ตอนที่ 179 คนในกระจก
ทันใดนั้นมีความรู้สึกว่าผืนดินและภูผารอบๆ เกิดการสั่นสะเทือน โจวเจ๋อลดจุดศูนย์ถ่วงลงเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองล้มลงทันทีที่รู้ตัว
แต่เขากลับเห็นว่า นักพรตเฒ่ายังคงจับก๊อกน้ำส่วนตัวของเขาพร้อมกับกรีดร้องอยู่ในห้องน้ำอยู่
ส่วนสวี่ชิงหล่างยังนอนหลับสนิทบนโซฟาเหมือนเดิม ราวกับว่าไม่รู้สึกถึงความผิดปกติเลยแม้แต่น้อย
โจวเจ๋อตะลึง เมื่อเพิ่งพบว่าแผ่นดินไหวไม่ได้ทำให้ผืนดินและภูผาสั่นสะเทือนจริงๆ แต่เป็นเพราะแสงและเงาทั้งหมดรอบๆ คลาดเคลื่อนอย่างมาก จึงก่อให้เกิดภาพลวงตาว่าเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
สรรพสิ่งรอบตัวที่สามารถสะท้อนแสงได้ทั้งหมดดูเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมาในเวลานี้ พวกมันเริ่มกระเสือกกระสนพยายามสร้างผลกระทบต่อคุณและทำให้คุณเข้าใจผิด
มันเป็นความรู้สึกที่เหลือเชื่ออย่างหนึ่ง ราวกับว่าในขณะนี้คุณถูกสภาพแวดล้อมรอบๆ ขับไล่ พวกมันไม่ได้เป็นวัตถุตายตัวรอบตัวคุณอีกแล้ว พวกมันไม่ใช่อุปกรณ์ที่จะยอมให้คุณเหยียบย่ำได้อีกต่อไป หลังจากที่พวกมันมีสติสัมปชัญญะแล้วก็จะเริ่มต่อต้านคุณ และเริ่มเกลียดคุณตามสัญชาตญาณ
โจวเจ๋ออ้าปาก ต้องการจะปลุกสวี่ชิงหล่าง แต่ตอนที่เขาตะโกนออกไป สวี่ชิงหล่างยังคงนอนหลับอุตุอยู่บนโซฟาต่อ ราวกับว่าไม่ได้ยินอย่างไรอย่างนั้น
ถึงเขาจะหลับสนิทอย่างไรก็ไม่ควรจะหลับเหมือนซ้อมตายอย่างนี้
“นักพรตเฒ่า!”
โจวเจ๋อตะโกนเรียกนักพรตเฒ่า
นักพรตเฒ่ายืนอยู่ในห้องน้ำ เขายังคงจ้องก๊อกน้ำส่วนตัวของตัวเองและแหกปากอยู่อย่างนั้น ไม่ว่าโจวเจ๋อจะเรียกอย่างไรเขาก็ไม่หันกลับมา
โจวเจ๋อพบว่าร่างของนักพรตเฒ่าค่อยๆ บิดเบี้ยว สวี่ชิงหล่างที่นอนหลับอยู่บนโซฟาอีกด้านก็กำลังบิดเบี้ยวเช่นกัน รู้สึกเหมือนเขาอยู่ในห้องกระจกเงา แสงสะท้อนรอบตัวต่างถูกโก่งโค้งแยกออก นำมาซึ่งผลกระทบต่อการมองเห็นที่เจ็บปวดทรมานมากอย่างหนึ่ง
โจวเจ๋อสูดหายใจเข้าลึกๆ และเริ่มหลับตาทั้งสองข้างของเขา เขาไม่ใช่เด็กหัวอ่อนที่เพิ่งเป็นยมทูต ในครึ่งปีมานี้นับว่ามีประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาวมานับไม่ถ้วนแล้ว เขารู้ดีว่าสิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อเผชิญกับสถานการณ์อย่างนี้คือการสงบจิตตัวเอง
หากใจใสกระจ่างสงบเยือกเย็น แม้ฟ้าถล่มก็ไม่เกรงกลัวสิ่งใด!
เพียงแต่ว่าทันทีที่โจวเจ๋อหลับตาลงก็รู้สึกว่าใต้ฝ่าเท้าของเขาไร้น้ำหนัก ราวกับว่าวินาทีต่อมาตัวเองจะตกลงไปในห้วงเหวลึกของหน้าผาที่สูงชัน
ความรู้สึกนี้มักเกิดขึ้นบ่อยในขณะนอนหลับ ที่จู่ๆ ก็เกิดความเข้าใจผิดว่ากำลังตกลงไป จากนั้นทั้งตัวก็จะกระตุกโดยไม่รู้ตัวจนตื่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และพบว่าเป็นการตื่นตกใจไปเอง
แต่ในขณะนี้สำหรับโจวเจ๋อแล้ว ช่วงที่ความรู้สึกเช่นนี้กำลังดำเนินไปนั้นช่างยาวนาน อีกทั้งเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ
โจวเจ๋อทำได้เพียงเลือกที่จะลืมตา แต่ในชั่วขณะที่เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ทันใดนั้นก็มีแสงสีขาวสว่างวาบไปทั่ว ความสว่างนี้คล้ายกับรถคันข้างหน้าที่จู่ๆ ก็สาดไฟส่องคุณในตอนกลางคืน
วิงเวียนศีรษะและตาพร่าไปชั่วขณะ เมื่อสายตาของโจวเจ๋อกลับมามองเห็นชัดตามเดิมแล้ว กลับพบว่าตัวเองยังคงยืนอยู่ในห้องนั่งเล่น
ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย ราวกับทั้งหมดเมื่อครู่เป็นเพียงภาพลวงตาที่นับไม่ถ้วนฉากหนึ่ง มันเป็นภาพลวงตาทั้งหมด แต่ไม่นานโจวเจ๋อก็พบว่ามันผิดปกติ
โซฟาก็ยังเป็นโซฟาตัวนั้น แต่สวี่ชิงหล่างที่อยู่บนโซฟาหายไปแล้ว
ห้องน้ำก็ยังเป็นห้องน้ำห้องนั้น แต่นักพรตเฒ่าที่ฉี่ออกมาเป็นเลือดในห้องน้ำนั้นก็หายตัวไปเช่นกัน
เฟอร์นิเจอร์อยู่ครบ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ทว่าที่นี่เหลือเขาเพียงคนเดียว แค่เขาเองเท่านั้น
โจวเจ๋อสูดหายใจเข้าลึกๆ ไฟยังคงเปิดอยู่ แต่ความสว่างของไฟนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่เพียงพอ กระทั่งสามารถบอกได้ว่ามันแย่มากๆ มันทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในที่นี้ดูสลัวๆ
เมื่อเดินเข้าไปในห้องน้ำ ผ่านกระจกที่แตกร้าวบนผนัง จู่ๆ โจวเจ๋อก็เห็นร่างของนักพรตเฒ่าและสวี่ชิงหล่างอยู่ในกระจก
นักพรตเฒ่ายืนพิงผนังด้วยสีหน้าสะพรึงกลัวและท่อนล่างเต็มไปด้วยเลือด สวี่ชิงหล่างช่วยตรวจดูให้อยู่ข้างๆ เขา และดูเหมือนว่ากำลังปลอบนักพรตเฒ่าอยู่
พวกเขาอยู่ในกระจกเหรอ
โจวเจ๋อตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นโจวเจ๋อมองเห็นสวี่ชิงหล่างช่วยพยุงนักพรตเฒ่าออกไปจากห้องน้ำ แล้วโจวเจ๋อก็มองไม่เห็นพวกเขาอีกต่อไป
“เฮ้ ได้ยินเสียงฉันหรือเปล่า”
โจวเจ๋อตะโกน ไร้การตอบสนองใดๆ กลับมา ต่อมาโจวเจ๋อถอยออกจากห้องน้ำ เขาเดินไปที่ห้องนั่งเล่น ในห้องนั่งเล่นมีกรอบรูปขนาดใหญ่ยักษ์อยู่ มีภาพสีน้ำมันของม้าแปดตัวใส่อยู่ข้างใน โจวเจ๋อมองเห็นด้านในห้องนั่งเล่นจากในกระจก นักพรตเฒ่านั่งอยู่บนโซฟา สวี่ชิงหล่างช่วยหยิบน้ำมาให้เขาแก้วหนึ่ง
จากนั้นสวี่ชิงหล่างจุดไฟเผายันต์ใบหนึ่งผสมลงไปในแก้วน้ำ แล้วยื่นให้นักพรตเฒ่าดื่ม
นักพรตเฒ่าขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวดและพยายามดื่มน้ำยันต์จนหมด จากนั้นก็หายใจหอบถี่ไม่หยุด
โจวเจ๋อไม่ได้ยินเสียงของพวกเขาเลย มองเห็นแต่ภาพและการเคลื่อนไหวของพวกเขาเท่านั้น
จนกระทั่งโจวเจ๋อได้เห็นว่าตัวเองก็ปรากฏอยู่ในภาพเหตุการณ์เช่นกัน ใจของโจวเจ๋อก็จมดิ่งลง เรื่องราวต่างๆ กลายเป็นโหนดที่ยากจะจินตนาการได้จริงๆ
เขาที่อยู่บนโซฟาเพียงแค่นอนแน่นิ่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่ตรงนั้น
สวี่ชิงหล่างและนักพรตเฒ่าคอยมองเขาที่อยู่บนโซฟาเป็นระยะๆ ด้วยความเป็นห่วง สวี่ชิงหล่างยังเอาผ้าขนหนูเปียกเช็ดหน้าให้เขา แต่เขากลับไม่มีความรู้สึกเลยสักนิด
ฟู่…
เข้าใจแล้ว
ไม่ใช่ว่าพวกเขาเข้าไปในกระจกอย่างไม่มีเหตุผล
ในความเป็นจริงแล้ว คนที่เข้ามาในกระจกจริงๆ คือตัวเขาเองต่างหาก!
โจวเจ๋อพยายามใช้เล็บของเขาข่วนพื้นผิวกระจก เขาอยากจะทำลายของสิ่งนี้แล้วออกไปตามสัญชาตญาณ แต่เล็บที่เดิมทีเคยประสบความสำเร็จราบรื่นไปเสียทุกอย่าง ในตอนนี้กลับไม่สามารถทำอะไรกระจกบานเล็กๆ นี้ได้ กระจกบานนี้เปรียบเสมือนเหล็กกล้า แข็งแกร่งจนทำให้คนสิ้นหวังเลยทีเดียว
หลังจากลองพยายามอยู่พักหนึ่ง โจวเจ๋อก็ยอมแพ้และนั่งลงบนโซฟา
หลังจากนั่งลงแล้ว โจวเจ๋อก็พบว่าเฟอร์นิเจอร์ในบ้านหลังนี้มันเหมือนกันก็จริง แต่แท้จริงแล้ว การจัดเรียงนั้นสลับตำแหน่งกันอยู่ อย่างไรเสียสิ่งที่อยู่ในกระจกก็ตรงข้ามกับความเป็นจริงจริงๆ
เมื่อโจวเจ๋อเอื้อมมือไปจับก็พบว่าบุหรี่ของเขายังอยู่ จึงหยิบขึ้นมาคาบไว้ในปาก แถมยังสามารถเอาไฟแช็กมาจุดได้ด้วย เมื่อสูบเข้าไปยังได้กลิ่นหอมของยาสูบจริงๆ อีกต่างหาก
ตอนนี้โจวเจ๋อไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในสภาวะไหนกันแน่ ร่างของเขายังอยู่ในโลกจริงข้างนอกกระจกนั่น แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในที่นี้สมจริงมาก ดูไม่เหมือนวิญญาณออกจากร่างสักนิด
โจวเจ๋อเคยผ่านสภาวะวิญญาณออกจากร่างมาก่อน มันเป็นความรู้สึกที่อ่อนเปลี้ยเพลียแรงและสับสนอย่างหนึ่ง แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าไม่มีความรู้สึกเช่นนี้อยู่เลย นี่หมายความว่าตัวเขาในตอนนี้ไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่าวิญญาณถูกดูดเข้าไปสินะ
โจวเจ๋อจำได้ว่าตอนอยู่ที่ห้องอาหารในตอนบ่าย เล็บของเขาทำอะไร ‘วิญญาณ’ พวกนั้นไม่ได้เลย นี่หมายความว่าตัวเขาในตอนนี้จริงๆ แล้วตกอยู่ในสภาวะเดียวกันกับ ‘วิญญาณ’ ที่อยู่ในห้องอาหารพวกนั้นเหรอ
ไม่ใช่ดวงจิต
ไม่ใช่กายหยาบ
เป็นสภาวะ…ที่แปลกประหลาดยากที่จะอธิบายได้
นี่เรียกว่าสภาวะในกระจกงั้นเหรอ
โดยรวมแล้วโจวเจ๋อนั่งอยู่บนโซฟาทั้งคืน เขากำลังคิดหาวิธีที่จะออกไป ทำอย่างไรจึงจะออกไปจากที่นี่ได้ โจวเจ๋อลองเปิดประตูออกไปข้างนอกดูแล้วเช่นกัน แต่เขาพบว่าประตูรวมไปถึงผนังตรงนั้นต่างมี ‘กระจก’ กั้นอยู่หนึ่งชั้น เขาออกไปไม่ได้ด้วยซ้ำ ทำได้เพียงเคลื่อนไหวไปมาในพื้นที่แคบๆ นี้เท่านั้น
ดังนั้นในคืนนี้ถ้าไม่นั่งตระหนักถึงชีวิตอยู่บนโซฟา ก็จะยืนอยู่หน้ากรอบรูปมองดูนักพรตเฒ่าและสวี่ชิงหล่างรีบคิดหาวิธีต่างๆ เพื่อพยายามปลุกเขา
ที่จริง สิ่งที่โจวเจ๋อกังวลมากที่สุดในตอนนี้ก็ยังคงเป็นสวี่ชิงหล่างและนักพรตเฒ่าจะนำร่างของเขากลับไปที่ร้านหนังสือในเมืองในวันถัดไปเลยหรือไม่
แม้โจวเจ๋อจะมีนิสัยที่เด็ดเดี่ยวมาก แต่เขาก็ไม่อยากถูกสหายของตัวเองทอดทิ้งไปทั้งอย่างนี้จริงๆ แม้สหายของตัวเองอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจริงๆ แล้วตอนนี้เขาอยู่ในกระจก
โจวเจ๋อพยายามแม้กระทั่งเปิดน้ำใส่บ่อน้ำพุร้อนจากนั้นลงไปแช่อยู่สองสามครั้ง พบว่าแม้ตัวเองจะเอาหัวจุ่มลงไปในบ่อก็ยังไม่สามารถออกจากพื้นที่นี้ได้อยู่ดี ไม่ว่าจะวิธีไหนก็ตาม โจวเจ๋อลองทำมาหมดแล้ว และต่างก็ล้มเหลวทั้งหมด
สรุปว่าค่ำคืนนี้ผ่านไปอย่างเชื่องช้า เชื่องช้าเสียจนทำให้โจวเจ๋อรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง
เมื่อแสงแดดจางๆ ข้างนอกปรากฏขึ้น โจวเจ๋อค่อยๆ เงยหน้าขึ้น
เช้าแล้ว ใช่ไหม
‘แกรก…แกรก…’
ดูเหมือนว่ามีเสียงอะไรบางอย่างแตกละเอียด โจวเจ๋อลุกขึ้นเดินไปที่ประตู หลังจากเอื้อมมือเปิดประตูก็พบว่ามีกระจกด้านนอกแตกอยู่ ซึ่งเพียงพอที่จะให้คนเดินออกไปตามปกติ
นี่มันคล้ายกับอุโมงค์ที่ให้เด็กลอดในสวนสนุก เมื่อโจวเจ๋อเดินเข้าไป ทำได้เพียงเดินไปข้างหน้าตามเส้นทางที่มีอยู่เพียงเส้นเดียวนี้ไป เพราะรอบตัวมีกระจกบางๆ กั้นอยู่หนึ่งชั้น สามารถมองเห็นทั้งคนและทิวทัศน์ที่อยู่ข้างนอกได้ แต่ไม่สามารถออกไปได้
ต่อให้คุณจะใช้แรงมหาศาลแค่ไหน ก็ไม่สามารถทำลายกระจกชั้นนี้ได้แม้แต่นิดเดียว
เมื่อเดินไปเรื่อยๆ โจวเจ๋อเห็นประตูบานหนึ่ง ประตูเปิดอยู่ โจวเจ๋อจึงเดินเข้าไป
จากนั้นก็เห็นแสงสว่างขึ้นมาทันใด
หลังจากที่เดินผ่านทางเดินกระจกแคบๆ นานกว่าสิบนาที จู่ๆ ก็เดินเข้าไปในพื้นที่เปิดโล่ง รู้สึกเหมือนชาวประมงหลงเข้าไปในธารดอกท้อจริงๆ
แต่สถานที่ที่โจวเจ๋อเดินเข้าไปเป็นห้องอาหาร
รูปแบบบุฟเฟ่ต์
สภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย
มันคือห้องอาหารในรีสอร์ต
“คุณผู้ชายคะ กรุณาแสดงคีย์การ์ดห้องของคุณด้วยค่ะ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านข้างโจวเจ๋อ
โจวเจ๋อหันหน้าไปมองเธอ นี่เป็นพนักงาน แต่ว่าปากของเธออยู่เหนือดวงตา เครื่องหน้าทั้งห้ากลับหัวกลับหาง ให้ความรู้สึกน่าขนลุกมาก
โจวเจ๋อไม่ขยับ
อีกฝ่ายเอื้อมมือไปหยิบคีย์การ์ดออกมาจากตัวเขาเอง
“สวัสดีค่ะ รับประทานอาหารให้อร่อยนะคะ” พนักงานยิ้มกล่าว
รอยยิ้มนี้เป็นรอยยิ้มที่น่าสะพรึงที่สุดเท่าที่โจวเจ๋อเคยเห็นในชีวิตนี้ แม้แต่ปิกัสโซก็วาดออกมาแบบนี้ไม่ได้
มีคนในห้องอาหารไม่มากเท่าไรนัก แต่หลังจากที่โจวเจ๋อนั่งลงแล้วก็เริ่มมีแขกเข้ามารับประทานอาหารมากขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นฉากเดียวกันกับเมื่อวานเปี๊ยบเลย
เพียงแต่ว่าเมื่อวานนั้นโจวเจ๋อเป็นแค่ผู้ชม แต่ในครั้งนี้เขาเข้ามาร่วมด้วยแล้ว
โจวเจ๋อไม่ได้ไปหยิบของกิน เพียงแค่นั่งลงที่เดิมเหมือนเมื่อวานนี้อีกครั้ง ถ้าเป็นแบบนี้ โจวเจ๋อก็อยากจะรอดูว่า สวี่ชิงหล่างและนักพรตเฒ่าพวกเขาจะทะลุผ่านบ่อน้ำพุร้อนเข้ามาอีกหรือเปล่า
ยังไม่ทันได้รอสวี่ชิงหล่างและนักพรตเฒ่ามาถึง โจวเจ๋อกลับเห็นทั้งสามคนในครอบครัวนั้นมาถึงเสียก่อน พวกเขาก็นั่งลงที่เดิมที่เดียวกับเมื่อวานเช่นกัน ยังเป็นเด็กน้อยที่นั่งลงก่อน ส่วนพ่อแม่ก็ไปตักอาหาร
จากนั้น ครอบครัวที่ไร้ศีรษะทั้งสามคนก็นั่งนิ่งอยู่ตรงหน้าอาหารมากมายหลากหลาย
“สวัสดีครับ ว่าไง เจอกันอีกแล้วนะ” โจวเจ๋อแสร้งมีความสุขในความขมขื่น
แต่ทว่า ทั้งสามคนในครอบครัวนั้นที่ก่อนหน้านี้สื่อสารไม่ได้มาโดยตลอด จู่ๆ ก็เอี้ยวตัวหันกลับมาหาโจวเจ๋อ
พวกเขาไม่มีศีรษะ ตามหลักแล้วไม่สามารถพูดได้ และพวกเขาก็กินไม่ได้ด้วย
แต่พวกเขากลับเปล่งเสียงออกมา เปล่งเสียงพร้อมกัน
แม้จะเป็นเพียงคำง่ายๆ แค่คำเดียว
“ไง”
………………………………………………………