ตอนที่ 175 ห้องอาหาร
ขาอ่อนท่อนหนึ่งถูกนักพรตเฒ่าคว้าหมับเอาไว้ในมืออยู่อย่างนี้ ตอนที่นักพรตเฒ่ามองดูก็ตกใจจนลืมโยนมันทิ้ง
และในเวลานี้เอง เถ้าแก่และสวี่ชิงหล่างออกจากบ่อไปพร้อมกัน ทั้งสองคนรีบเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องนั่งเล่นอย่างรวดเร็ว
หลังจากรอจนพวกเขาออกไปแล้ว นักพรตเฒ่าถึงได้คืนสติกลับมา แล้วรีบโยนต้นขานั้นทิ้งไป วิ่งออกมาจากบ่อน้ำพุร้อนราวกับหนีตาย เดิมทีเขาอยากสวมเสื้อผ้า แต่เมื่อเห็นเถ้าแก่กับสวี่ชิงหล่างตรงไปเปิดประตูเตรียมพร้อมจะออกไป จึงหยิบเสื้อคลุมอาบน้ำมาห่อตัวอย่างขอไปที และตามออกจากที่พักไป
ถึงอย่างไรนักพรตเฒ่าก็ไม่ใช่สวี่ชิงหล่าง เขาไม่มีความกล้าหาญพอที่จะอยู่ในบ้านผีสิงคนเดียว
โครงสร้างของรีสอร์ตตากอากาศแห่งนี้ใหญ่มาก คล้ายกับย่านวิลลาหรูแห่งหนึ่ง พื้นที่สีเขียวด้านในก็ทำได้ดีมากทีเดียว โดยทั่วไปแล้วหลังจากเช็กอินที่แผนกต้อนรับ ก็จะมีพนักงานต้อนรับคอยรับผิดชอบในการขับรถไฟฟ้าพาเที่ยวชมวิวพร้อมกับนำแขกเข้าไปยังวิลลาที่ตัวเองเลือกพักเป็นพิเศษ หากต้องการรับประทานอาหารหรือออกไปข้างนอกก็สามารถโทรติดต่อแผนกต้อนรับเพื่อนัดให้มารับมาส่งได้
“ฟ้าแบบนี้ฝนจะตกแล้วใช่ไหม” นักพรตเฒ่าเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยเมฆดำ ราวกับว่าพายุฝนฟ้าคะนองกำลังจะมา
โจวเจ๋อไม่ตอบ ยังคงเดินจ้ำอ้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ สวี่ชิงหล่างเดินตามอยู่ข้างหลังโจวเจ๋อด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
พวกเขาข้ามผ่านเรื่องหมู่บ้านซานเซียงมาแล้ว สำหรับรูปแบบประเภทนี้ก็ไม่แปลกมากนัก แต่นักพรตเฒ่าเป็นเพราะว่าพลังชีวิตของเขานั้นแข็งแกร่งจริงๆ ครั้งที่แล้วจึงไม่สามารถเข้าไปในหมู่บ้านซานเซียงได้ ตอนนี้ก็ยังไม่สามารถตอบสนองต่อเรื่องนี้ได้อย่างเต็มที่
หลังจากเดินมาประมาณห้านาทีก็ถึงอาคารรับแขกด้านหน้าแล้ว พื้นที่ทางด้านซ้ายในชั้นหนึ่งของอาคารคือห้องอาหารที่ให้บริการอาหารสามมื้อในตอนเช้า กลางวัน เย็น
เมื่อพวกโจวเจ๋อสามคนเดินเข้าไปในอาคาร ก็พบว่ามีหลายคนสวมเสื้อคลุมอาบน้ำเหมือนนักพรตเฒ่าเดินเข้ามาจากด้านนอก และตรงไปที่ห้องอาหารเพื่อรับประทานอาหาร
“โอ้โห ดูเหมือนว่าคนรวยๆ ต่างก็ชอบอย่างนี้สินะ สวมเสื้อคลุมอาบน้ำออกมากินข้าวถึงจะได้อรรถรส”
ตอนแรกนักพรตเฒ่ารู้สึกอายนิดหน่อย แต่ตอนนี้ใครๆ ก็เป็นแบบนี้ถึงได้ผ่อนคลายลงมาบ้างแล้ว
โจวเจ๋อเดินไปที่แผนกต้อนรับก่อน และพบว่าพนักงานที่นั่นหายไป นอกจากห้องอาหารแล้ว ที่อื่นๆ ล้วนแล้วแต่ว่างเปล่า มองไม่เห็นเงาแม้แต่คนเดียว
สุดท้ายโจวเจ๋อทำได้เพียงเลือกเข้าไปในห้องอาหารเท่านั้น
“สวัสดีค่ะคุณผู้ชาย โปรดแสดงคีย์การ์ดห้องพักของพวกคุณด้วยค่ะ” ที่นี่กลับมีพนักงานสวมใส่เครื่องแบบอยู่ด้วย
สวี่ชิงหล่างยื่นคีย์การ์ดให้ อีกฝ่ายรูดการ์ดครู่หนึ่ง หลังจากยืนยันประเภทที่พักรวมไปถึงจำนวนคนรับประทานเรียบร้อยก็พยักหน้า
“รับประทานอาหารให้อร่อยนะคะ”
ต่อจากนั้นทั้งสามคนก็เข้าไปข้างใน
มีคนอยู่ข้างในไม่น้อยทีเดียว ห้องอาหารที่นี่เป็นรูปแบบบุฟเฟ่ต์ โจวเจ๋อและสวี่ชิงหล่างหาที่นั่งได้แล้ว
“เถ้าแก่ ข้าไปตักของมาให้พวกเรากินรองท้องกันก่อนดีไหม” นักพรตเฒ่าเสนอ
โจวเจ๋อมองนักพรตเฒ่า แล้วยื่นมือชี้คนคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง
นักพรตเฒ่ามองตามไป ก็พบว่ามีสาวสวยคนหนึ่งนั่งกินอะไรอยู่ตรงนั้น หน้าตายังไม่เลวอีกต่างหาก
สาวสวยยกนมนมตรงหน้าดื่มไปหนึ่งอึก จากนั้นได้ยินเพียงเสียง ‘ตุ้บ’ ทันใดนั้นลูกตาของสาวสวยกลับร่วงลงมากระแทกลงไปในแก้วนมโดยตรง
นักพรตเฒ่ากลืนน้ำลายลงคออย่างไม่รู้ตัว
จากนั้นสาวสวยก็ยื่นมือควานหาในแก้วนม ในที่สุดก็หยิบลูกตาออกมาได้ และยัดกลับเข้าไปในเบ้าตาของเธออีกครั้ง
นักพรตเฒ่ากลืนน้ำลายสองครั้งติดต่อกัน
“ยังจะกินอยู่ไหม” โจวเจ๋อถาม
นักพรตเฒ่าส่ายหน้าทันที และนั่งลงข้างๆ โจวเจ๋ออย่างเชื่อฟัง
ซึ้งใจจัง มันช่างน่าประทับใจเหลือเกินจริงๆ
เป็นครั้งแรกที่เถ้าแก่ไม่ได้จงใจแกล้งข้า แถมยังตั้งใจบอกข้าว่าอาหารที่นี่กินไม่ได้!
บางทีเขาอาจจะเคยชินกับการถูก ‘กลั่นแกล้ง’ เวลานี้นักพรตเฒ่ากลับรู้สึกซาบซึ้งใจต่อโจวเจ๋อมากขึ้น การเสียเปรียบแบบนี้ในอดีตมันทุกข์ทรมานมากเกินไป มากเกินไปจริงๆ
รวมไปถึงเรื่องกินหมั่นโถวในคราวที่แล้วด้วย ทำให้เขาท้องเสียจนเกือบจะเอาอีกครึ่งชีวิตแก่ๆ ที่เหลือไม่รอดเสียแล้ว แต่เรื่องครั้งนั้นดูเหมือนจะโทษเถ้าแก่ไม่ได้
“ที่นี่มีผีเจ้าถิ่นเหรอครับ” สวี่ชิงหล่างถามเสียงต่ำ
โจวเจ๋อส่ายหน้า เขาไม่แน่ใจ เรื่องหมู่บ้านซานเซียงในครั้งที่แล้ว เป็นเพราะว่าอิทธิพลของแหวนทองสัมฤทธิ์วงนั้น ตอนนี้แหวนทองสัมฤทธิ์วงนั้นยังอยู่กับตัวเขา ปกติแล้วตอนที่อยู่ในร้านหนังสือ เขาให้ไป๋อิงอิงวางไว้ในห้องนอนเพื่อความปลอดภัยตลอด เมื่อออกไปข้างนอกก็พกติดตัวไปด้วย เนื่องจากกลัวว่าหากเกิดอะไรขึ้นอาจจะได้ใช้มัน เป็นโชคล้วนๆ เลย
ส่วนสมุดหยินหยางเล่มนั้น โจวเจ๋อพกติดตัวไปไม่ได้หรอก ถ้าเกิดว่าเขาเจอพวกเด็กน้อยแล้วมันสั่นขึ้นมา เขาต้องยื่นมือเข้าช่วยหรือไม่ช่วยดีล่ะ
“ดูไปก่อนเถอะ”
โจวเจ๋อยื่นมือขึ้นลูบหน้าตัวเองเบาๆ มีเหงื่อซึมบางๆ
“ระดับความชื้นในอากาศของที่นี่มันออกจะเกินจริงมาก” โจวเจ๋อพูด
สวี่ชิงหล่างพยักหน้า “ผมก็รู้สึกแบบนี้เหมือนกัน เหมือนยังแช่อยู่ในน้ำพุร้อนเลย”
นักพรตเฒ่าคอยฟังอยู่ข้างๆ แต่สายตากลับสอดส่องไปทั่ว เขาเห็นชายหนุ่มโต๊ะฝั่งตรงข้ามกินบะหมี่ไปด้วยพร้อมกับแทะนิ้วตัวเองไปด้วย…
โอ้มายก็อด
นักพรตเฒ่ามองไปเรื่อยๆ จนไม่กล้ามองอีก พลันก้มหน้าลงและครุ่นคิดเงียบๆ
เขาไม่ได้ตื่นตระหนกและกลัวอะไรมาก ถึงอย่างไรเถ้าแก่ก็อยู่ข้างๆ หากฟ้าถล่มยังพอมีที่สูงให้ก้าวขึ้นไปถึงยอดได้
อันที่จริง ตั้งแต่สมัยโบราณ หากที่ใดมีวิญญาณชุกชุมกันอยู่มาก มักจะหมายถึงความเป็นไปได้อยู่สองเหตุการณ์
หนึ่งก็คือมีผีเจ้าถิ่นอยู่ที่นั่น คล้ายๆ กับพวกราชาผีละมั้ง โดยธรรมชาติแล้วพวกวิญญาณสัมภเวสีจะรวมตัวกันภายใต้คำสั่งของพวกมัน ตัวอย่างเช่น แม่นางไป๋ในอดีตกับปีศาจเฒ่าเขาเฮยซานใน ‘โปเยโปโลเย’
ยังมีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งก็คือ ที่นี่มีอิทธิพลของอาวุธเวทที่พิเศษอยู่ ตัวอย่างเช่น หมู่บ้านซานเซียงที่ดำรงอยู่ได้เพราะอิทธิพลของแหวนทองสัมฤทธิ์วงนั้น
หากเพียงเพราะอิทธิพลของอาวุธเวทละก็ ปัญหาก็จะเล็กลงมาหน่อย ถึงอย่างไรอาวุธเวทก็ไม่มีความชอบหรือความเกลียด และไม่มีสติปัญญา แต่ถ้าหากเขาเจียงจวินแห่งนี้เป็นสนามเวทของราชาผีละก็ นั่นเป็นปัญหาใหญ่แน่
โจวเจ๋อไม่ได้กลัวราชาผีตนนั้นโกรธเคือง แต่เพราะไม่อยากเพิ่มความยุ่งยากให้มากเกินไป
เขามาที่นี่เพียงเพราะ ‘ผีโทรเข้า’ เท่านั้น เขาแค่ต้องการทำแผนเดิมของตัวเองให้สำเร็จ แน่นอนว่าถ้าสามารถรับผีทั้งหมดนี้ไปด้วย ก็คงจะเป็นเรื่องที่ดีสุดๆ ผลงานของเถ้าแก่โจวที่เพิ่งเปลี่ยนเป็นพนักงานประจำตอนนี้มันน่าสงสารมาก
“ทั้งสามคนในครอบครัวนั้นมาแล้ว” โจวเจ๋อเอ่ย
ตรงทางเข้า ครอบครัวนั้นทั้งสามคนเดินเข้ามาและนั่งลงที่โต๊ะด้านข้างโจวเจ๋อ ลูกสาวนั่งลงบนที่นั่ง ส่วนพ่อกับแม่ไปตักอาหาร
จากนั้นพ่อกับแม่เอาอาหารมาเยอะมาก ทั้งสามคนนั่งตัวตรงบนเก้าอี้หันหน้าไปหาอาหารบนโต๊ะ แต่ไม่เคลื่อนไหวใดๆ พวกเขาไม่มีศีรษะจึงไม่สามารถกินอาหารได้ตามปกติ
“พวกเขาใช่ไหม” โจวเจ๋อมองสวี่ชิงหล่าง
“ใช่ครับ พวกเขานี่แหละ” สวี่ชิงหล่างพูดพร้อมพยักหน้ายืนยัน
โจวเจ๋อรับทราบแล้ว ก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปหาก่อน และนั่งลงตรงที่ว่างข้างๆ พ่อกับแม่
“พูดได้ไหมครับ” โจวเจ๋อถาม
ทั้งสามคนในครอบครัวนั้นไม่พูดไม่จา
“ผมมาช่วยพวกคุณ พวกคุณสามารถบอกผมได้ว่าใครฆ่าพวกคุณ พวกคุณอยากตามหาศีรษะของตัวเองใช่ไหม ผมช่วยพวกคุณได้” โจวเจ๋ออธิบาย
ทั้งสามคนยังคงนิ่งเงียบต่อไป
โจวเจ๋อยื่นมือชี้ไปที่เด็กน้อยคนนั้น “เธอยังเด็กมาก ชีวิตเพิ่งเริ่มต้นก็ถูกฆ่าตายเสียแล้ว พวกคุณที่เป็นพ่อแม่จะไม่โกรธแค้นเลยหรือ”
ในเวลานี้เอง แขนของภรรยายกขึ้นมา เอานิ้วจุ่มลงไปในซุปที่อยู่ด้านหน้า จุ่มนิ้วในซุปแล้วเริ่มเขียนลงบนโต๊ะ
โจวเจ๋อมองอย่างตั้งใจ จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไป
ไม่ใช่เพราะหญิงสาวเขียนอะไรบางอย่างที่น่าตกใจ
แต่เพราะหญิงสาวไม่รู้ว่าบนนิ้วของเธอมีผักเขียวติดอยู่บนนิ้วของเธอด้วย เธอเขียนไปตัวหนึ่ง ใบผักเขียวก็สะบัดตามไปมา
โจวเจ๋อไม่เข้าใจในสิ่งที่เขียนเลยแม้แต่นิด!
แต่หญิงสาวยังคงตั้งใจเขียนอย่างจริงจัง เธออยากจะล้างแค้นให้ลูกสาวของเธอ แต่เธอยิ่งเขียนอย่างจริงจังมากขึ้น โจวเจ๋อก็ยิ่งรู้สึกปวดไข่ อ่านไม่ออกน่ะสิ
“อักษรเบลอหมดแล้ว หยิบใบผักข้างบนออกก่อน” โจวเจ๋อเอ่ยเตือน
ในเวลานี้เอง
พนักงานเสิร์ฟหลายคนที่เคาน์เตอร์ต้อนรับด้านหน้าตะโกนว่า “หมดเวลาทานอาหารแล้ว!”
‘พรึบ’
ทุกคนที่กำลังกินอาหารยืนขึ้นพร้อมกัน แม้แต่โจวเจ๋อและนักพรตเฒ่าพวกเขาก็ยืนขึ้นจากฝูงชน จากนั้นทุกคนในห้องอาหารรวมทั้งพ่อครัวและพนักงานก็เริ่มเข้าแถวเดินออกไป ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามระเบียบ ราวกับซ้อมมานับครั้งไม่ถ้วน
ทั้งครอบครัวนี้ก็เช่นกัน ลุกขึ้นแล้วเดินไปยังทางออก
โจวเจ๋อเอื้อมมือไปคว้าข้อมือสามี แต่สามีเดินตรงทะลุผ่านหน้าเขาไป โจวเจ๋อขยายเล็บให้ยาวขึ้น แต่กลับไม่มีทางคว้าพวกเขาเอาไว้ได้เช่นเคย
คราวนี้โจวเจ๋อโมโหแล้ว เล็บทั้งสิบนิ้วงอกยาวออกมาจนหมด มวลหมอกสีดำกระจายออกไปทันที
เป็นการเตรียมพร้อมจะก่อเรื่อง
ไม่เล่นละครใบ้กับพวกคุณแล้ว
เพียงแต่ว่า เล็บที่ไม่เคยเอื้ออาทรต่อวิญญาณมาก่อนหน้านี้ ณ ตอนนี้กลับดูเหมือนว่าจะสูญเสียการใช้งานไปทั้งหมด คนที่อยู่รอบๆ ยังคงเดินไปตามทางของตัวเองต่อ ไร้ผลกระทบใดๆ ทั้งสิ้น
โจวเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย
พวกเขาไม่ใช่ผีเหรอ
ไม่ใช่ผี ไม่ใช่วิญญาณ ถ้าอย่างนั้นเป็นตัวอะไรกันล่ะ
ไม่นาน คนในห้องอาหารก็เดินออกไปจนหมด เหลือเพียงโจวเจ๋อ นักพรตเฒ่า และสวี่ชิงหล่างสามคนเท่านั้น
“เถ้าแก่ เมื่อสักครู่เกิดอะไรขึ้นน่ะ” นักพรตเฒ่าเดินเข้ามาถาม เมื่อสักครู่เขาเห็นเถ้าแก่ตั้งท่าเสียดิบดีนึกว่าอยากจะคว่ำโต๊ะทิ้ง ใครจะไปคิดว่าจะท่าดีทีเหลวล่ะ
“คนพวกนี้ไม่ใช่วิญญาณ” โจวเจ๋อพูดอย่างหนักแน่น
“ไม่ใช่วิญญาณแล้วเป็นอะไร” นักพรตเฒ่างุนงง
“อาจจะเป็นสนามแม่เหล็กบางอย่างที่คล้ายคลึงกันละมั้ง อาจจะมีแหล่งแร่บางอย่างอยู่ในเขาเจียงจวิน ทำให้สนามแม่เหล็กของที่นี่เกิดการเปลี่ยนแปลง ก็เหมือนกับภาพสายฟ้าแลบที่สามารถบันทึกภาพบางส่วนเมื่อนานมาแล้วได้” สวี่ชิงหล่างเดา “ทุกๆ ที่ล้วนแล้วแต่มีวิญญาณอยู่ทั้งนั้น แต่ที่นี่มีมากขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่ามันเป็นไปไม่ได้ และปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติในครั้งนี้ก็เป็นการบันทึกร่องรอยการกระทำของวิญญาณในตลอดหลายปีที่ผ่านมา ดังนั้นจึงทำให้พวกเราเห็นภาพหลอนของผีมากมายในที่นี้ใช่หรือไม่”
ในเวลานี้เอง โทรศัพท์ของโจวเจ๋อดังขึ้น โจวเจ๋อรับสาย ยังคงเป็นหมายเลขที่ไม่รู้จักเบอร์นั้น
คราวนี้เสียงปลายสายนั้นเริ่มเปลี่ยนเป็นชัดเจนมากยิ่งขึ้น
“ช่วยฉัน…ช่วยฉันด้วย…ฉันอยู่ที่เขาเจียงจวิน…ช่วยฉัน…ช่วยฉัน…”
“พวกเราก็อยู่ที่เขาเจียงจวิน คุณแม่งอยู่ที่ไหนกันแน่วะเนี่ย!” นักพรตเฒ่าตะโกนใส่โทรศัพท์ปาวๆ
“พวกมันมาแล้ว…พวกมันมาแล้ว…มาแล้ว…กรี๊ด…”
มีเสียงกรี๊ดลอดออกมาจากปลายสาย จากนั้นก็มีเสียงรบกวนระลอกหนึ่ง
เป็นสายผีโทรเข้าอย่างงงๆ อีกครั้งหนึ่ง และไม่มีข้อมูลอันมีค่าแม้แต่น้อย
แต่ทว่า เมื่อโจวเจ๋อกำลังจะวางสาย
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังลอดออกมาจากปลายสายอีกครั้ง
“อมิตาภพุทธ!”
“ไอ้ลาหัวโล้น!” นักพรตเฒ่าพูดอย่างตื่นเต้น “ไอ้ลาหัวโล้น มีลาหัวโล้นกำลังทำเรื่องบางอย่างอยู่ที่นี่! ในที่สุดข้าก็พบความจริง!”
โจวเจ๋อขมวดคิ้วและสบตากับสวี่ชิงหล่าง โจวเจ๋อถามขึ้น “เสียงเมื่อสักครู่ รู้สึกว่ามันคุ้นๆ บ้างไหม”
สวี่ชิงหล่างก็พยักหน้าเช่นกัน “รู้สึกคุ้นหูนิดหน่อย”
ต่อมา เสียงปลายสายดังลอดมาอีกประโยค
“อมิตาภพุทธ นับว่าข้าหาเจ้าจนเจอแล้วสินะ ฮ่าๆๆ!”
………………………………………………………….