ตอนที่ 183 กดขี่!
โจวเจ๋อยืนอยู่ข้างๆ ราวกับว่าเขากำลังดูละครเวทีอยู่ นักแสดงต่างก็หมกมุ่นอยู่กับบทบาทของพวกเขา และไม่สนใจว่าผู้ชมกำลังดูการแสดงของพวกเขาหรือไม่
อันที่จริงพวกเขาเป็นตัวของตัวเองมากจริงๆ
เพลงที่เปิดอยู่เป็นเพลงญี่ปุ่น จังหวะให้ความรู้สึกที่ฮึกเหิม
จากนั้นทั้งสามคนในชุดเครื่องแบบทหารญี่ปุ่นก็เริ่มร้องเล่นเต้นรำ ในมือยังกวัดแกว่งดาบ เดาว่าดาบที่เลียนแบบดาบซามูไรน่าจะสั่งทำพิเศษจากแอปที่ลงท้ายว่าเป่า ทั้งฮัมเพลงและหมุนเป็นวงกลมตามจังหวะ ราวกับว่าพวกเขากำลังฉลองและเล่นคอสเพลย์กันอยู่
“นี่เพลงอะไร” โจวเจ๋อถามศีรษะของเด็กสาวที่อยู่ข้างๆ อันที่จริงโจวเจ๋อไม่ค่อยเข้าใจภาษาญี่ปุ่นจริงๆ
“เพลง ‘บัตโตไต’ นับว่าเป็นเพลงมาร์ชทหารของกองทัพญี่ปุ่น” เด็กสาวตอบ
“อ้อ ผมก็นึกว่าเป็นเพลงอุลตร้าแมนที่ไหนเสียอีก”
ทั้งสามคนเล่นกันอย่างสนุกสนาน ดูออกได้เลยว่าพวกเขาอินกับมันทั้งกายและใจ และลืมกำพืดของตัวเองไปอย่างสิ้นเชิง
ที่จริงแล้วมันดูโง่เง่ามาก เจ้าสามคนนี้ไม่ใช่ชาวญี่ปุ่น ก่อนหน้านี้ฟังสำเนียงและเนื้อหาตอนที่พวกเขาพูดคุยกันก็สามารถบอกได้แล้วว่าเป็นชาวจีนแท้ๆ
แต่ตอนนี้พวกเขาอินและมุ่งมั่นมากขนาดนี้ ราวกับว่ากำลังทำพิธีอันศักดิ์สิทธิ์สูงส่งบางอย่าง ซึ่งทำให้ผู้คนต้องนึกไปถึงสำนวน ‘ลิงสวมมงกุฎ’
การจะชอบการ์ตูน หนังบู๊ เพลง ดาราภาพยนตร์ และอื่นๆ ของที่นั่น จริงๆ แล้วเรื่องพวกนี้มันไม่เป็นไร และก็เป็นเรื่องปกติด้วย ทุกคนมีอิสระที่จะมีความประทับใจต่อประเทศไหนก็ได้ แต่คำพูดและการกระทำของเจ้าสามคนนี้เห็นได้ชัดว่ามันออกจะเกินความรู้สึกที่ว่าไปหน่อย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีสาเหตุมาจากการแพ้ชนะในเกมฟุตบอลเพียงแค่นัดหนึ่ง แต่กลับพูดออกมาว่าอยากให้การสังหารหมู่ของชาวญี่ปุ่นในจินหลิงในตอนนั้นทำให้ราบคาบกว่านี้อีกสักหน่อย นี่มันยิ่งกว่าอาชญากรรมที่ไม่ได้รับการอภัยโทษเสียอีก
การดูหมิ่นความเป็นตัวตนของตัวเองแล้วโหยหาอัตลักษณ์ของประเทศอื่นนั้น ทำให้โจวเจ๋อรู้สึกไม่สบายใจ เพราะเขาผ่านประสบการณ์ในหมู่บ้านซานเซียงมาก่อน ชาวบ้านในหมู่บ้านนั้น แม้จะตายไปแล้ว ก็ยังต้องทนทุกข์ทรมานจากความหิวโหยและความเจ็บปวดอย่างมาก แต่กลับปกป้อง ‘เสบียงของทหาร’ จนตัวตายอยู่เช่นเดิม
การกระทำของคนตายและคนเป็น กลายเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
ในตอนนี้เอง โจวเจ๋อได้ยินเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งถามคำถามเป็นภาษาญี่ปุ่น
เสียงนี้ฟังดูคุ้นหูนิดหน่อย
โจวเจ๋อมองไปทางศีรษะของเด็กสาวคนนี้
“ตอนนั้น…ฉันนึกว่าคนที่พักอยู่ห้องข้างๆ เป็นคนญี่ปุ่น ดังนั้นฉัน…เลยถือโอกาสทักทาย” เด็กสาวกัดฟันกรอด
“จุ๊ๆ” โจวเจ๋อสายหน้า นี่ไม่ใช่ว่าถ่อไปหาถึงที่ด้วยตัวเองก่อนหรอกเหรอ
หลังจากชายสามคนที่กำลังร้องเล่นเต้นรำอยู่ได้ยินหญิงสาวห้องข้างๆ เอ่ยทักทายเป็นภาษาญี่ปุ่นก็รีบหยุดทันที จากนั้นเดินออกไปพูดคุยกับเธอด้านนอกห้องนั่งเล่น พวกเขาไม่รู้ภาษาญี่ปุ่น นี่มันน่าขำมาก ตั้งใจอยากจะเป็นคนญี่ปุ่น ทว่าแม้แต่ภาษาญี่ปุ่นก็ไม่เคยเรียน
แต่ท้ายที่สุด เมื่อชายผมยาวไปเปิดประตู เด็กสาวก็ยืนอยู่ที่ประตูแล้ว
สำหรับเด็กสาวแล้วเป็นไปได้ว่ารู้สึกเหมือนได้เจอเพื่อนเก่าในต่างแดน ถึงอย่างไรตัวเองก็อยู่ต่างประเทศอยู่แล้ว ถ้าห้องข้างๆ ของเธอเป็นคนบ้านเกิดเมืองนอนเดียวกันจริงๆ ก็อดไม่ได้ที่จะใจร้อน อยากเข้าไปทำความสนิทชิดเชื้อกันไว้
เด็กสาวถูกเชื้อเชิญให้เข้าร่วมงานปาร์ตี้ของพวกเขา กระทั่งเธอยังร้องเพลงญี่ปุ่นอีกด้วย แม้ว่าชายทั้งสามคนจะฟังภาษาญี่ปุ่นไม่ออกก็ตาม แต่ทำท่าทีให้รู้สึกว่า ‘ยอดเยี่ยมทั้งที่ไม่เข้าใจ’ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ต่อจากนั้นทุกคนก็เริ่มดื่มเหล้าดื่มเบียร์
ต่อมาชายที่ตัดผมทรงทหารก็เริ่มลวนลามก่อน แม้เด็กสาวจะดื่มแต่เธอก็ยังมีสติอยู่เล็กน้อย รีบลุกขึ้นยืนแสดงท่าทีปฏิเสธทันที จากนั้นพูดเป็นภาษาจีนว่าจะกลับห้องของตัวเองแล้ว
เมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงตรงนี้ โจวเจ๋อหันหน้าไปถามศีรษะของเด็กสาว “คุณน่าจะดูออกว่าพวกเขาไม่ใช่ชาวญี่ปุ่นมาสักพักแล้วใช่ไหม”
“ฉันนึกว่าพวกเขาชื่นชมวัฒนธรรมญี่ปุ่น ฉันเลย…”
เมื่อได้ยินคำอธิบายนี้ โจวเจ๋อก็คิดว่ามันน่าสนใจมาก ตอนแรกที่ตัวเขาต่อสู้กับบาทหลวง ยังเคยถูกบาทหลวงเหน็บแนมว่าคนจีนชอบฟังคนต่างชาติพูดภาษาจีนมากที่สุด เพราะสิ่งนี้ทำให้ได้รับความพึงพอใจมหาศาล
เนื้อเรื่องหลังจากนี้เดาทางได้ง่ายๆ เลย เด็กสาวขัดขืน ชายหนุ่มปลุกปล้ำ แถมทั้งสามคนยังเข้ามาพร้อมกันอีก เป็นเพราะทั้งสามคนต่างก็ดื่มจนเมามาย ดังนั้นฉากสุดท้ายคือเด็กสาวถูกผ้าเช็ดตัวปิดปากร้องไห้คร่ำครวญและพยายามดิ้นรนขัดขืน
หลังจากเหตุการณ์จบลง เด็กสาวนอนอยู่บนพื้น แววตาเลื่อนลอย ร่างกายบิดเบี้ยว ชายสามคนนั้นคล้ายกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นในยุคนั้นที่ได้ตั๋วเที่ยวซ่องนางโลม หลังจากปลดปล่อยเสร็จก็เก็บงาน
ในช่วงยุคสมัยนั้น ชาวญี่ปุ่นได้จัดตั้งซ่องนางโลมขึ้นมากมายในที่ที่มีกองทหารประจำการอยู่ บังคับผู้หญิงจากหลายประเทศเข้ามาปู้ยี่ปู้ยำ นี่ก็เหมือนกับการดูหนังช่วงเวลาว่างในค่ายทหารญี่ปุ่น จำนวนตั๋วหนังที่แจกในแต่ละเดือนจะแตกต่างกันไปตามยศทหาร
ในเวลานี้ โจวเจ๋อหรี่ตาลงราวกับว่าฉากสำคัญกำลังจะมาแล้ว
ในท้ายที่สุดเด็กสาวก็ถูกหั่นอวัยวะ ชายสามคนนี้อยากจะฆ่าปิดปากอย่างนั้นเหรอ
แต่ถึงแม้จะอยากฆ่าปิดปากก็ไม่ควรสุดโต่งถึงขนาดใช้วิธีหั่นอวัยวะหรอกมั้ง
เพราะเหตุผลมันง่ายมาก การที่จะจัดการหั่นศพในรีสอร์ตนั้น มันยากที่จะไม่หลงเหลือร่องรอยทิ้งไว้ ถ้าหากคุณแค่อยากกำจัดให้สิ้นซากละก็ ไม่จำเป็นจะต้องทำในลักษณะแบบนี้
โจวเจ๋อยังคงดูอยู่ข้างๆ ต่อไป ถึงอย่างไรคำตอบก็จะออกมาในไม่ช้านี้
ชายทั้งสามคนดูเหมือนจะสร่างเมาแล้ว เมื่อมองดูสาวญี่ปุ่นที่กึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่บนพื้น สีหน้าของพวกเขาเผยให้เห็นถึงความหวาดกลัวเช่นกัน
เรื่องจริงมันก็เป็นเช่นนี้แหละ โดยทั่วไปแล้ว คนที่ชอบเล่นเกมตีป้อมบนอินเทอร์เน็ตหรือคนที่มองว่าตัวเองมีจิตวิญญาณเป็นชาวญี่ปุ่น การใช้ชีวิตในสังคมของพวกเขาค่อนข้างขี้ขลาด โดยทั่วไปคนประเภทนี้จัดอยู่ในจำพวกบทบาทเล็กๆ ที่ไม่มีนัยสำคัญอะไร ดังนั้นจึงหวังอย่างยิ่งที่จะได้รับความพึงพอใจกับความผิดแปลกอีกด้านหนึ่งของตัวเองจากที่อื่นๆ
เห็นได้ชัดว่าทั้งสามคนตื่นตระหนก ชายผมยาวถึงกับวิ่งเข้ามาขอโทษขอโพยไม่หยุด หวังว่าจะได้รับการให้อภัยจากเด็กสาวและไม่โทรแจ้งตำรวจ
ส่วนชายที่ตัดผมทรงทหารและชายหมวกแก็ปก็ตื่นตระหนกอยู่บ้างเช่นกัน
แต่ในขณะนั้น จู่ๆ ก็ปรากฏเงาสามเงาขึ้นบนพื้นใต้ฝ่าเท้า เงาทั้งสามที่ปรากฏออกมานี้ดูประหลาดมาก ไร้วี่แววลางสังหรณ์ใดๆ มาก่อน จากนั้นก็รวมเป็นหนึ่งเดียวกับเงาของชายทั้งสามคนนี้อย่างแน่นแฟ้น
ดวงตาของชายสามคนนี้ค่อยๆ ปรากฏความชั่วร้ายในแววตา
ต่อมาเป็นฉากที่โหดร้ายและยากที่จะทนดูตรงๆ ได้
เด็กสาวถูกตัดแขนและขา ร่างของเธอถูกวางไว้ริมขอบบ่อน้ำพุร้อนคล้ายกับการสังเวย จากนั้นชายทั้งสามก็คุกเข่าลงนั่งหันหน้าไปทางบ่อน้ำพุร้อน
พวกเขาเริ่มบริกรรมคาถาบางอย่าง และดูเหมือนว่ากำลังท่องบทสวดอยู่ แต่คราวนี้การออกเสียงเป็นสำเนียงภาษาญี่ปุ่นดั้งเดิมแท้
ถูกสิงร่างเข้าให้แล้ว!
แถมยังถูกครอบงำโดยพลการอีกต่างหาก!
ในฐานะคนที่ยืมซากศพคืนชีพมากก่อน โจวเจ๋อคุ้นเคยกับฉากนี้มาก
เมื่อศีรษะของเด็กสาวได้ยินคำสวดที่ท่องออกมาจากปากของชายทั้งสาม ก็แสดงอาการเจ็บปวดรวดร้าวมาก ร่างที่ไร้หัววิ่งจากลานบ้านเข้ามาในห้องนั่งเล่นและยื่นมือไปปิดหูของเธอ
ท่านี้ดูแปลกประหลาดมาก
ร่างหัวขาดยืนอยู่ข้างๆ และเอื้อมมือไปปิดหูของตัวเอง อีกทั้งศีรษะของเธอดันวางอยู่บนโต๊ะอีกต่างหาก
เสียงสวดพระคัมภีร์เป็นภาษาญี่ปุ่นนั้น เป็นความโหดร้ายทารุณและทรมานอย่างใหญ่หลวงสำหรับเด็กสาว
ลัลลาลา…
ฉากรอบๆ เริ่มบิดเบี้ยว จากนั้นค่อยๆ มลายหายไป
โจวเจ๋อจำได้เพียงแค่ฉากสุดท้าย ราวกับเป็นพิธีกรรมเรียกอะไรบางอย่าง และร่างของชายทั้งสามก็ค่อยๆ ถูกสูบจนเหลือเป็นซาก สุดท้ายกลายเป็นน้ำหนองแทรกซึมลงไปบนหินกรวดในลานบ้าน ร่างของเด็กสาวก็เช่นกัน ทั้งหมดละลายลงไปในบ่อน้ำพุร้อนคล้ายกับอาหารที่ถูกต้มเปื่อย
จากนั้น โจวเจ๋อเดินไปด้านหน้าเด็กสาวแล้วถามขึ้น “คุณตายตั้งแต่เมื่อไร”
“เมื่อหนึ่งปีก่อน” เด็กสาวตอบ
“หลังจากคุณตายก็อยู่ที่นี่แล้วอย่างนั้นเหรอ” โจวเจ๋อถามขึ้นอีก
“ใช่ค่ะ หลังจากที่ฉันตายก็อยู่ที่นี่ แต่พวกเขาอยู่ข้างๆ ห้องฉัน ฉันออกไปไม่ได้ สิ่งที่ฉันทำได้มีเพียงแค่มองดูความเคลื่อนไหวของแขกที่มาเข้าพักในภายหลังผ่านกระจกเท่านั้น ต่อมา ฉันก็พบว่าคนในห้องอาหารมีมากขึ้นเรื่อยๆ คนที่เสียชีวิตไปแล้วในแถบนี้ วิญญาณของพวกเขาจะเข้ามาด้วยตัวเองและพักอยู่ที่นี่ ในขณะเดียวก็จะมารับประทานอาหารที่ห้องอาหารตามเวลาที่แน่นอนด้วยค่ะ”
“งั้นทำไมก่อนหน้านี้คุณไม่หาทางแก้แค้นพวกเขาล่ะ” โจวเจ๋อถาม
“เพราะว่าก่อนหน้านี้ฉันผ่านไปไม่ได้ ตอนนี้ฉันสามารถผ่านไปได้แล้ว เพราะพวกเขาจากไปแล้ว มีบางอย่างกำลังจะฟื้นขึ้นแล้ว”
โจวเจ๋อเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “สิ่งนั้นมันคืออะไรกันแน่”
“ฉันไม่รู้ ฉันไม่รู้จริงๆ ค่ะ” เด็กสาวตอบ
“งั้นผมจะถามคำถามสุดท้ายกับคุณ ช่วงก่อนหน้าเคยมีครอบครัวสามคน มีพ่อแม่ที่พาลูกอายุประมาณห้าขวบมาพักอยู่ที่นี่หรือเปล่า”
“ใช่ค่ะ พวกเขาพักอยู่ที่นี่” เด็กสาวมองโจวเจ๋อและรู้สึกงงงวยเล็กน้อย “ตอนที่พวกเขาพักอยู่ที่นี่ ฉันได้ยินชายทั้งสามคนพูดว่า ครอบครัวนี้ทั้งสามคนเป็นเครื่องสังเวยที่ดีที่สุด
จากนั้นผ่านไปไม่กี่วัน ฉันก็เห็นทั้งสามคนในครอบครัวนั้นรับประทานอาหารที่ห้องอาหารตรงนั้น พวกเขาหัวขาดไปแล้วด้วย”
“สามคนนั้นเป็นคนฆ่าเหรอ แต่พวกเขาก็น่าจะตายไปแล้วนี่นา ไม่มีกายหยาบเหมือนกับคุณแล้ว ถูกฝังผนึกเอาไว้ในกระจก ออกไปไม่ได้ถึงจะถูก อีกอย่าง ทั้งสามคนนั้นจะเอาศีรษะของพวกเขาไปทำอะไรล่ะ”
“น่าจะทำเพื่อปลุกตัวเองให้ฟื้นขึ้นมาละมั้ง” เด็กสาวตอบ “ฉันเคยได้ยินการสนทนาของพวกเขามาไม่น้อย พวกเขาต่างก็คุยกันเป็นภาษาญี่ปุ่น พวกเขาปรารถนาที่จะเป็นอิสระมาก และปรารถนาที่จะหลุดพ้นออกจากการถูกกดขี่”
“ถูกกดขี่เหรอ”
“ใช่ค่ะ พวกเขาต่างจากฉัน ทั้งสามคนต่างจากวิญญาณที่เพิ่งจะมารวมตัวกันที่นี่ในภายหลังด้วย พวกเขามีอิสระมากกว่า พวกเขาสามารถเข้ามาในห้องของฉันได้ตลอดเวลาถ้าหากต้องการ แต่พวกเขาไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขารอโอกาสมาโดยตลอด รอโอกาสที่เหมาะสม”
โจวเจ๋อนั่งลงบนโซฟา
คดีนี้เริ่มต้นที่สามคนในครอบครัวนั้นถูกฆ่าปิดปาก จนถึงตอนนี้มีเรื่องพัวพันต่างๆ มากจนเกินไป
เหตุเกิดเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว
คนปัญญาอ่อนที่สวมจิตวิญญาณเป็นชาวญี่ปุ่นทั้งสามคนจัดปาร์ตี้กันที่นี่ จากนั้นดึงดูดเด็กสาวชาวญี่ปุ่นที่มาท่องเที่ยวประเทศจีนที่อยู่ห้องข้างๆ เข้ามา แล้วผู้สวมจิตวิญญาณชาวญี่ปุ่นทั้งสามคนก็เกิดอารมณ์กระสัน ถึงอย่างไรพวกเขาก็ใฝ่ฝันที่จะเป็นชาวญี่ปุ่นอยู่แล้ว มันยากที่จะปฏิเสธเด็กสาวชาวญี่ปุ่นที่มาเสิร์ฟถึงประตูห้อง
หรือไม่ก็ตอนที่ทำการ ‘ทำร้ายชีวิต’ ความคิดชั่วร้ายของพวกเขาถูกรับรู้เข้าแล้ว และมีความเป็นไปได้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาสวมเครื่องแบบทหารญี่ปุ่นและร้องเพลงญี่ปุ่นเลยเกิดเรื่องที่คล้ายกับการเล่น ‘ผีปากกา[1]’ ขึ้น
สรุปคือ ผีญี่ปุ่นสามตนที่เดิมทีถูกสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จักกดขี่ไว้ที่นี่ถูกเรียกออกมา จากนั้นก็สิงร่างพวกเขา ในขณะเดียวกันเด็กสาวชาวญี่ปุ่นผู้น่าสงสารคนนี้ก็ถูกเพื่อนร่วมชาติของเธอสังเวยอวัยวะไปด้วย
พวกที่สวมจิตวิญญาณชาวญี่ปุ่นทั้งสามก็ตายไปแล้ว นี่เป็นก้าวแรกในการได้รับอิสรภาพของพวกเขา จากสภาวะที่ถูกกดขี่เปลี่ยนเป็นวิญญาณที่ถูกผนึกเอาไว้ในกระจก ดูเหมือนถูกผนึกกักขังไว้ แต่พวกเขาก็น่าจะมีอิสระมากกว่าเมื่อก่อนอยู่บ้าง
พวกเขาน่าจะรอให้การบูชายัญปรากฏขึ้นในรอบต่อไป และนั่นก็คือครอบครัวสามคนนั้น ดังนั้นด้วยเหตุนี้ครอบครัวสามคนนั้นน่าจะพบกับวิธีการสังหารที่ชั่วร้าย และพวกเขายิ่งได้รับอิสระเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
สิ่งที่ทำให้โจวเจ๋อโกรธเล็กน้อยก็คือ เขาเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ผีญี่ปุ่นทั้งสามได้รับอิสรภาพมากขึ้นอีกขั้น
ผีโทรเข้าสายนั้นดึงดูดเขามา แล้วขังเขาไว้ในคุกแทนไอ้สามคนนั้น ทำให้พวกมันได้รับ ‘อิสระโดยสมบูรณ์’!
เห็นๆ กันอยู่ว่าเขาเป็นนักล่า กลับถูกไอ้พวกที่เดิมทีควรเป็นเหยื่อของเขาหลอกล่อจนเขาติดกับทะลุเข้ามาข้างในแล้ว
แต่ผีญี่ปุ่นทั้งสามคนนี้มันมาจากไหนกันแน่นะ
โจวเจ๋อรู้สึกได้ว่าวิญญาณที่ตายแล้วทั้งสามดวง ไม่ว่าจะมาจากกลอุบายหรือลูกไม้อะไรก็ช่าง มันไม่ใช่สิ่งที่ดวงวิญญาณธรรมดาสามารถเทียบกันได้ นี่ไม่ใช่เพราะว่าโจวเจ๋อกำลังอธิบายบางอย่างให้ตัวเองที่ตกหลุมพรางฟัง แต่เพราะวิธีการที่คล้ายกับพิธีบูชายัญแบบนั้น แม้แต่ยมทูตอย่างโจวเจ๋อยังทำไม่ได้เลย กระทั่งโจวเจ๋อยังคิดว่ายมทูตอาวุโสอย่างสาวน้อยโลลิก็น่าจะทำไม่เป็นเช่นกัน
วิญญาณทั้งสามเป็นมืออาชีพมากกว่ายมทูตอีกเหรอ
“อ้อ ใช่แล้ว” เหมือนว่าจู่ๆ เด็กสาวจะนึกอะไรออกจึงเอ่ยขึ้น “ในหนึ่งปีที่ผ่านมา ฉันได้ยินมาว่าพวกเขามักจะสาปแช่งคนคนหนึ่ง ฉันไม่รู้ว่าคนคนนั้นเป็นใคร แต่เดาว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับการผนึกพวกเขาเอาไว้มากทีเดียว”
“คนนั้นมีชื่อว่าอะไร” โจวเจ๋อเงยหน้าและถามขึ้น
“เฉาติ่ง”
…………………………………………………..
[1] ผีปากกา คล้ายกับการเล่นผีถ้วยแก้ว แต่ใช้ปากกาเป็นสื่อกลาง