ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล – ตอนที่ 148 ความเป็นความตาย

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

ตอนที่ 148 ความเป็นความตาย

“ดังนั้น คุณไม่คิดว่านี่เป็นกรรมตามสนองเหรอ”

โจวเจ๋อมองชายหนุ่ม พูดตามตรงโจวเจ๋อไม่มีความเห็นอกเห็นใจคนคนนี้หรือแม้แต่ลูกชายของเขาที่กลายเป็นผีแต่ยังคงอยู่ในโลกมนุษย์เหมือนพ่อของเขาเลยแม้แต่น้อย

มนุษย์กระทำ สวรรค์เฝ้าดู วัฏจักรกงเกวียนกำเกวียน กรรมตามสนองไม่มีทางพลาด

“กรรมตามสนองอะไรล่ะ ผมไม่เชื่อว่านี่เป็นกรรมตามสนองหรอก ผมขนยาเสพติด ก็ต้องรับความเสี่ยงเอง เงินก็หามาเอง จะต้องมีกรรมตามสนองอะไร”

“มีคนมากมายที่บ้านแตกสาแหรกขาดและหย่าร้างแยกทางกัน เพียงเพราะยาเสพติดที่คุณนำเข้ามาขาย แน่นอนว่าพวกเขาเองก็น่ารังเกียจ ถูกชักนำไปทางที่ผิด แต่คุณก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงบาปเดิมที่ก่อเอาไว้ได้”

โจวเจ๋อยกมือขึ้นและเปิดประตูแห่งนรกภูมิ

พูดตามตรง ไม่มีอะไรจะต้องพูดกับคนแบบนี้ อ้อ ไม่สิ กับผีแบบนี้ แล้วก็คร้านเกินกว่าจะไปพูดอะไรอีก

วิญญาณลูกชายถูกโจวเจ๋อบังคับควบคุม เขาดิ้นรนขัดขืน แต่ไม่สามารถสลัดและหลบหนีออกจากการควบคุมของโจวเจ๋อได้ ถูกโจวเจ๋อส่งตรงเข้าไปที่ประตูนรกทันที

โจวเจ๋อไม่รีบร้อนดูสมุดประจำตัวของเขา แต่จับเอาวิญญาณสามีไปด้วย ดูเหมือนวิญญาณสามีจะยอมรับชะตากรรมไม่ได้ดิ้นรน เพียงแค่มองโจวเจ๋ออย่างเย็นชาแฝงไปด้วยความเย้ยหยัน

“บนโลกใบนี้มีคนทำชั่วเยอะแยะมากมาย คนดีมักอายุสั้น แต่คนชั่วกลับอายุยาวเป็นพันปี กรรมตามสนองจริงๆ นั้นจะมีสักกี่คนกัน”

โจวเจ๋อไม่ได้ตอบโต้ จับเขาส่งเข้าไปในประตูแห่งนรกภูมิ

ทุกอย่างจบลงแล้ว

โจวเจ๋อเปิดสมุดประจำตัว คำว่า ‘ชั่วคราว’ สองตัวตรงตำแหน่งด้านบนหายไป กลายเป็นคำว่า ‘ยมทูต’ สองตัวนี้แทน

ผ่านโปรแล้ว ในที่สุดเขาก็ไม่ใช่พนักงานชั่วคราวที่สุ่มเสี่ยงอีกต่อไป

โจวเจ๋อในเวลานี้ค่อนข้างมีความสุขและมีความภาคภูมิใจที่เรียบง่าย เหมือนกับผู้คนเมื่อสิบยี่สิบปีก่อนเวลาที่ได้เข้าระบบและได้รับสิ่งที่เรียกว่าชามข้าวเหล็ก[1] มีความรู้สึกว่าเขาได้มาถึงจุดสูงสุดของชีวิตและกลายเป็นคนเหนือคน

เมื่อพลิกไปที่หน้าถัดไป คำพิพากษาก็ปรากฏขึ้น

ต่างเป็นผู้มาเยือนเมืองมนุษย์ ไปมาลาจากสุดแสนไวว่อง

ทั้งดวงเนตรและหทัยมืดบอดมัวหมอง วาสนาชีวาเจ้าของตกต่ำ

แต่ไม่วายหวังร่ำหวังรวยทางลัด คิดโลภทรัพย์กลับมลายตายจากคนรัก

คำพิพากษาสามบรรทัดน่าจะเป็นการสรุปชีวิตของวิญญาณสามี ส่วนผีลูกชายที่ถูกยิงเป้าคนนั้น เพราะโจวเจ๋อจัดการพาเขาไปก่อน ดังนั้นถือว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้โจวเจ๋อเปลี่ยนเป็นพนักงานประจำ และเป็นเพราะโจวเจ๋อรับผีสามีมาในภายหลัง ดังนั้นคำพิพากษาแรกหลังจากเปลี่ยนเป็นพนักงานประจำแล้วก็คือผีสามี

ความหมายของคำพิพากษานั้นง่ายมาก สำหรับผู้ชายคนนี้เดิมทีถ้าในชาตินี้ไม่มีเหตุบังเอิญก็น่าจะใช้ชีวิตแบบธรรมดาทั่วไปได้ แต่เขาถูกความโลภครอบงำจนหน้ามืดตามัว ละทิ้งบุญเก่าที่เดิมทีเบาบางอยู่แล้วของตัวเองไปจนเกลี้ยง ในท้ายที่สุด ไม่เพียงแต่สิ้นเนื้อประดาตัว แม้แต่ลูกๆ และคนรักก็ได้รับผลจากการกระทำของเขาด้วย

หลังจากเดินออกจากบ้านที่ตั้งในโรงรถ นักพรตเฒ่ารู้สึกหนักใจเล็กน้อย เด็กน้อยในบ้านหลังนี้ และหญิงสาวคนหนึ่งที่พาลูกทั้งสามคนหนีออกมาจากหมู่บ้านค้ายาเสพติดด้วยกัน

เฮ้อ น่าเวทนาจัง น่าสงสารจริงๆ

นักพรตเฒ่าเงยหน้าขึ้นเห็นโจวเจ๋อบิดขี้เกียจต่อหน้าเขา ดูเหมือนอารมณ์ดีเสียเต็มประดา ไม่มีความรู้สึกเศร้าให้กับครอบครัวนี้เลยแม้แต่น้อย

“ในที่สุดก็เป็นพนักงานประจำแล้ว”

โจวเจ๋อพูดด้วยเสียงต่ำ ก่อนหน้านี้ไม่รู้สึก แต่ช่วงนี้แต้มผลงานติดอยู่ที่ 99% มาตลอด ช่างเป็นเรื่องที่ทรมานใจคนจริงๆ

ตอนนี้ตารางผลงานของเขาได้รับการรีเฟรชอีกครั้ง เป็นสามแต้มในหนึ่งพัน

นี่หมายความว่าถ้าเขาอยากจะมีคุณสมบัติเป็นผู้จับกุม นอกจากจะต้องหายมทูตสองสามตนที่เป็นเช่นเดียวกับ สาวน้อยโลลิมาช่วยให้เขาเป็นผู้จับกุมแล้ว ในแง่ของผลงาน เขายังมีหนทางที่ต้องเดินไปอีกไกลนัก

“เถ้าแก่ ครอบครัวนั้นน่าสงสารเหลือเกิน”

หลังจากเดินออกจากชุมชนแล้ว นักพรตเฒ่าก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา

“น่าสงสารอะไร”

“ผู้หญิงคนนั้นและลูกๆ สามคนนั้น ในอนาคตชีวิตของพวกเขาจะต้องลำบาก”

“สงสารแล้วจะทำอะไรได้ ตอนที่คนเขาพึ่งพาอาชญากรรมในการเติบโตและกินอยู่อย่างสบาย ก็ไม่เห็นจะมาเลี้ยงข้าวแดงแกงร้อนกับคุณเลยนี่”

“เอ่อ…” นักพรตเฒ่ารู้สึกว่าที่เถ้าแก่พูดมีเหตุผลมาก แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีเหตุผลเช่นเดียวกัน

“ตอนที่ครอบครัวพวกเขาร่ำรวย ลูกชายคนโตก็เสพยาได้มากเท่าที่ต้องการ เด็กสองสามคนนั้นก็ยังได้สวมใส่เสื้อผ้าใหม่ เล่นของเล่นราคาแพงกว่านี้ ไปโรงเรียนที่ดีกว่านี้ได้ และภรรยาของเขาก็ยังแต่งตัวหรูหราอู้ฟู่

ยามสุขก็สุขด้วยกัน ยามทุกข์ก็ต้องทุกข์ด้วยกันเป็นเรื่องธรรมดา ก็เป็นหลักการนี้ไม่ใช่เหรอ”

เงินสกปรกที่หามาได้จากการค้ายาเสพติดเป็นผลกรรมที่ราคาแพงที่สุด สุขแค่ในช่วงหนึ่งและต้องชดใช้ไปตลอดชีวิต นี่แหละคือชีวิต เป็นผลมาจากการกระทำของตัวเองทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องสงสารพวกเขาหรอก

ผมคิดว่าคุณสงสารตัวเองดีกว่านะ กินหมั่นโถวกระดาษไปตั้งเยอะ คงไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม”

“เถ้าแก่ เจ้าอย่าพูดถึงหมั่นโถวนั่นอีก…”

นักพรตเฒ่าพูดยังไม่ทันจบ จู่ๆ ก็ผายลมเหม็นหึ่งออกมา เสียงดังไพเราะจับใจ ราวกับเพลง ‘บ่อเอ้อร์เฉวียนสะท้อนเงาจันทร์’ ก็ไม่ปาน

“เถ้าแก่ เจ้ารอสักครู่ ข้าจะไปหาที่ปลดทุกข์สักหน่อย อั้นไว้ไม่ไหวแล้ว”

เมื่อนักพรตเฒ่าพูดจบก็ไม่มีเวลาหาห้องน้ำแล้ว ตรงไปหากองหญ้าที่อยู่ใกล้ๆ แทน

ผ่านไปสิบห้านาที นักพรตเฒ่าเดินซวนเซกลับมา เห็นได้ชัดว่าปลดทุกข์จนแทบหมดไส้หมดพุง นี่ไม่น่าแปลกใจเลย เขากินหมั่นโถวไปตั้งเยอะ คนอื่นที่ไม่ทันระวังซื้อหมั่นโถวไปกินอาจจะแค่ท้องไส้ปั่นป่วน แต่นักพรตเฒ่าเห็นกับตาตัวเองว่าหมั่นโถวคืออะไร เป็นการกระตุ้นทั้งจิตวิญญาณและร่างกายถึงทำให้เกิดสภาพนี้ได้

ทั้งสองกลับมาที่รถ แต่เมื่อนักพรตเฒ่าเตรียมจะขับรถก็กุมท้องเอาไว้ทันที และบอกว่าไม่ไหวแล้ว ต้องไปปลดทุกข์อีกรอบ

เมื่อรอจนนักพรตเฒ่ากลับมา ใบหน้าก็เริ่มซีดเซียว

“บัดซบ สมน้ำหน้านัก สมน้ำหน้าครอบครัวนี้จริงๆ!”

ท้องเสียจนน่าสังเวชอย่างนี้ นักพรตเฒ่าไม่คิดเห็นใจครอบครัวนั้นอีกแล้ว

ประโยคนี้แหละสมควรแล้ว ความใจดีของคนส่วนใหญ่ จริงๆ แล้วเป็นความรู้สึกจากมุมมองของพวกเขาเองทั้งนั้น

โจวเจ๋อนั่งตรงตำแหน่งคนขับรถ เขาไม่กล้าปล่อยให้นักพรตเฒ่าขับรถ ต้องบอกก่อนว่าครั้งที่แล้วโจวเจ๋อเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เขาไม่อยากให้มันเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง

“ผมจะพาคุณไปโรงพยาบาล”

นักพรตเฒ่าพยักหน้า จำเป็นจะต้องไปโรงพยาบาลแล้ว ไม่อย่างนั้นชีวิตแก่ๆ อย่างเขาอาจจะต้องท้องร่วงจนตายแน่ๆ

ช่วงเช้าแดดจัดอยู่พักหนึ่ง แต่เพียงไม่นานฝนก็เริ่มตกลงมา ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยมาก ช่างเข้าใจยากจริงๆ

โจวเจ๋อขับรถไปที่ลานจอดรถของโรงพยาบาลประชาชน แล้วพานักพรตเฒ่าไปลงทะเบียนรักษา ไม่รู้ว่าหมอหลินจะอยู่ที่นี่หรือไม่ โจวเจ๋อไม่ได้มีแผนที่จะไปเยี่ยม

ตั้งแต่เกิดเรื่องกับน้องภรรยา เขาก็ไม่ได้ติดต่อเธอไปอีก คิดอยากจะตัดขาดความสัมพันธ์นี้ก็ตัดขาดไปทั้งอย่างนี้เลย ถ้าตัดไม่ขาดใจก็ยังว้าวุ่น มันไม่มีประโยชน์อะไร

นักพรตเฒ่าหยิบแก้วไปถ่ายเอาของสิ่งนั้นในห้องน้ำเพื่อเตรียมนำไปตรวจสอบ โจวเจ๋อนั่งบนม้านั่งตัวยาวข้างนอกและหยิบสมุดบันทึกออกมา แต่ไม่กล้าเปิดมัน เพียงแค่ถือเล่นในมือเท่านั้น

ลายแมวดำหลังปกสมุดบันทึกนั้นชัดเจนกว่าก่อนหน้านี้มาก อีกทั้งตอนที่คุณมองมันก็จะมีความรู้สึกว่ามันกำลังจ้องมองคุณอยู่เช่นกัน

ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาในโรงพยาบาล หลังจากที่โจวเจ๋อถือสมุดบันทึกไว้ในมือเพียงไม่นาน สมุดบันทึกก็สั่นกระตุกขึ้นมาเล็กน้อยเป็นพักๆ มันเบาบางมาก แต่ก็สามารถส่งเข้าถึงโสตประสาทของโจวเจ๋อได้อย่างชัดเจนผ่านปลายนิ้วสัมผัส

โจวเจ๋อสังเกตเห็นแล้วว่า คนที่สวมชุดผู้ป่วยหรือคนที่ถูกดันเปลหามบางคนเมื่อผ่านหน้าเขาไป สมุดบันทึกในมือของเขาจะสั่นเล็กน้อย แถมยังต่างระดับกัน

นี่เป็นการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ ดูเหมือนว่าสมุดบันทึกเล่มนี้จะสามารถทำนายความเป็นความตายของคนรอบข้างได้

เมื่อคนที่ใกล้จะตายหรือกำลังจะตายเหล่านั้นผ่านไป การสั่นสะเทือนจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนับว่าเป็นการเตือนเจ้าของให้ทราบว่าใครคนไหนใกล้จะตาย

ในเวลานี้เองโทรศัพท์ก็ดังขึ้น โจวเจ๋อรับสาย มันเป็นสายจากไป๋อิงอิง

“เถ้าแก่ ท่านโอเคหรือไม่เจ้าคะ” ไป๋อิงอิงถามอย่างร้อนรนจากปลายสาย

“โอเคดี มีอะไรหรือเปล่า” โจวเจ๋อถาม

“เสี่ยวเข่อหาตำแหน่งที่อยู่ของบาทหลวงชาวญี่ปุ่นคนนั้นพบแล้ว ตอนนี้เธอรอท่านอยู่ที่ร้านหนังสือ เธอเป็นห่วงความปลอดภัยของท่านด้วย กลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับท่าน เป็นห่วงเอามากๆ เลยละ”

ตอนที่ไป๋อิงอิงพูดประโยคพวกนี้ ยังจงใจเหลือบมองสาวน้อยโลลิที่นั่งอยู่ตรงหน้าตัวเองในร้านหนังสือด้วย

สาวน้อยโลลิโมโหจนแก้มป่อง!

เธอโกรธมาก ไม่ว่าคนเราจะโง่แค่ไหนก็ฟังออก ไป๋อิงอิงแกล้งบีบน้ำตาตัวเองต่อหน้าโจวเจ๋อ!

ดังนั้นพูดได้ว่า ผู้หญิงทุกคนล้วนแต่เป็นนักสู้โดยกำเนิด ไป๋อิงอิงที่โง่เง่ายังสามารถเรียนรู้ด้วยตนเอง จนนำห่างแบบไม่เห็นฝุ่นบนเส้นทางการแข่งขันยื้อแย่งความโปรดปราน

งื้อๆๆ!

“ฮ่าๆ” โจวเจ๋อขำ แน่นอนว่าเขาเข้าใจความหมายในคำพูดของไป๋อิงอิง

สาวน้อยโลลิอยากให้เขาตาย นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ก็เหมือนกันกับที่เขาหวังว่าสาวน้อยโลลิจะเกิดอุบัติเหตุในหรงเฉิงแล้วกลับมาไม่ได้เช่นกัน

“อีกพักหนึ่งเดี๋ยวผมกลับไป นักพรตเฒ่ากินของผิดสำแดง ผมอยู่โรงพยาบาลเป็นเพื่อนเขาน่ะ”

“อืม เจ้าค่ะเถ้าแก่ รักนะตัวเอง งื้อๆๆ”

หลังจากวางสาย ไป๋อิงอิงก็เหลือบมองสาวน้อยโลลิอีกครั้งราวกับว่านี่เป็นแค่น้ำจิ้มเท่านั้นนะ

สาวน้อยโลลิเชิดจมูกแสนน่ารักของเธอขึ้นและแค่นเสียง

“เฮอะ ปัญญาอ่อน”

“ไม่รู้ว่าใครปัญญาอ่อนกันแน่ ข้าพนันกับเจ้าได้นะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเถ้าแก่จริงๆ ก่อนตายเขาจะต้องลากเจ้าเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยอย่างแน่นอน แต่คงไม่ลากข้าไปหรอก”

“…” สาวน้อยโลลิ

ยายตัวแสบ!

ยายผีดิบจอมวางแผน!

“เพราะจะต้องมีคนไปงานศพเถ้าแก่” ไป๋อิงอิงพูดอย่างใจเย็น “เถ้าแก่เคยบอกไว้ว่า เขาไม่ต้องการให้คนธรรมดาจัดงานศพให้เขา เห็นๆ กันอยู่ว่ายังไม่ตายแต่ก็ยังถูกส่งเข้าเตาเผาทั้งอย่างนั้น เขาไม่อยากประสบกับมันอีกน่ะ”

บนม้านั่งของโรงพยาบาล โจวเจ๋อไถเวยป๋ออย่างเบื่อหน่าย แล้วก็พบข่าวใหญ่ นั่นคือเมืองเหยียนเฉิงที่อยู่ถัดจากเมืองทงเฉิง เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติจากพายุทอร์นาโดและลูกเห็บ

ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของมณฑลเจียงซูและเจ้อเจียงนั้นดีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว น้อยมากที่จะเกิดแผ่นดินไหวหรือภัยธรรมชาติอื่นๆ อย่างแย่ที่สุดก็คือน้ำท่วมในพื้นที่เพาะปลูกในวันที่ฝนตกหนักก็เท่านั้นเอง แต่การโจมตีของพายุทอร์นาโดในครั้งนี้ทำให้ผู้คนทั่วทั้งเขตมณฑลเจียงซูทำอะไรไม่ถูกจริงๆ

ตอนที่มณฑลเสฉวนประสบกับแผ่นดินไหว ชาวบ้านในหรงเฉิงต่างก็เคยชินจนเห็นเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว กระทั่งทุกคนสามารถย้ายโต๊ะและเก้าอี้ออกมาวางไว้ในที่โล่งนอกอาคารอย่างเป็นระเบียบและเล่นไพ่นกกระจอกต่อไปจนกว่าอาฟเตอร์ช็อกจะสิ้นสุดลง

แต่ชาวมณฑลเจียงซูแทบไม่มีประสบการณ์กับภัยธรรมชาติที่รุนแรงเช่นนี้เลย

หมอและพยาบาลจำนวนหนึ่งเริ่มวิ่งวุ่น ราวกับว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นจำเป็นต้องรวมตัวกันอย่างเร่งด่วน

หมอหลินในชุดกาวน์วิ่งผ่านหน้าโจวเจ๋อไป จากนั้นเธอหยุดฝีเท้าลงและมองโจวเจ๋อด้วยความประหลาดใจ

“ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้คะ”

หมอหลินผอมลงกว่าเมื่อก่อนมาก เสื้อผ้าบนตัวก็ดูใหญ่ขึ้นเล็กน้อยด้วย ความงามลดลง และที่น่ากังวลที่สุดก็คือทำให้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นห่วง

“พาเพื่อนมาหาหมอน่ะ” โจวเจ๋อตอบ

“มีพายุทอร์นาโดที่เมืองข้างๆ มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก โรงพยาบาลของเราจะจัดกองกำลังแพทย์ไปที่นั่นเพื่อสนับสนุนการบรรเทาภัยพิบัติ เดี๋ยวฉันก็จะออกเดินทางแล้ว อ้อ ฉันได้ลงนามในข้อตกลงการหย่าร้างและส่งไปที่ร้านหนังสือของคุณแล้ว แต่คุณยังไม่ได้ตอบกลับมา”

“อ้อ ผมย้ายร้านหนังสือไปแล้ว” โจวเจ๋ออธิบาย

“โอเค อย่างนั้นรอฉันกลับมาเราค่อยคุยเรื่องนี้กันนะคะ”

หมอหลินเดินอย่างเร่งรีบ ทุกคนตรงนั้นรวมตัวกันและเตรียมพร้อมออกเดินทาง

โจวเจ๋อลุกขึ้นอย่างช้าๆ สีหน้าของเขาจริงจังขึ้น ไม่ใช่เพราะหมอหลินพูดถึงข้อตกลงการหย่าร้างในการพบกันครั้งแรกกับเขาเวลานี้ ความจริงแล้วนี่เป็นการช่วยปลดปล่อยต่อกันทั้งสองฝ่าย

ที่สำคัญคือ ตอนที่หมอหลินยืนอยู่ตรงหน้าเขาและพูดกับเขาเมื่อครู่นี้ สมุดบันทึกในมือสั่นอย่างรุนแรง

และหลังจากที่หมอหลินเดินจากไป ทันใดนั้นสมุดบันทึกก็แน่นิ่งอีกครั้ง

นี่หมายความว่าเธออาจจะเสียชีวิตในไม่ช้านี้!

………………………………………………….

[1] ชามข้าวเหล็ก หมายถึง อาชีพที่มั่นคงสามารถเลี้ยงดูไปได้ตลอดชีวิต

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

Status: Ongoing
หลังจากการตายที่ไม่คาดคิด สิ่งที่เขาได้รับคือ ตัวตนใหม่ ร้านหนังสือใกล้เจ๊ง และตำแหน่งยมทูตจำเป็น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท