ตอนที่ 138 ความเคยชิน!
“แล้วยังไงต่อ”
โจวเจ๋อถามและจิบกาแฟไปด้วย
สวี่ชิงหล่างที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ร่วมฟังเรื่องเล่าด้วย อืม ยกให้เป็นเรื่องเล่ายามวิกาลที่ฟังแล้วน่าสนใจเรื่องหนึ่ง
สำหรับความตื่นเต้นและความกลัวอะไรแบบนี้
ไม่ต้องพูดถึงสวี่ชิงหล่าง แม้แต่นักพรตเฒ่าที่อยู่ข้างๆ ก็ไม่ตกใจกลัวเลยสักนิด
ตามคำพูดของนักพรตเฒ่า มันเป็นการขู่ไก่ให้ตกใจกลัวมากกว่า คนแก่ที่อยู่กับผีหนึ่งตนและผีดิบหนึ่งตัวทั้งวัน
ข้าเคยกลัวเหรอ
ข้าเคยขี้ขลาดงั้นเหรอ
ข้าไม่ได้กลัว ข้าไม่ได้ขี้ขลาด ข้าก็แค่ทำตามหัวใจ
“ยังมีอะไรอีกล่ะ” เด็กหนุ่มอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “แล้วผมก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาน่ะสิ แท้จริงแล้วมันเป็นแค่ความฝัน แต่ความฝันนี้ดูเหมือนจริงมาก เหอะๆ”
หลังจากที่เด็กหนุ่มพูดจบ ก็หาวหวอดๆ แล้วหยิบหนังสือนิยายที่ดึงออกมาจากชั้นหนังสือก่อนหน้านี้ขึ้นมาอ่าน ราวกับว่าได้อ่านฉากที่น่าสนใจอะไรเข้าจึงหัวเราะออกมาทันที
‘เป็นเด็กที่ไร้เดียงสาอะไรขนาดนี้นะ ยังคิดได้ว่าตัวเองเพียงแค่ฝันไปเสียอย่างนั้น งั้นที่นายถ่อมาร้านหนังสือของฉันดึกดื่นเที่ยงคืนอย่างนี้ ละเมอมาหรือไง’
สวี่ชิงหล่างมองโจวเจ๋อด้วยความประหลาดใจ ชี้ไปที่เด็กหนุ่ม จากนั้นชี้ไปที่สมองอีกครั้ง
โจวเจ๋อพยักหน้า
เด็กหนุ่มยังไม่รู้ว่าตัวเองตายไปแล้ว
เขาคิดว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่ แต่เขาได้กลายเป็นวิญญาณและเริ่มเร่ร่อนมาตั้งนานแล้ว
“ไม่รับเขาไปเหรอครับ” สวี่ชิงหล่างถาม “คุณขาดไปหนึ่งดวงไม่ใช่เหรอ”
ตอนที่สวี่ชิงหล่างลงมาจากชั้นบน ก็เห็นโจวเจ๋อนั่งอยู่ตรงข้ามกับเด็กหนุ่ม และฟังเด็กหนุ่มเล่าเรื่อง เขาไม่คิดว่าโจวเจ๋อจะกังวลเรื่องผีร้ายหลอกหลอนคนในโรงเรียนถึงได้รั้งเด็กหนุ่มเอาไว้เพื่อเป็นเบาะแส เตรียมจะผดุงธรรมแทนสวรรค์ช่วยเหลือผู้คนหรอกนะ
เขารู้ดีว่าเพื่อหนึ่งเปอร์เซ็นต์สุดท้ายนั้น ในช่วงนี้เถ้าแก่โจวรอคอยด้วยความรุ่มร้อนใจ และหิวกระหายจนทนไม่ไหวแล้วต่างหาก
“เก็บไม่ได้ ดวงวิญญาณของเขาไม่สมบูรณ์”
โจวเจ๋อส่ายหัวและรู้สึกจนใจอย่างช่วยไม่ได้
สวี่ชิงหล่างขมวดคิ้วและเหลือบมองเด็กหนุ่มอย่างถี่ถ้วน ถึงได้ค้นพบรายละเอียดบางอย่าง วิญญาณของเด็กหนุ่มไม่สมบูรณ์ สามจิตหกวิญญาณหายไปบางส่วน ถึงได้ทำให้เด็กหนุ่มหลังจากตายกลายเป็นวิญญาณแล้วยัง ‘ไร้เดียงสา’ ขนาดที่ยังไม่รู้ว่าตัวเขาเองตายไปแล้วด้วยซ้ำ
แม้ว่าจะมีเรื่องที่ไม่สอดคล้องกับตรรกะมากมายรอบตัว แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ที่โรงเรียนตอนดึกดื่นเที่ยงคืนแต่กลับมาปรากฏตัวอยู่ในร้านหนังสือก็ตาม เขาก็ไม่เอะใจว่ามันผิดปกติเลยแม้แต่น้อย และยังคงรู้สึกเหมือนตัวเองยังมีชีวิตอยู่
พูดง่ายๆ ก็คือตอนนี้สมองของเขามีปัญหา
เป็นขั้นที่มีความรุนแรงสูงมากชนิดหนึ่ง…นั่นก็คือปัญญาอ่อน
อันที่จริงตอนที่โจวเจ๋อเห็นเขาแวบแรก ก็แทบอยากจะเปิดประตูแห่งนรกภูมิเดี๋ยวนั้นเลยด้วยซ้ำ
คุณตายได้อย่างไร
คุณไม่ได้รับความเป็นธรรมอะไรมาหรือเปล่า
คุณหิวไหม กระหายน้ำหรือไม่
จะไม่ถามอะไรเลย และไม่มีเวลามาฟังเขาพล่ามด้วย ตั้งใจจะส่งเขาเข้าไปเพื่อที่ตัวเองจะได้เป็นพนักงานประจำสักที ผลก็คือส่งเข้าไปไม่ได้ มันทำให้โจวเจ๋อรู้สึกหดหู่และพูดไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง
“แล้วยังไงต่อครับ คุณคิดจะทำยังไงล่ะ” สวี่ชิงหล่างมองโจวเจ๋อและเตือนว่า “ผีที่สามารถฆ่าคนได้ คุณจะอยู่เฉยๆ ไม่สนใจได้เหรอครับ”
สวี่ชิงหล่างพูดถูก โจวเจ๋อไม่สามารถอยู่เฉยโดยไม่ทำอะไรไม่ได้จริงๆ แม้ว่านี่จะไม่ใช่คำพูดไร้สาระที่ว่า ‘พลังอันยิ่งใหญ่มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่’ ในภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่เรื่องสไปเดอร์แมนที่พ่อบุญธรรมบอกกับเขา แต่ในเมื่อโจวเจ๋อมีฐานะเป็นยมทูตของที่นี่ เขาก็มีหน้าที่ป้องกันไม่ให้ภูตผีวิญญาณมาวุ่นวายแถวนี้ ถ้าหากว่ามีก็ต้องแก้ไขโดยเร็วที่สุด
ทุกสิ่งล้วนอยู่ในสายตาของยมโลกทั้งหมด
“ไปสิ” โจวเจ๋อพยักหน้า “นายจะไปกับฉันด้วยไหม”
“ไม่ไป ผมลงมาเพื่อจะหยิบหน้ากากมาส์กหน้าน่ะ เดี๋ยวจะขึ้นไปนอนฟื้นฟูความงามแล้ว”
สวี่ชิงหล่างกำลังนอนขี้เกียจแผ่หลาอยู่บนโซฟา ความอ้อนแอ้นของร่างกายแบบนั้นสามารถดัดให้แผ่นเหล็กงอได้เลยทีเดียว
บางครั้งโจวเจ๋อก็รู้สึกระอากับสวี่ชิงหล่าง เห็นๆ กันอยู่ว่าด้านนั้นก็ปกติดี สามารถทำให้ผู้หญิงเห็นเขาเป็นชายขายบริการที่หลังจากร่วมหลับนอนแล้ว ยังรู้สึกว่าบริการดีและทิ้งเงินสามพันหยวนไว้ให้บนโต๊ะข้างหัวเตียงได้
ก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าสวี่ชิงหล่างไม่มีปัญหาในด้านนั้น แต่ท่าทางสบายๆ ที่เขาแสดงออกมาในบางครั้ง ขนาดไป๋อิงอิงที่ไม่แต่งหน้ายังเทียบกับเขาไม่ได้เลยจริงๆ
มีเสน่ห์ดึงดูดมาตั้งแต่กำเนิดสินะ
โชคดีที่สวี่ชิงหล่างเกิดในยุคปัจจุบัน ถ้าเกิดในสมัยโบราณละก็ คาดว่าจะต้องถูกจักรพรรดิและพวกขุนนางที่มีรสนิยมรักร่วมเพศเอาไปปู้ยี่ปู้ยำนานแล้ว
ในเวลานี้เองนักพรตเฒ่าก็อาสาตัวทันที เข้ามารับกุญแจรถจากมือของโจวเจ๋อ แล้วพูดว่า
“เถ้าแก่ อิงอิงเล่นเกมพับจีอยู่ข้างบน ไม่ว่างหรอก ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าเอง เดิมทีการกำจัดปีศาจผดุงธรรมก็อยู่ในความรับผิดชอบของข้าผู้ผดุงความยุติธรรมอยู่แล้ว”
แล้วก็เป็นไปตามนี้แหละ นักพรตเฒ่าขับรถ ส่วนโจวเจ๋อก็นั่งบนเบาะข้างคนขับ และขับรถพากันไปที่โรงเรียนมัธยมผิงเฉา
ระยะทางค่อนข้างไกลนิดหน่อย ใช้เวลาขับรถร่วมครึ่งชั่วโมง
โรงเรียนมัธยมแห่งนี้ใหญ่มากจริงๆ ประตูทางเข้าโรงเรียนเป็นซุ้มประตู บนนั้นเขียนไว้ว่า ‘โรงเรียนมัธยมผิงเฉาโรงเรียนชั้นนำในมณฑล’ จากนั้นก็มีป้อมยาม ต่อด้วยสิ่งที่อลังการยิ่งกว่า นั่นก็คือด้านหลังเป็นคลอง และโรงเรียนก็อยู่อีกฝั่งคลอง ตรงนี้มีสะพานทอดข้ามคลอง เป็นสะพานที่ใช้กันภายในโรงเรียน และมีป้อมยามที่ปลายอีกฟากหนึ่งของสะพาน
ดังนั้น นักเรียนที่พักในหอพักของที่นี่คิดอยากจะโดดเรียนเห็นทีว่าจะเป็นเรื่องเหลวไหลเป็นไปไม่ได้ มีป้อมยามสองแห่งคอยเป็นจุดตรวจคุ้มกันประตูอยู่ เว้นแต่จะว่ายข้ามคลองถึงจะสามารถไปถึงเขตถนนในเมืองด้านนอกได้
นักพรตเฒ่าใช้วาจาตะล่อมหลอกล่อยามไปว่า หลานของตัวเองเกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลันอยู่ในนั้นต้องรีบเข้าไปดูสถานการณ์ ยามไม่กล้าชักช้ารีบเปิดประตูทันที สำหรับคนที่มองแวบแรกก็รู้ว่าไม่ใช่นักเรียนนั้น ยามก็ไม่ได้ระมัดระวังมากจนเกินไปนัก
รถแล่นเข้าไปในเขตโรงเรียน โจวเจ๋อและนักพรตเฒ่าลงจากรถและเดินไปที่เขตที่อยู่อาศัย ที่นี่ดูเหมือนเมืองเล็กๆที่แยกตัวออกมาจริงๆ มีทั้งโรงอาบน้ำ ซูเปอร์มาร์เก็ต และโรงอาหารอีกมากมาย
พวกนักเรียนเป็นเหมือนไก่ที่ถูกขังอยู่ในกรงสายการผลิตที่แม้แต่จะหันกลับก็หันไม่ได้ กำหนดเวลากินข้าวกินน้ำแล้วก็ออกไข่ในทุกๆ วัน
ตอนที่มาถึงที่นี่ก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว ไฟในอาคารหอพักที่นี่ดับไปหมดแล้ว นอกจากห้องทำงานของครูผู้ดูแลหอพักชั้นล่างที่ไฟยังคงสว่างอยู่ ชั้นอื่นๆ ในตึกต่างก็มืดไปทั้งแถบ ทั้งที่เต็มไปด้วยผู้คน แต่กลับให้ความรู้สึกอึมครึมเหมือนดินแดนผีสิงเสียอย่างนั้น
“เถ้าแก่ สรุปว่าผีสิงอยู่ตึกไหนกันแน่”
“เขาบอกว่าเขาพักอยู่ตึกบี” โจวเจ๋อชี้ตึกที่อยู่เยื้องๆ กัน “น่าจะเป็นที่นี่แหละ”
“หอพักห้องไหน” นักพรตเฒ่าถาม
“ชั้นหกละมั้ง ส่วนห้องไหนนั้นผมก็ไม่รู้ ขึ้นไปถามนักเรียนสักคนว่าตรงไหนที่เพิ่งมีคนเสียชีวิตไปก็ได้แล้ว”
“วิธีนี้ก็ดีเหมือนกัน” นักพรตเฒ่าส่งคำประจบสอพลอที่ไร้ความจริงใจไปให้
เวรแท้ ไม่ถามในร้านให้ดีก่อนออกมา
มีผู้ชายสองสามคนนั่งคุยกันอยู่ในสำนักงานดูแลหอพักชั้นล่างของอาคารหอพัก เสียงดังมากและส่งเสียงหัวเราะออกมาเป็นครั้งคราว ราวกับว่ากำลังคุยเรื่องตลกลามกกันอยู่
แม้ว่าโจวเจ๋อและนักพรตเฒ่าทั้งสองคนจะเดินเข้าไปในโถงทางเดินก็ตาม พวกเขาก็ไม่สังเกตเห็น การดูแลจัดการที่นี่ช่างหละหลวมเสียจริง
หรือจะบอกว่า ข้างนอกหละหลวมข้างในรัดกุมกันนะ
เมื่อขึ้นไปที่ชั้นหก ที่นี่ต่างก็ดับไฟกันหมดแล้ว นักพรตเฒ่าหาหอพักมาหนึ่งห้องแล้วลองเคาะประตู นักเรียนที่อยู่ในหอพักก็นึกว่าครูผู้ดูแลหอพักมา เสียงที่คุยกันก่อนหน้านี้เงียบกริบลงทันที
นักพรตเฒ่าเคาะอีกสองสามครั้ง
นักเรียนคนหนึ่งสวมรองเท้าแตะเดินเข้ามาเปิดประตู เมื่อเห็นนักพรตเฒ่าและโจวเจ๋อก็ตะลึงไปครู่หนึ่ง เห็นได้ชัดว่าดูออกว่าสองคนนี้ไม่ใช่ครูผู้ดูแลหอพัก
“ตำรวจ”
นักพรตเฒ่าหยิบกระเป๋าเงินของตัวเองออกมาโชว์แวบหนึ่ง ถึงอย่างไรก็มืดไม่มีแสงไฟอยู่ดี ตีมึนเสร็จก็เก็บกลับมา
“หอพักที่นี่ห้องไหนที่เพิ่งมีคนเสียชีวิต” นักพรตเฒ่าถาม
นักเรียนคนนั้นถึงกับงุนงง
นี่มันเกิดอะไรขึ้น ดึกดื่นเที่ยงคืนแล้วตำรวจยังมาเคาะประตูหอพักถามว่าคนตายอยู่ที่ไหน
“คนตายเหรอครับ” นักเรียนคนนั้นมองนักพรตเฒ่าด้วยความประหลาดใจ
“ใช่น่ะสิ ถามนายว่าคนที่ตายอยู่ห้องไหน”
“ตายเมื่อไรครับ” เด็กหนุ่มถามด้วยความแปลกใจ
“เลิกตีมึนได้แล้ว!” นักพรตเฒ่าก้าวไปข้างหน้าและดุว่า “โรงเรียนอยากปิดข่าวเลยให้พวกนายเงียบปากไว้อย่างนั้นใช่หรือไม่ เราเป็นตำรวจ นายโกหกพวกเราไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก ถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นในอนาคต นายจะต้องร่วมรับผิดชอบด้วย”
นักเรียนคนนั้นตกใจสุดขีด หันหน้าไปถามรูมเมตตัวเองที่อยู่บนเตียงด้านหลัง “พวกเราในที่นี้มีคนตายด้วยเหรอ”
รูมเมตตรงนั้นก็เริ่มพูดคุยกัน ทุกคนต่างก็รู้สึกประหลาดใจ
สิ่งที่ทำให้นักพรตเฒ่าแปลกใจคือนักเรียนเหล่านี้ดูเหมือนจะแปลกใจจริงๆ นี่ไม่ใช่การแสดงแน่ นี่เป็นโรงเรียนมัธยม ไม่ใช่วิทยาลัยภาพยนตร์อะไร
“ซุนชิว ซุนชิวอยู่ห้องไหน” โจวเจ๋อถาม
“ซุนชิวเหรอครับ เขาอยู่ห้องตรงข้ามแน่ะ”
เด็กหนุ่มชี้ไปที่ประตูห้องพักฝั่งตรงข้ามแล้วพูดขึ้น
“เอาละ ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกนายแล้ว กลับไปนอนแล้วอย่าเอะอะเสียงดังล่ะ” นักพรตเฒ่าพูดด้วยน้ำเสียงสั่งแกมบังคับ
จากนั้นนักพรตเฒ่าหันหลังกลับแล้วเคาะไปที่ประตูห้องพักฝั่งตรงข้าม
และไม่นานนักก็มีเด็กหนุ่มสวมแว่นเดินมาเปิดประตูห้อง
นักพรตเฒ่าและโจวเจ๋อเดินตรงเข้าไปทันที ทำให้เด็กหนุ่มที่เปิดประตูงุนงงเล็กน้อย
“ข้าจำได้ว่าเขาบอกว่าเตียงของเขาอยู่ชั้นบนริมหน้าต่าง ใช่ตรงนี้ไหม”
นักพรตเฒ่าชี้ไปที่เตียงนั้น และสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือดันมีคนนอนอยู่บนเตียงนั้น แถมยังห่มผ้าอีกด้วย
“เกิดอะไรขึ้น เตียงที่เพิ่งจะมีคนเสียชีวิตไปยังมีคนนอนอยู่หรือ” นักพรตเฒ่าแปลกใจเล็กน้อย
“พวกคุณเป็นใครครับ”
เด็กหนุ่มคนหนึ่งในหอพักถามขึ้น
“ซุนชิวพักอยู่ที่ห้องนี้ใช่หรือเปล่า เขาเสียชีวิตไปนานแค่ไหนแล้ว” นักพรตเฒ่าถาม
“ซุนชิวเหรอครับ” เด็กหนุ่มตะลึงไปครู่หนึ่ง แล้วตะโกนเรียก “ซุนชิว ตื่นๆ มีคนมาหานาย”
อะไรนะ ชายชราหันหน้ากลับไปด้วยความตกใจ
ทันใดนั้น เขาก็เห็นเด็กหนุ่มที่อยู่บนเตียงนั้นเลิกผ้าห่มออกและขยี้ตา จากนั้นก็ลุกขึ้นนั่งมองไปที่นักพรตเฒ่ากับโจวเจ๋อแล้วถามขึ้น
“ใครมาหาฉัน”
หน้าตาดูง่วงนอนมาก
มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่จะมีชื่อและนามสกุลเดียวกัน
ลักษณะแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นเด็กหนุ่มที่เล่าเรื่องในร้านหนังสือเมื่อชั่วโมงที่แล้วคนนั้น!
นักพรตเฒ่าเบิกตากว้าง
เกิดอะไรขึ้น
ไม่ใช่คนคนนี้ตายไปแล้วหรือ
ดวงวิญญาณลอยออกมาแล้วนี่ ถ้าอย่างนั้นคนที่นอนอยู่บนเตียงเป็นใครกันล่ะ
ในเวลานี้โจวเจ๋อเอื้อมมือออกไปคว้าข้อมือของซุนชิว ซุนชิวขมวดคิ้วแต่ก็ไม่โหวกเหวกโวยวาย เหมือนการตอบสนองช้าไปเล็กน้อย
โจวเจ๋อม้วนแขนเสื้อของซุนชิวขึ้น และเอาไฟฉายในโทรศัพท์มือถือส่องดู
เห็นเพียงรอยจ้ำหลังตายขึ้นเต็มแขนของซุนชิวไปหมด!
นี่ไม่ใช่คนที่มีชีวิต นี่คือซากศพที่ตายไปตั้งนานหลายชั่วโมงแล้ว!
เมื่อนักพรตเฒ่าเห็นฉากนี้ก็ตกใจจนอ้าปากค้าง
โจวเจ๋อดึงแขนเสื้อของซุนชิวลงอย่างสงบเยือกเย็น “ไม่มีอะไรแล้ว พวกนายเข้านอนกันไวๆ ล่ะ อย่าส่งเสียงดัง”
เมื่อพูดจบโจวเจ๋อก็เดินออกจากหอพักแห่งนี้ไป
นักพรตเฒ่ารีบตามออกไปถามอย่างร้อนใจว่า “เถ้าแก่ เกิดอะไรขึ้น สรุปว่าเด็กคนนี้ตายไปแล้วหรือว่ายังไม่ตายกันแน่”
“ตายแล้ว” โจวเจ๋อตอบ
“แล้วนี่…” นักพรตเฒ่าไม่เข้าใจ
“เป็นเพราะความเคยชินน่ะ” โจวเจ๋อตอบ
“ความเคยชินเหรอ”
“ใช่แล้ว ความเคยชิน ชีวิตประจำวันของนักเรียนในโรงเรียนแห่งนี้ล้วนแล้วแต่ถูกจัดตารางไว้ตายตัว ในทุกๆ วันนั้นจะกำหนดเวลาไว้แล้วว่าต้องตื่นกี่โมง เข้าห้องเรียนกี่โมง ไปโรงอาหารกี่โมง กินข้าวกี่โมง กลับหอกี่โมง และปิดไฟนอนกันกี่โมง
ดังนั้นแม้ว่าเขาจะตายไปแล้ว ความเคยชินที่เกิดจากการใช้ชีวิตแบบนี้มายาวนาน ทำให้เขาสามารถรักษาสภาวะ ‘การมีชีวิต’ ต่อไปได้
เพราะสำหรับเขาแล้ว อันที่จริงในทุกๆ วันมันแทบจะเป็นการถูกแกะออกมาจากแม่พิมพ์
ก็เหมือนกับลูกบอลเล็กๆ ที่เขวี้ยงลงจากบนราง ตามหลักการแล้วมันจะหมุนไปข้างหน้าต่อตามความเคยชินของมัน ตอนนี้เขาก็เป็นแบบนี้แหละ คุณมองไม่ออกเหรอ อันที่จริงการตอบสนองของเขาเริ่มเชื่องช้ามากแล้ว แต่เพื่อนนักเรียนและครูที่อยู่รอบๆ ตัวเขาไม่มีใครรู้ว่าเขาตายไปแล้ว”
“น่าเหลือเชื่อขนาดนี้เลยหรือ”
“เมื่อก่อนตอนที่ผมเป็นหมอก็เคยเจอเหตุการณ์ที่คล้ายๆ กันหลายครั้ง ชันสูตรพลิกศพและพบว่าศพนั้นตายไปหลายวันแล้ว แต่ปรากฏว่าเพื่อนร่วมงานหรือคนในครอบครัวของเขาต่างบอกว่า เมื่อวานก็เห็นเขาไปทำงานและใช้ชีวิตตามปกติ”
“เป็นไปได้ยังไง” นักพรตเฒ่างับปากของเขา ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
“การใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง รูปแบบพฤติกรรมประจำวันถูกกำหนดเอาไว้ตายตัว ก็เหมือนกับเครื่องจักรกลที่สามารถขับเคลื่อนอัตโนมัติได้ ไม่ว่าคนขับจะมีชีวิตหรือตายไปแล้ว แตกต่างกันตรงไหนล่ะ”
……………………………………