ว่าในเวลานี้ชายชุดดำจะถูกทึ้ง แต่กลับยังไม่ส่งเสียงร้องเจ็บปวดใดๆ และในขณะเดียวกันก็ตอกกลับอย่างรุนแรง
“พวกเขาเป็นนักโทษของผม เราเสียชีวิตในอุบัติเหตุทางรถยนต์ด้วยกัน แต่ถึงจะตายไปแล้ว ผมก็จะจับกุมพวกเขาไปดำเนินคดีที่สถานีตำรวจในท้องที่ที่เกิดเหตุให้ได้!”
………………………………………………………………….