ตอนที่ 143 สาวน้อยโลลิกับไป๋อิงอิง
เห็นได้ชัดว่าร้านหนังสือในตอนเที่ยงคืนนั้นร้างมาก แน่นอนว่าร้านหนังสือที่มีป้ายโฆษณาว่าค่าใช้จ่ายในการบริโภคขั้นต่ำหนึ่งร้อยหยวนที่ดูเกินจริงไปมากยังถูกกำหนดให้เป็นที่คึกคักได้ยากอีกด้วย
สวี่ชิงหล่างสวมหน้ากากมาส์กหน้านอนฟื้นฟูความงามอยู่ในห้องนอน หลังจากบอกลาร้านอาหารและออกห่างจากน้ำมันและควันไฟที่ทำลายผิวของเขาแล้ว เขาก็เริ่มถนอมและดูแลผิวของตัวเองมากขึ้น
อืม ผู้ชายต้องเรียนรู้ที่จะดูแลตัวเองให้ดีและรักตัวเองให้มากๆ หน่อย
ส่วนไป๋อิงอิงนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ตรงชั้นหนึ่งคนเดียว กำลังใช้โทรศัพท์มือถือเล่นเกมพับจี และเล่นสนุกอย่างเมามัน
ในเวลานี้เองประตูร้านหนังสือก็ถูกผลักออก ไป๋อิงอิงเงยหน้าขึ้น เห็นสาวน้อยโลลิสวมชุดสีแดงทั้งตัวยืนอยู่หน้าประตู สาวน้อยโลลิแต่งตัวแบบนี้ ช่างดูน่าปีติยินดีจริงๆ ดูไร้เดียงสาและน่ารักมากขึ้นอีกต่างหาก
ไป๋อิงอิงหาวหวอดๆ พลางก้มหน้ามองโทรศัพท์มือถือของตัวเองต่อ
สาวน้อยโลลิเดินไปที่หน้าเคาน์เตอร์ เธอเตี้ยไปหน่อยเลยเอื้อมไม่ถึง ด้วยเหตุนี้เธอจึงมุ่งหน้าเข้าไปผลักประตูเล็กๆ ของเคาน์เตอร์ และเดินเข้ามายืนด้านหลังไป๋อิงอิงชะโงกดูไป๋อิงอิงเล่นเกม
หลังรอจนจบตา ไป๋อิงอิงก็บิดขี้เกียจและเหลือบมองสาวน้อยโลลิ จากนั้นวางมือถือลงแล้วถามขึ้น
“มีอะไร”
สาวน้อยโลลิเชิดคางอันบอบบางของเธอ แล้วประเมินไป๋อิงอิง ขณะเดียวกันก็ส่ายหน้า ยิ้มและเอ่ยว่า
“ตอนที่แม่นางไป๋ของเจ้าเจอข้าครั้งแรก ยังไม่กล้าพูดกับข้าด้วยน้ำเสียงแบบนี้เลย”
“เจ้าก็รู้ว่านั่นแค่ครั้งแรก” ไป๋อิงอิงยักไหล่ “ตอนนี้เจ้ากับข้าต่างกันตรงไหน”
ทุกคนก็เป็นสุนัขเหมือนกันหมดนั่นแหละ ต่างก็ถูกผู้ชายคนหนึ่งล่ามคอเอาไว้ ทำไมจะต้องหัวเราะเยาะคนประเภทเดียวกันด้วยล่ะ
สาวน้อยโลลินั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ มันทำให้เธอรู้สึกพึงพอใจเป็นพิเศษ เธอมักจะอ่อนไหวต่อส่วนสูงของตัวเองเสมอ ไม่ชอบยืนอยู่ด้านล่างและชะเง้อมองคนที่สูงกว่าตัวเอง
“เจ้าเทียบกับข้าได้อย่างนั้นหรือ”
สาวน้อยโลลิย้อนถาม
“หึ ข้ายังร้องเจี๊ยกๆๆ ได้อีกนะ เจ้าทำอะไรได้บ้างล่ะ เจี๊ยกๆๆ …”
สาวน้อยโลลิขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอไม่รู้จะต่อปากต่อคำเหล่านี้อย่างไร
อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เป็นผีดิบอายุสองร้อยปีตัวหนึ่ง สามารถร้อง ‘เจี๊ยกๆๆ’ รับใช้ชายคนนั้นโดยดีได้จริงๆ
“เจ้ามาทำไม” ไป๋อิงอิงถาม “หรือว่าแม่ของเจ้าไปเสริมสวยตอนกลางดึกอีก เลยทิ้งเจ้าไว้ที่ร้านหนังสือ”
สาวน้อยโลลิล้วงถุงซองจดหมายออกจากกระเป๋าของเธอ แล้วโยนลงบนเคาน์เตอร์ “ของที่เขาขอให้ข้าตรวจสอบให้อยู่ในนั้นหมดแล้ว และก็ยืนยันตำแหน่งของบาทหลวงชาวญี่ปุ่นคนนั้นเรียบร้อยแล้วด้วย”
“ทำไมเจ้าไม่โทรหาเขาไปเลยล่ะ” ไป๋อิงอิงหันหน้าไปด้านข้างและถามขึ้น “อ้อ ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าคิดว่ามาส่งมอบด้วยตัวเองมันบริสุทธิ์ใจกว่าใช่ไหม และเจ้าก็ยังสามารถสร้างความประทับใจต่อหน้าเขาได้ด้วยสินะ”
ทันใดนั้น ใบหน้าของไป๋อิงอิงก็เผยความรู้สึกไม่ปลอดภัยเมื่อสัมผัสได้ถึงอันตราย
“เจ้าคิดจะ…แก่งแย่งความโปรดปรานกับข้างั้นหรือ”
‘ปัง!’
สาวน้อยโลลิตบเคาน์เตอร์ไปฉาดหนึ่ง และดุไป๋อิงอิง
“อย่าคิดว่าข้าจะเป็นเหมือนเจ้า!”
ไป๋อิงอิงหน้ามุ่ยและพึมพำ “เด็กบ้าจะอยากรักษาหน้าไปทำไมกัน”
สาวน้อยโลลิบังคับตัวเองไม่ให้วู่วามพุ่งเข้าไปตบตีกับไป๋อิงอิง พลางเอ่ยขึ้น “ข้าโทรหาเขาไม่ติด ติดต่อเขาไม่ได้ และนึกว่าเขาจะอยู่ในร้านหนังสือ แต่ดันไม่อยู่เสียนี่”
“เขามีเรื่องที่ต้องไปทำเลยออกไปแล้ว” ไป๋อิงอิงพูด
“เขานี่ยุ่งจริงๆ”
“ใกล้จะผ่านโปรแล้ว” ไป๋อิงอิงยิ้มเอ่ย เห็นแล้วก็รู้ว่านางรู้สึกดีใจแทนโจวเจ๋อจริงๆ
“เขาผ่านโปรแล้วเจ้าจะระริกระรี้ไปทำไม” สาวน้อยโลลิทนไม่ไหวกับ ‘หน้าตาน่าเกลียด’ ของไป๋อิงอิงที่ถูกควบคุมเอาไว้ให้เป็นทาสรับใช้แต่กลับมีความสุขไปเสียได้แบบนี้
เพราะว่าเธอไม่อยากเป็นเหมือนผีดิบโง่ๆ ตรงหน้าตัวนี้
“ทำไมล่ะ ก็เขาเป็นเถ้าแก่ของข้า ยิ่งงานการของเขาไปได้ดีข้าก็ยิ่งมีเกียรติไปด้วยไม่ใช่หรือ อีกอย่างนะ เขาผ่านโปรเร็วขึ้นและเลื่อนตำแหน่งเร็วขึ้น เจ้าก็ยิ่งจะเป็นอิสระเร็วขึ้นไม่ใช่หรือ”
“เขาจะไปได้ดีหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าเลยแม้แต่น้อย เจ้าเอาเวลาไปคิดว่าจะฉลองเทศกาลเสื้อกันหนาวครั้งต่อไปอย่างไรจะดีกว่านะ!”
สาวน้อยโลลิทนมองไป๋อิงอิงที่ทั้งโง่ทั้งซื่อแบบนี้ไม่ไหวแล้วจริงๆ
ความงามและความสดใหม่จอมปลอมทั้งหมดทั้งมวล จำเป็นจะต้องใช้เข็มเงินหนึ่งเล่ม จิ้มๆๆ!
สาวน้อยโลลิรู้จักกับแม่นางไป๋ เพราะแม่นางไป๋มีความพิเศษ ดังนั้นสาวน้อยโลลิจึงไม่ลงมือกับนาง ทั้งสองฝ่ายจะไม่ล้ำเส้นกัน
ท่านบำเพ็ญบุญบารมีของท่านไป ข้าก็จะทำผลงานของข้า และอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
แต่สาวน้อยโลลิรู้ดีว่าแม่นางไป๋เป็นคนอย่างไร กระทั่งเธอสามารถเดาได้ว่าก่อนที่แม่นางไป๋จะบำเพ็ญบุญบารมีจบสมบูรณ์พร้อมและลงนรกไปนั้น มีจุดประสงค์ที่จะมอบซากศพของนางให้กับโจวเจ๋อเอาไว้เพื่ออะไร
“ฉลองอย่างไรงั้นหรือ แน่นอนว่าข้าออกแบบมันไว้แล้ว”
ขณะที่พูด ไป๋อิงอิงก็เปิดคอมพิวเตอร์และกดคลิกที่โฟลเดอร์พลางเอ่ยว่า
“ข้าออกแบบไว้นานแล้ว แถมยังออกแบบไว้หลากหลายสไตล์อีกด้วย”
สาวน้อยโลลิเห็นเตียงไม้ไผ่ปรากฏบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ มีเตียงไม้ไผ่สไตล์เป็ดแมนดารินและผีเสื้อ มีเตียงไม้ไผ่เรือน้อย มีเตียงเจ้าหญิง และยังตกแต่งเครื่องประดับต่างๆ นานาบนเตียงเหล่านั้นด้วย
สาวน้อยโลลิตกตะลึง นางรู้มาตั้งนานแล้วหรือ
“เตียงไม้ไผ่เหล่านี้ทำออกมาแล้วราคาไม่ใช่ถูกๆ เลย แต่โชคดีที่ข้าวของในหลุมศพของข้ายังเพียงพออยู่ ถึงเวลานั้นขายมันสักสองชิ้นก็สามารถสร้างมันขึ้นมาได้แล้ว เจ้าว่าถ้านอนบนนี้แล้วถูกเผายังจะสวยงามอยู่ไหม”
สาวน้อยโลลิยื่นมือไปกุมหน้าตัวเอง เธอไม่รู้ว่าจะพูดกับผีดิบตัวนี้อย่างไรแล้ว
นี่มันไม่ได้โง่
นี่มันเรียกสมองมีปัญหาแล้ว!
“เจ้ารู้ทั้งรู้ว่าจะมีวันนั้น แต่ก็ยังยอมเป็นคนรับใช้ของเขาอยู่ที่นี่น่ะหรือ” ท้ายที่สุดสาวน้อยโลลิก็ทำได้เพียงแค่ถามออกไปอย่างนี้
“ข้าค่อนข้างชอบชีวิตในตอนนี้น่ะ” ไป๋อิงอิงพูดไปตามเหตุผล “มันดีเลยทีเดียว”
“เจ้าคิดว่าแบบนี้จะสร้างความประทับใจให้เขาได้อย่างนั้นหรือ” สาวน้อยโลลิถามกลับ
ไป๋อิงอิงไม่ตอบ
“ครั้งก่อนผีซากศพหนึ่งตนก็สามารถเพิ่มคะแนนผลงานให้เขาตั้งมากขนาดนั้นได้ แล้วผีดิบอายุสองร้อยปีตัวจริงเสียงจริงเล่า เจ้ารู้ไหมว่ามันคุ้มค่ากับผลงานมากแค่ไหน”
ไป๋อิงอิงยังคงไม่พูดอะไร
“ช่างเถอะ” สาวน้อยโลลิไม่อยากพูดอีกต่อไป มองดูซองจดหมายที่เธอเพิ่งโยนลงบนเคาน์เตอร์แล้วถามว่า “เขาไปที่ไหนหรือ”
“เหมือนจะไปโรงเรียนอะไรสักแห่งนี่แหละ” ไป๋อิงอิงพูด “ขาดแค่ผีตัวสุดท้าย เถ้าแก่ร้อนใจมากทีเดียว”
“โรงเรียนหรือ” สาวน้อยโลลิหันตัวไปด้านข้าง ไม่ได้เห็นเป็นเรื่องจริงจังอะไร “ข้าไปก่อนนะ ถ้าเขากลับมาแล้วเจ้าก็มอบซองจดหมายให้เขาแล้วกัน”
“อืม”
ไป๋อิงอิงพยักหน้าเป็นสัญญาณว่าเธอจำเอาไว้แล้ว
สาวน้อยโลลิลงจากเก้าอี้และเตรียมจะจากไป เมื่อเดินไปถึงที่ประตู กลับบังเอิญเหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่มุมร้านหนังสือ
เด็กหนุ่มถือหนังสือเอาไว้ในมือ อ่านจนอินไปกับมันและหัวเราะเอิ๊กอ๊ากออกมาบ้างเป็นครั้งคราว
สาวน้อยโลลิหยุดฝีเท้าลง ตอนที่เข้ามาทำไมเธอถึงไม่รู้สึกว่ายังมีผีอีกตนหนึ่งอยู่ในร้านหนังสือกันนะ
เธอเห็นผีตนนี้เอง ไม่ใช่เพราะว่าเธอสัมผัสได้ถึงมัน
สาวน้อยโลลิยื่นมือชี้ไปที่เด็กหนุ่มคนนั้นและถามไป๋อิงอิง “เขาเป็นใคร”
“ผีตนหนึ่ง เถ้าแก่บอกว่าเป็นผีปัญญาอ่อนขั้นสูง เขามาที่ร้านหนังสือเองด้วย จากนั้นเป็นเพราะวิญญาณของเขาไม่สมบูรณ์ จึงไม่สามารถจับลงนรกได้ ก็เลยเก็บเอาไว้ก่อน รอจนกว่าสถานการณ์ทางนั้นของเถ้าแก่คลี่คลายลงแล้วค่อยส่งเขาไป”
“วิญญาณที่ไม่สมบูรณ์หรือ”
สาวน้อยโลลิเดินไปหาเด็กหนุ่มคนนั้นที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ เด็กหนุ่มไม่ได้สังเกตเห็นว่าสาวน้อยโลลิเข้ามาใกล้เลย ยังคงดื่มด่ำอยู่ในโลกของนิยายอย่างสมบูรณ์
“เขาชื่ออะไร” สาวน้อยโลลิถาม
“ซุนชิว นักเรียนมัธยมต้น”
สาวน้อยโลลิยื่นมือออกไปหยิบหนังสือออกจากมือของอีกฝ่าย
ซุนชิวชะงักไป และพูดด้วยความไม่พอใจว่า “สาวน้อย เธอทำอะไรเนี่ย อย่าซนสิ”
ขณะพูดซุนชิวก็เอื้อมมือไปหยิบหนังสืออีกครั้ง
จากนั้น ในวินาทีต่อมา จู่ๆ สาวน้อยโลลิก็แลบลิ้นของเธอออกมา ชั่วขณะหนึ่ง ลิ้นหวดเข้าไปที่วิญญาณของซุนชิวราวกับแส้
‘เพียะ!’
ซุนชิวถูกหวดจนลงไปกระแทกกับพื้น ตะโกนร้องด้วยความเจ็บปวดไม่หยุด
ทักษะการใช้ลิ้นของสาวน้อยโลลิช่างน่ากลัวอย่างยิ่งสำหรับพวกวิญญาณ
เมื่อไป๋อิงอิงเห็นเข้าก็รีบเดินออกจากเคาน์เตอร์ไปทันที “นี่ เจ้าทำอะไรน่ะ นี่เป็นผลงานที่เถ้าแก่เก็บเอาไว้ล่วงหน้านะ”
“ผลงานหรือ” สาวน้อยโลลิงุนงงเล็กน้อย กระทั่งรู้สึกว่าตลกนิดหน่อย แล้วชี้ซุนชิวที่ล้มลงบนพื้นพลางเอ่ยว่า “พวกเจ้าโง่กันหมดทั้งร้านหนังสือเลยหรือ นี่มันดวงวิญญาณที่ไหนกัน นี่มันเป็นผีที่ไหนกันเล่า!”
ระยะเวลาที่โจวเจ๋อเข้ามาในวงการยมทูตก็ไม่ใช่แค่ช่วงสั้นๆ แต่แน่นอนว่าถ้าเทียบกับสาวน้อยโลลิละก็ เธอเป็นยมทูตอาวุโส ย่อมมีประสบการณ์มากกว่าเป็นธรรมดา
“นี่ไม่ใช่ผีหรือ” ไป๋อิงอิงตะลึง ถ้านี่ไม่ใช่ผีแล้วเป็นอะไรล่ะ
“ดังนั้น การที่ส่งลงนรกไม่ได้ไม่ใช่เพราะวิญญาณไม่สมบูรณ์ แต่เป็นเพราะว่าเขาไม่ใช่ผี แน่นอนว่าไม่มีทางที่จะส่งลงไปผ่านประตูแห่งนรกได้”
สาวน้อยโลลิเดินไปตรงหน้าซุนชิว ลิ้นก็ฟาดตีเขาไม่หยุด และเขาก็ตะโกนร้องอย่างน่าเวทนาต่อไป
“เจ้าดูสิ ดวงวิญญาณก็แค่อ่อนแอ แต่กลับไม่มีทีท่าว่าจะแตกกระจาย เดิมทีเขาเป็นเพียงแค่ร่างพลังงานลวงตา ไม่ใช่วิญญาณ”
สาวน้อยโลลิพูดอย่างหนักแน่น
“เขาไม่ใช่ผี แต่เขาตั้งใจมาที่ร้านหนังสือ…” ไป๋อิงอิงนึกอะไรบางอย่างได้ทันที ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไป
เจ้านี่ไม่ใช่ผีแต่กลับมาที่ร้านหนังสือ แถมยังเล่าเรื่องผีอีกเนี่ยนะ
จากนั้นเถ้าแก่ก็ยังพานักพรตเฒ่าไปที่โรงเรียนด้วยกันอีก
“ช่วงนี้มีคนมาที่ทงเฉิงอีกหรือไม่” สาวน้อยโลลิถาม
“คนจากหรงเฉิงเคยมาน่ะ”
เมื่อสาวน้อยโลลิได้ยิน ก็เผยสีหน้าสยดสยองอย่างสุดจะพรรณนา แต่ก็ยั้งมันเอาไว้ทันที และเอ่ยขึ้นอีก “ยังมีอีกไหม”
ไป๋อิงอิงนึก จากนั้นจู่ๆ นางก็นึกถึงสาวน้อยคนนั้นที่บอกว่าเธอออกมาจากหมู่บ้านซานเซียงในวันนั้น จากนั้นสาวน้อยคนนั้นก็จับนางล้มลงแล้วมัดเอาไว้
“ดูเหมือนว่ายังมีอีกคน เก่งกาจมาก ชนิดที่สามารถล้มข้าได้ในคราวเดียว อ้อ ว่าแต่เจ้ายังไม่ได้บอกเลยว่าเจ้านี่ออกมาได้อย่างไร”
ไป๋อิงอิงชี้ซุนชิวและถามขึ้น
“ทุกครั้งที่ผู้ตรวจสอบเลื่อนขั้นเป็นผู้พิพากษา ต่างก็ได้รับมอบปากกาหยินหยางจากยมโลก สามารถกำหนดฟ้าดิน แยกแยะถูกผิดได้ และยังมีสมุดหยินหยางอีก ในสมุดหยินหยางจะซ่อนหยินหยางเอาไว้ เจ้านี่น่าจะเกิดมาจากในสมุดหยินหยาง…เป็นหุ่นเชิด”
เมื่อพูดจบ จู่ๆ สาวน้อยโลลิก็เงยหน้าขึ้นและหัวเราะ
“ฮะๆๆ ฮ่าๆๆ…”
สาวน้อยโลลิเท้าเอวเล็กๆ ของเธอ และหัวเราะออกมาดังลั่น
ราวกับว่าเธออยากจะสร้างความรู้สึกองอาจผึ่งผาย แต่ในความเป็นจริงแล้วท่าทางของเธอนั้นตลกยิ่งกว่าตลกเสียอีก เป็นคนป่วยโรคเด็กม.2 ที่น่ารักจนเกินห้ามใจ
“จะบอกว่า เถ้าแก่กำลังตกอยู่ในอันตรายงั้นหรือ” ไป๋อิงอิงพูด
สาวน้อยโลลิยักไหล่ จากนั้นมองไป๋อิงอิงแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ว่าเราควรมีความสุขหรอกหรือ มีคนฆ่าเขาให้ แล้วข้ากับเจ้าต่างก็จะเป็นอิสระ”
ใช่แล้ว ถ้าโจวเจ๋อถูกฆ่าตาย อย่างนั้นสาวน้อยโลลิก็จะถูกปลดออกจากสนธิสัญญาที่ถูกบังคับให้เซ็นภายใต้หอกปลายปืน และได้อิสระภาพกลับมาดังเดิม!
“เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเถ้าแก่เป็นคนแบบไหน” จู่ๆ ไป๋อิงอิงก็ถามขึ้น
“อะไรนะ” สาวน้อยโลลิยังไม่เข้าใจ
“ถ้าเถ้าแก่รู้ว่าหนีไม่รอดและกำลังจะตายจริงๆ…ตามลักษณะนิสัยของเขาแล้ว เขาอาจจะรู้สึกว่าเขาโดดเดี่ยวเกินกว่าที่จะตายตามลำพัง จากนั้นในช่วงเวลาก่อนที่จะตาย ก็จะบดขยี้ดวงวิญญาณของเจ้าและฝังเจ้าไปกับเขาด้วยน่ะ”
“…” สาวน้อยโลลิ
…………………………………………………………..