ตอนที่ 123 พระขี้เรื้อน
การอยู่เป็นเพื่อนคือการบอกรักที่ยาวนานที่สุด และการอยู่เป็นเพื่อนแบบนี้ยังเป็นประเภทที่ไม่สามารถเจอหน้ากันได้ ผู้ประกาศหญิงสุดท้ายก็กลับไป เธอไม่รอคนนั้นที่นัดเธอมาที่นี่ กะว่ากลับไปจะกลับไปถามบัญชีผู้ใช้คนนั้นว่าทำไมถึงผิดนัดกับตัวเอง
แต่เธอไม่สามารถรู้ได้ว่า คนนั้นได้จากโลกมนุษย์ไปตลอดกาลแล้ว
ชายหนุ่มเป็นฝ่ายเข้ามาหาโจวเจ๋อ โจวเจ๋อไม่ถามว่าเขายังมีเรื่องยึดติดอะไรที่ทำให้เขายังวนเวียนอยู่ในโลกมนุษย์ เขาก็ไม่ตอบ การส่งวิญญาณลงนรกในครั้งนี้ถือว่าสบายและง่ายเป็นอย่างมาก
กระทั่งสามารถใช้คำว่า ‘สันติสุข’ มาบรรยายได้
ไม่มีการต่อต้าน ไม่มีการดิ้นรน ไม่มีความไม่พอใจ มีเพียงความสงบนิ่ง
หลังจากทำธุรกิจนี้เสร็จแล้ว โจวเจ๋อจึงขึ้นไปอาบน้ำพักผ่อน ตั้งแต่ที่ย้ายร้านใหม่ ‘กิจการ’ ถือว่าดีขึ้นมาก เห็นเงินกระดาษทับซ้อนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ ‘ผี’ รู้สึกพึงพอใจมากจริงๆ
พอตื่นมาก็เป็นเตอนเที่ยงแล้ว โจวเจ๋อลงมาข้างล่าง เห็นนักพรตเฒ่ากำลังนั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์หยอกล้อกับเจ้าลิงน้อย
“อรุณสวัสดิ์ เถ้าแก่” นักพรตเฒ่าทักทาย
โจวเจ๋อพยักหน้า เขานั่งลงบนโซฟาที่ติดริมหน้าต่าง วันแห่งการอาบแสงแดดอย่างขี้เกียจเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งแล้ว ชีวิตแบบนี้เป็นที่น่าพอใจจริงๆ โดยเฉพาะตอนที่เห็นกลุ่มคนเดินไปมาขวักไขว่ด้านนอกถนนหนานต้า
ใต้หล้าผู้คนวุ่นวายขวักไขว่เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ มองดูคนอื่นทำงานยุ่งเพื่อความเป็นอยู่เพื่อความฝัน แต่ตัวเองกลับนั่งพักสบาย เมื่อมีการเปรียบเทียบก็มีความเหนือกว่า เมื่อมีความเหนือกว่าถึงจะได้เพลิดเพลินกับสิ่งที่ดีกว่า
“เถ้าแก่ ดื่มอะไรไหม”
โจวเจ๋อตื่นเมื่อไร ไป๋อิงอิงก็ตื่นตอนนั้น ถ้าหากเธออยู่ห่างมากไป การนอนหลับของโจวเจ๋อก็จะขาดตอน
“ดื่มชาก็แล้วกัน”
ไป๋อิงอิงรีบชงชามาให้ ขณะเดียวกันก็วางที่เขี่ยบุหรี่ตรงหน้าโจวเจ๋อ จากนั้นก็ช่วยโจวเจ๋อจุดบุหรี่แล้วเดินออกไป
บางครั้งตัวของโจวเจ๋อเองก็รู้สึกสับสน ไป๋อิงอิงรู้คำสั่งที่แม่นางไป๋ทิ้งเอาไว้หรือไม่ ดังนั้นจึงได้ดูแลปรนนิบัติเขาอย่างรอบคอบทั่วถึง แต่ดูจากท่าทีแล้ว เธอน่าจะเป็นสาวเซ่อที่น่ารักจริงๆ และเธอก็เคารพนับถือและจงรักภักดีต่อแม่นางไป๋เป็นอย่างมาก
ปัญหาบางอย่างไม่เหมาะที่จะพูดอย่างละเอียด ไม่อย่างนั้นก็หมดสนุกกันพอดี โจวเจ๋อเองยินดีที่จะแกล้งโง่ต่อไป จิบน้ำชา สูบบุหรี่ ไม่ว่าอย่างไรตอนกลางวันผีก็ไม่เยอะมาก รอให้ถึงตอนเย็นก่อน ตัวเขาถึงจะยุ่งจริงๆ
อันที่จริงโจวเจ๋อชอบนั่งอยู่ในร้านหนังสือ รอลูกค้าเข้าร้าน เหมือนกับเจียงไท่กงตกปลาตัวไหนเต็มใจก็มาติดเบ็ดไม่ได้พูดว่าแบบนั้นมันเท่ แต่รู้สึกว่าแบบนั้นไม่เหนื่อย
เขาไม่ชอบออกไปวิ่งวุ่นข้างนอก แบบบนั้นมันทรมาน
โจวเจ๋อหยิบหนังสือพิมพ์ของวันนี้ขึ้นมาแล้วเปิดอ่าน คดีพนันชีวิตถูกค้นพบและกำลังอยู่ในการสอบสวน ทางตำรวจออกปฏิบัติการเร็วมาก นักลงทุนที่อยู่เบื้องหลังแต่ละคนเริ่มถูกจับกุม และสิ่งที่รอพวกเขาอยู่ก็คือการตัดสินคดีตามกระบวนการยุติธรรม
ในเวลานี้เอง ประตูร้านหนังสือที่อยู่ด้านหลังโจวเจ๋อมีคนผลักออก คนที่เดินเข้ามาทำให้นักพรตเฒ่าต้องตาโต แสดงสายตาที่ดุดันทันที!
จะโทษนักพรตเฒ่าไม่ได้ที่จู่ๆ ก็เป็นแบบนี้ เพราะคนที่เข้ามาเป็นพระรูปหนึ่ง มีรอยแผลเป็นวงอยู่บนศีรษะ และดูเหมือนจะมีกลากเกลื้อนด้วย พระเป็นขี้เรื้อนที่ศีรษะ น่าสนุกดี
พระรูปนั้นตัวไม่สูง น่าจะสูงประมาณหนึ่งร้อยหกสิบเซนติเมตร ร่างกายอุดมสมบูรณ์ดี ไม่มีมาดของพระชั้นสูง เมื่อเทียบกับการเต๊ะท่าเป็นเทพเซียนของนักพรตเฒ่าแล้วต่างกันมาก
นับตั้งแต่โบราณศาสนาพุทธกับลัทธิเต๋าไม่ถูกกันอยู่แล้ว ในสมัยราชวงศ์โบราณ ลัทธิเต๋าที่เจริญรุ่งเรืองก็ทำลายพระพุทธศาสนา แต่พอพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองก็ทำลายลัทธิเต๋าเช่นกัน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแย่งผู้ศรัทธาและทรัพยากรกัน เมื่อคุณมีเยอะฉันก็มีน้อยเป็นธรรมดา
ในมุมมองของนักพรตเฒ่า ร้านหนังสือเป็นพื้นที่ของเขา ส่วนพระขี้เรื้อนรูปนี้ก็เหมือนมาถล่มร้านของเขา
แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงคือ พระขี้เรื้อนคนนั้นไม่มองนักพรตเฒ่าเลยสักนิด เมื่อเห็นนักพรตเฒ่าปล่อย ‘ความเป็นปรปักษ์’ ออกมา จึงได้แต่ยิ้ม จากนั้นเดินไปอยู่ตรงหน้าโจวเจ๋อแล้วนั่งลง
“น้ำชาหนึ่งแก้ว” พระขี้เรื้อนเอ่ย
นักพรตเฒ่ายกถ้วยน้ำชาเข้ามาด้วยใบหน้าบึ้งตึง ขณะเดียวกันก็พูดเตือนว่า “ที่นี่ค่าใช้จ่ายขั้นต่ำหนึ่งร้อยหยวน และที่นี่ก็ไม่รับหมอดูฮวงจุ้ย”
พระขี้เรื้อนเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองนักพรตเฒ่าพลางยิ้มนิดๆ เอ่ยว่า “พวกเราไม่เหมือนกัน”
พวกเราไม่เหมือนกัน เป็นประโยคที่มีความหมายลึกซึ้งมาก สามารถดูหมิ่นนักพรตเฒ่าและยกตัวเองให้สูงขึ้นในขณะเดียวกัน
ความหมายก็คือคุณเป็นหมอดูปลอม ฉันเป็นของจริง พวกเราจึงไม่เหมือนกัน
โจวเจ๋อพ่นควันบุหรี่ออกมา พ่นใส่หน้าของอีกฝ่ายพอดี ไม่ใช่เพราะโจวเจ๋ออยากออกหน้าแทนนักพรตเฒ่า ไม่ว่าอย่างไรผู้ที่มาก็เป็นแขก แต่การเข้ามาในร้านหนังสือของอีกฝ่าย ทำให้โจวเจ๋อรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง
พระขี้เรื้อนไม่หงุดหงิด ประนมสองมือ แล้วท่องว่า “อมิตาภพุทธ”
เพียงชั่วเวลาเดียว โจวเจ๋อรู้สึกไม่สบายไปทั้งตัว เหมือนมีมดหลายตัวกำลังคลานอยู่บนร่างกายของตัวเอง
ทันใดนั้นนิ้วของโจวเจ๋อที่หนีบบุหรี่อยู่เริ่มมีเล็บสีดำยาวออกมาช้าๆ
“โยมใจเย็นๆ อาตมาแค่มาดื่มน้ำชาอ่านหนังสือ ไม่มีเจตนาร้าย”
พระขี้เรื้อนคลายมือทั้งสองข้าง ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาแล้วดื่มน้ำชาหนึ่งที จากนั้นความรู้สึกไม่สบายของโจวเจ๋อก็หายไปทันที
“คุณไปทำงานเถอะ” โจวเจ๋อพูดกับนักพรตเฒ่า
นักพรตเฒ่าจึงได้แต่ออกไป
“โยม เปิดร้านในเมืองที่วุ่นวายแบบนี้ก็น่าสนุกดี อยู่ในเมืองที่วุ่นวายแต่เงียบสงบ”
โจวเจ๋อไม่พูด
“อาตมากำลังเดินธุดงค์ วันนี้บังเอิญมาที่เมืองทงเฉิงพอดี แต่เพื่อนเก่าสองคนกลับหายไปไม่เห็นแล้ว จึงสงสัยมากเลยตามสืบความจริง แล้วจึงพบว่ามีบุคคลที่มีชื่อเสียงเช่นโยม”
“เพื่อนสองคนของท่าน เป็นใคร”
“คนหนึ่งเป็นผู้หญิง ยังเป็นสาวอยู่ อีกคนหนึ่งเป็นชายชรา ทำงานอยู่ในวัดขงจื๊อ”
โจวเจ๋อครุ่นคิดเล็กน้อย คนแรกน่าจะเป็นยมทูตที่มีปัญหาคนนั้น คนหลังน่าจะเป็นชายแคระชราที่อยู่ในวัดขงจื๊อ
“ท่านมาเพื่อแก้แค้นให้พวกเขาเหรอ”
“ไม่ใช่ๆ กรรมเกิดขึ้นแล้วดับไป มีวาระกำหนดของมัน ทุกข์สุขของการพบปะและจากกัน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคำสั่งสวรรค์ บังคับไม่ได้ และไม่สามารถบังคับได้ ที่อาตมามาในวันนี้ แค่อยากมาหาโยมเท่านั้น อยากพบและนั่งคุยกับโยมเพื่อสร้างสัมพันธ์ที่ดี”
“แต่ดูเหมือนคนที่สานสัมพันธ์กับท่าน จะมีจุดจบไม่ดีเท่าไร”
พระขี้เรื้อนได้ยินดังนั้นจึงยิ้มแต่ไม่พูด
จากนั้นโจวเจ๋อก็ไม่พูดอีก พระขี้เรื้อนก็ไม่พูดอะไร บรรยากาศเริ่มอึดอัด
ตอนที่รู้สึกว่าน้ำชาเย็นแล้ว พระขี้เรื้อนถึงได้เอ่ยปาก “อาตมามาในครั้งนี้ เพื่อหาคนพูดคุยเรื่องแนวคิดและหลักการบางอย่าง ทุกที่ที่อาตมาไป มักจะหาคนในท้องที่มาเสวนาด้วย”
“ท่านพูด ผมจะฟัง พูดจบแล้ว ต้องให้เงินด้วย”
“พระพุทธองค์กล่าวว่า สรรพสิ่งล้วนเท่าเทียมกัน และสรรพสิ่งทั้งหลายในที่นี้ จริงๆ แล้วไม่ใช่มนุษย์เท่านั้น แต่รวมถึงคนตายด้วย พวกเขาเกิดแล้วดับไป แท้จริงแล้วไม่ต่างกับคน ในสายตาของอาตมา พวกเขาก็เป็นคน และเป็นหนึ่งในสรรพสิ่งทั้งหลายเช่นกัน คนมีเมตตา เป็นแก่นของสรรพสัตว์ทั้งหลาย สมควรได้รับการปกป้อง คนที่มีจิตใจชั่วร้าย เป็นหายนะของสรรพสัตว์ทั้งหลาย สวมควรโดนลงโทษ
ผีที่ทำร้ายคน จะมีหน้าตาดุร้าย แต่วิญญาณทั่วไปที่ยังยึดติดหรือด้วยเพราะเหตุผลต่างๆ ถึงยังวนเวียนอยู่ในโลกมนุษย์ อาตมาคิดว่า พวกเขามีสิทธิ์นี้และมีอิสระในส่วนนี้
แต่เรื่องของนรก วิธีปฏิบัติงานเพื่อทำคะแนนหลังจากที่ไท่ซานฝู่จวินดับสูญ ผีทั้งหมดที่อยู่ในโลกมนุษย์จะต้องถูกจับไปลงนรก สำหรับพฤติกรรมแบบนี้ อาตมาไม่กล้าคล้อยตามอย่างไร้เหตุผลมาตลอด ดังนั้นจึงอยากเกลี้ยกล่อมโยม ผีก็มีดีมีชั่ว มีผลดีและผลเสีย เราจะใช้วิธีแบบเดียวกันแก้ปัญหาทุกเรื่องไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะถือว่าเกียจคร้าน จะถือว่าเฉื่อยเนือย”
โจวเจ๋ออยากจะหัวเราะเล็กน้อย
เมื่อเห็นการตอบสนองของโจวเจ๋อ พระขี้เรื้อนจึงถอนหายใจ ผู้บำเพ็ญธรรมมะ ทั้งที่รู้ว่าเรือแล่นทวนน้ำแต่ก็ยังมุ่งไปข้างหน้าไม่อาจกลับลำ
เขาหยิบหนังสือพิมพ์ตรงหน้าโจวเจ๋อ แล้วเปิดไปหน้าสุดท้าย บนนั้นเขียนข่าวของอีกมณฑลหนึ่ง พูดถึงคดีลอบสังหาร
“หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ อาตมาอ่านแล้ว ตอนที่เกิดเรื่องนี้ ตัวอาตมาก็อยู่ห่างจากที่นั่นไม่ไกลมาก มีผู้ชายคนหนึ่งหายตัวไป ญาติจึงไปแจ้งความ ทางตำรวจเดาว่าอาจจะถูกฆ่า แต่ยังหาศพไม่เจอ ยังแก้ปัญหาไม่ได้ ตอนนั้นมีผู้หญิงที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันไปบอกตำรวจว่า เมื่อวานแม่ของเธอที่ตายไปแล้วมาเข้าฝัน บอกว่ามีคนมาฝังศพไว้ข้างบ้านกินพื้นที่ของเธอ
ทางตำรวจตอนแรกคิดว่าเป็นเรื่องตลก แต่ตอนที่ส่งคนไปดูหลุมฝังศพแม่ของผู้หญิงคนนั้น พบว่ามีก้อนดินที่เพิ่งขุดใหม่ หลังจากขุดขึ้นมา จึงเห็นศพของผู้ชายที่หายตัวไป ตอนหลังยึดตามหลักฐานที่ทิ้งไว้บนศพ จึงหาคนร้ายเจอ ซึ่งก็คือคนแซ่หลี่คนหนึ่งในหมู่บ้านเดียวกัน ฆาตกรถูกจับ ผู้เคราะห์ร้ายจึงนอนตายตาหลับ
ในเรื่องนี้ วิญญาณของแม่หญิงสาวได้ทำความดี ความดีความชั่วล้วนอยู่ที่ใจ ถึงแม้เธอจะยังวนเวียนอยู่ในโลกมนุษย์ไม่เคยไปลงนรก แต่ไม่เคยทำร้ายใคร กระทั่งช่วยเหลือคน ผีแบบนี้ โยมคิดว่านรกยังจะจับไปลงนรกไหม เธออาจจะอยากจะดูลูกหลานของตัวเองเติบใหญ่ แต่งงานมีครอบครัวสืบสกุลได้ เท่านั้นเอง”
โจวเจ๋อยกถ้วยน้ำชาที่เย็นแล้วขึ้นมาจิบหนึ่งที แล้วส่ายหน้า เห็นได้ชัดว่าโจวเจ๋อไม่เห็นด้วยกับวิธีการพูดแบบนี้
“ท่านยังพูดให้ผมประทับใจไม่ได้ ขอโทษนะครับ ที่ท่านต้องมาเสียเที่ยว ท่านสามารถไปเมืองอื่นเขตอื่น ไปหายมทูตคนอื่นแล้วพูดถึงแนวคิดกับหลักการของท่านได้ ไม่แน่อาจจะเจอคนรู้ใจ จากนั้นก็ต่อสู้เพื่อสิทธิ์ของผีไปพร้อมกับท่าน”
พระขี้เรื้อนหัวเราะอย่างจนใจ การตอบสนองแบบนี้เขาเห็นมาเยอะแล้ว จึงหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอีกอย่างจนปัญญา อ่านข่าวที่อยู่บนนั้นแล้วถอนหายใจอีกที
โจวเจ๋อยื่นมือกดหนังสือพิมพ์ลง พระขี้เรื้อนมองโจวเจ๋ออย่างไม่เข้าใจ
“พระครับ มีประโยคหนึ่งที่ว่าก่อนจะเดินเป็นอย่าเพิ่งรีบวิ่ง ท่านคิดว่าท่านกำลังช่วยเพื่อสิทธิ์ของผีมาตลอด แต่แม้แต่คนท่านก็ยังไม่เข้าใจ แล้วมีสิทธิ์อะไรมาพูดแทนผีครับ”
“หมายความว่ายังไง”
โจวเจ๋อยื่นมือจิ้มไปที่หนังสือพิมพ์ ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ท่านบอกว่าตอนนั้นท่านก็อยู่ที่นั่น อย่างนั้นท่านตามหาวิญญาณแม่คนนั้นในหมู่บ้านเจอหรือเปล่า”
พระขี้เรื้อนส่ายหน้า “อาตมาไม่มีโชคได้เจอ ถ้าหากโชคดีได้เจอจริงๆ ก็จะต้อนรับด้วยความสุภาพ ถึงแม้ร่างของหญิงชราจะสูญสิ้นไปแล้ว แต่จิตใจดียังคงอยู่”
โจวเจ๋อหัวเราะ “ผมไม่ได้ไปที่นั่น แต่ผมสามารถหยิบเงินกระดาษในเก๊ะมาพนันกับท่านได้ว่า ไม่มีดวงวิญญาณของแม่คนนั้นอย่างสิ้นเชิง หลังจากเธอตาย วิญญาณได้ลงนรกไปนานแล้ว”
“เป็นไปได้ยังไง…โยมเป็นยมทูต แต่ไม่เชื่อว่ามีผีอยู่ในโลกมนุษย์เหรอ”
พระขี้เรื้อนรู้สึกงงมาก
“คนที่ถูกฆ่าหายตัวไป เป็นคนในหมู่บ้าน และฆาตกรที่ฆ่าคนซ่อนศพ ก็เป็นคนในหมู่บ้านเหมือนกัน จากนั้นก็มีผู้หญิงคนหนึ่งมาบอกเบาะแสกับตำรวจว่าแม่มาเข้าฝัน และยังเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน นี่ยังชัดเจนไม่พออีกเหรอ”
โจวเจ๋อจุดบุหรี่อีกหนึ่งมวนแล้วกล่าวว่า “ในหนังสือพิมพ์บอกว่าตอนแรกตำรวจไม่เชื่อ แต่หลังจากที่ขุดหลุมฝังศพแล้วพบศพนั้น ก็รู้สึกว่าแปลกมาก นี่เป็นเทคนิคการเขียนของนักข่าว เพื่อเขียนข่าวให้มีหัวข้อดึงดูดน่าสนใจ แต่ในความเป็นจริง ผมเชื่อว่าตำรวจท้องถิ่นรู้ดีอยู่แก่ใจว่า ผู้หญิงที่มาแจ้งเบาะแส มีความเป็นไปได้สูงว่าตอนที่ฆาตกรเอาศพไปฝัง เธอเดินผ่านมาเห็นพอดี”
“อย่างนั้นทำไมเธอไม่อธิบายกับตำรวจโดยตรง” พระขี้เรื้อนถาม
“เพราะว่าฆาตกรก็เป็นคนในหมู่บ้านเหมือนกัน ฆาตกรอาจจะมีพ่อแม่และมีพี่น้อง ถ้าหากแจ้งความโดยตรง ไม่เท่ากับทำให้เธอโดนเกลียดชังจากครอบครัวของเขาเหรอ ดังนั้น เธอจึงใช้เรื่องผีสางมาเป็นข้ออ้าง บอกว่าแม่มาเข้าฝันเผยปริศนาออกมาด้วยวิธีแบบนี้ เพื่อให้ตัวเองไม่โดนคนเกลียด
ก็เหมือนกับคดีค้ามนุษย์ในพื้นที่ห่างไกลหน่อย ท่านคิดว่าเพื่อนบ้านไม่รู้ว่าครอบครัวนี้ซื้อคนกลับมาเหรอ หรือท่านคิดว่าทั้งหมู่บ้านเป็นคนเลว ไม่มีคนดีสักคน ไม่มีใครที่มีจิตใจดีสักคน แค่เพราะทุกคนรู้สึกว่าแจ้งความแล้ว จะถูกเพื่อนบ้านในหมู่บ้านเกลียด ดังนั้นถึงแม้จะเห็นใจผู้หญิงน่าสงสารที่ถูกลักพามาขาย แต่ก็แสร้งทำเป็นไม่เห็น”
พระขี้เรื้อนตกตะลึงเล็กน้อย แล้วพูดอย่างสับสนงุนงง “นี่คืออะไร”
“ความเป็นมนุษย์”
…………………………………………………………………………