ตอนที่ 184 หลบหนี!
เฉาติ่งเป็นใคร โจวเจ๋อรู้ดี ถึงอย่างไรสาวน้อยโลลิก็เปลี่ยนมาทำอาชีพนี้กลางทางและอาศัยความช่วยเหลือจากร่างของเด็กน้อยหวังหรุ่ย ส่วนเรื่องเดิมทีแล้วนางเป็นคนที่ไหนและตายเมื่อไร โจวเจ๋อไม่รู้ ทั้งยังขี้เกียจจะถามด้วย แต่เดาว่าน่าจะไม่ใช่คนในพื้นที่
ส่วนไป๋อิงอิงเป็นเด็กโง่ที่นอนอยู่ในโลงศพมาสองร้อยปี ปกติแล้วก็จะคุยเล่นกับแม่นางไป๋ที่เป็นเพื่อนรักในเรื่องมโนสาเร่ คุณเคยเห็นเพื่อนรักรวมตัวกันเผยแพร่ลัทธิความรักชาติตอนไหนหรือไม่
ดังนั้นทั้งสองคนนี้ถือว่าไม่ใช่คนทงเฉิงแท้ๆ แต่คนที่ตายแล้วเกิดใหม่อย่างโจวเป็นคนทงเฉิงทั้งสองชาติ เฉาติ่งคนนี้นับว่ามีชื่อเสียงมากในทงเฉิง แน่นอนว่าบุคคลที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในทงเฉิงคือจางเจี่ยน ผู้ร่างพระราชกฤษฎีกาสละราชสมบัติของจักรพรรดิราชวงศ์ชิง หลังจากนับคำนวณแล้ว เฉาติ่งก็ยังสามารถติดอยู่ในสิบอันดับแรก
วีรบุรุษต่อต้านญี่ปุ่น ดูเหมือนว่าตำแหน่งทางการของเขาจะไม่ค่อยมีชื่อเสียงมากนัก โจวเจ๋อพอรู้เรื่องพวกนี้อยู่บ้าง ส่วนสำคัญปลีกย่อยของเรื่องนั้นลืมไปตั้งนานแล้ว รู้เพียงแค่ว่าเขาเป็นบุคคลในสมัยราชวงศ์หมิง สมัยนั้นโจรสลัดญี่ปุ่นโหดร้ายมากที่สุด บริเวณชายฝั่งทะเลเต็มไปด้วยโจรสลัดญี่ปุ่น ทำให้กองทัพทางการปฏิบัติหน้าที่ต่อไปไม่ไหว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับโจรสลัดญี่ปุ่นเพียงสัมผัสถูกก็พังทลายลง ต่อมาเมื่อกลุ่มกองทัพของแม่ทัพชีจี้กวงค่อยๆ ยืนหยัดขึ้น ฝั่งกบฏญี่ปุ่นจึงค่อยๆ สงบลง
กล่าวได้ว่าเป็นเวลานานแล้ว ที่กองทัพทางการของราชวงศ์หมิง โดยพื้นฐานแล้วจัดอยู่ในระดับที่ไม่ได้ความ คล้ายกับตอนทำสงครามต่อต้านญี่ปุ่นในช่วงแรกๆ ที่กองทัพญี่ปุ่นรุกรานไปทางไหน ทางนั้นก็แทบจะราบเป็นหน้ากลอง และด้วยเหตุนี้ ผู้นำที่กล้าต่อต้านกระแสในขณะนั้น มักจะเป็นที่น่ายกย่องอย่างยิ่ง เพราะโดยพื้นฐานแล้วในช่วงนั้นแทบจะมองไม่เห็นความหวังที่จะชนะศึกเลย ดังนั้นนี่จึงเป็นการเผชิญหน้ากับคนนับพันที่ขวางทางแต่ก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญอย่างแท้จริง
ในเมื่อผีญี่ปุ่นทั้งสามนั้นเกลียดชังเฉาติ่ง โจวเจ๋อได้แต่อาจหาญคาดการณ์ว่าตัวตนของผีสามตนนั้นคงจะไม่ถูกซ่อนเอาไว้มานานถึงห้าร้อยปีหรอกใช่ไหม
การคาดการณ์นี้ช่างน่ากลัวมาก ทำให้โจวเจ๋ออดไม่ได้ที่จะต้องใคร่ครวญให้ละเอียดถี่ถ้วนอีกสักหน่อย
สิ่งที่สำคัญก็คือ เหล่าวิญญาณวีรบุรุษได้ปราบปรามเหล่าผีชั่วพวกนี้มานานหลายปีแล้ว อย่าจบลงด้วยการที่เขาเผลอตกหลุมพรางปล่อยพวกมันออกมาเชียวนะ ไม่อย่างนั้นความผิดของเขาก็คงจะใหญ่หลวงมากทีเดียว ถ้าหากไอ้ชั่วอัปยศทั้งสามคนนั้นถูกปล่อยตัวออกมา แล้วไปสร้างวีรกรรมที่ทงเฉิงหรือไม่ก็เขตพื้นที่บริเวณใกล้เคียงละก็ ในท้ายที่สุดผลกรรมเหล่านี้จะตกมาที่ตัวเขาหรือไม่
เถ้าแก่โจวไม่เคยปฏิเสธว่าเขาเป็นคนไม่เอาถ่านที่กลัวจะมีเรื่อง ปกติแล้วมีความคิดที่จะใช้ชีวิตไปวันๆ หรือก็คือกลัวทำงานมากอยากทำงานน้อยๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าถ้าเขาบังเอิญไปเปิดกล่องแพนโดราเข้าแล้วจะสะบัดมือปล่อยทิ้งและกลับไปนอนต่อ
“จะออกไปยังไง”
โจวเจ๋อถามคำถามที่สำคัญที่สุด แน่นอน โจวเจ๋อรู้ดีว่าสาวญี่ปุ่นที่อยู่ตรงหน้าเขานั้น เธอก็น่าจะไม่รู้วิธีที่จะออกไป
ที่แห่งนี้เปรียบเสมือนภาชนะพิเศษ โจวเจ๋อเดาว่าน่าจะเกิดจากสภาพแวดล้อมพิเศษของเขาเจียงจวิน วิญญาณวีรบุรุษของเฉาติ่งได้ปราบปรามกลุ่มโจรสลัดญี่ปุ่นกลุ่มนี้มาห้าร้อยปีแล้ว เดิมทีเป็นคุกขังชั้นหนึ่ง แต่วิญญาณของโจรสลัดกลับเริ่มแหกคุกหนีเหมือน ‘ชีวิตพลิกผันของเคานต์แห่งมองเต กรีสโต’
ไม่ได้แหกคุกหนีในอึดใจเดียว แต่เพิ่มความเป็นอิสระให้ตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ คล้ายกับค่อยๆ พาตัวเองที่เดิมทีอยู่ในคุกที่ลึกที่สุดและควบคุมอย่างแน่นหนาที่สุดเคลื่อนย้ายออกมา จนกระทั่งย้ายไปยังคุกที่มีการป้องกันอย่างหละหลวมบริเวณขอบนอกที่สุดของเรือนจำ
นี่มันเหมือนกับการประนีประนอมเล็กน้อย ดังนั้นจึงสร้างสถานที่ที่แปลกแยกแบบนี้ขึ้นมา ในโลกกระจกใบนี้ เห็นได้ชัดว่าวิญญาณไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอกได้ และนี่คือการพันธนาการชั้นสุดท้ายแล้ว
สาวญี่ปุ่นส่ายหน้า ในเวลานี้เธอนำศีรษะของเธอกลับไปวางบนคอของเธอใหม่อีกครั้ง
เธอไม่รู้ว่าจะออกไปอย่างไร ถ้าเธอรู้ก็คงจะออกไปล้างแค้นแล้ว จะรอจนถึงตอนนี้ทำไม
โจวเจ๋อเองก็จนปัญญา หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแต่ก็ไม่มีสัญญาณเหมือนเดิม โจวเจ๋อนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ นั่นก็คือก่อนหน้านี้ผีญี่ปุ่นสามตนสามารถเล่นผีโทรเข้าและเรียกเขามาที่นี่ได้ เขาเองก็ทำได้เหมือนกันใช่ไหม
เขาพยายามโทรหาสวี่ชิงหล่าง ปลายสายโทรศัพท์ยังคงดังไม่หยุด โทรติดด้วยสินะ
โจวเจ๋อเดินไปที่กรอบรูปด้วยความประหลาดใจ และมองดูสถานการณ์ของสวี่ชิงหล่างภายในนั้น
เขายังโทรไปหาอยู่ตลอด เสียงปลายสายก็ยังดัง ‘ตู๊ด…ตู๊ด…’ แต่ในสายตาของเขา สวี่ชิงหล่างกลับไม่สนใจจะรับสายโทรศัพท์เลยสักนิด
โทรติดน่ะมันติดแล้ว แต่อีกฝั่งจะไม่มีการตอบรับอะไรเลยเหรอ
โจวเจ๋อไม่ได้ยินเสียงข้างใน และก็ไม่รู้ว่าโทรศัพท์ของสวี่ชิงหล่างดังด้วยหรือเปล่า แต่มีความเป็นไปได้สูงที่โทรศัพท์ที่นั่นจะไม่ตอบสนอง
โจวเจ๋อพยายามโทรหาไป๋อิงอิงและสาวน้อยโลลิอีกครั้ง ปรากฏว่ามันโทรติดจริงๆ แต่ที่นั่นกลับไม่มีใครรับสายเลย
…
ตอนที่โจวเจ๋อพยายามโทรออกอยู่นั้น ไป๋อิงอิง สาวน้อยโลลิ และคนอื่นก็เข้ามาในรีสอร์ตแล้ว และกำลังเคาะประตูอยู่ด้านนอก
คนที่เปิดประตูคือสวี่ชิงหล่าง ใบหน้าของเขาซีดเซียว เหมือนภรรยาที่ดูแลสามีที่นอนป่วยอยู่บนเตียงราวกับแกะ
มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ยังจำได้ว่าคืนนั้นสวี่ชิงหล่างยังนอนหลับอยู่ แต่ปรากฏว่านักพรตเฒ่าแหกปากร้องว่าฉี่เป็นเลือด จากนั้นโจวเจ๋อก็นอนไม่ได้สติอยู่บนพื้น ตั้งแต่นั้นมาจนถึงตอนนี้ สวี่ชิงหล่างเป็นเหมือนหนูติดจั่นที่ยังไม่เคยถอนหายใจโล่งอกเลยสักครั้ง
ไป๋อิงอิงเห็นเถ้าแก่ที่นอนหมดสติบนโซฟาทันทีและตรงไปนั่งคุกเข่าข้างๆ โซฟา เอื้อมมือออกไปกุมมือเถ้าแก่ไว้พลางร้องเรียกให้เถ้าแก่ตื่นขึ้นมาไม่หยุด อย่าได้ทิ้งอิงอิงเอาไว้
เมื่อคนรอบข้างเห็นฉากนี้มุมปากก็กระตุกอย่างไม่รู้ตัว
ข้อร้องล่ะ โจวเจ๋อยังไม่ตายสักหน่อย
คุณนี่ชักจะโอเวอร์เกินไปหน่อยแล้ว ดูเหมือนกับนางสนมในตระกูลใหญ่สมัยโบราณที่ร้องไห้แล้วเก็บข้าวเก็บของเตรียมหนีไปไม่มีผิด
เห็นได้ชัดว่าสาวน้อยโลลิดูนิ่งสงบกว่ามาก จากมุมมองของนาง นางดูเหมือนจะกังวลว่าตอนนี้โจวเจ๋อยังมีสติสัมปชัญญะหรือไม่ ถ้าเขาอยู่ในอาการโคม่าแต่ยังมีสติสัมปชัญญะอยู่ อย่างนั้นชีวิตของนางก็ยังอยู่ในกำมือของเขา แต่ถ้าเป็นอาการโคม่าที่ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะแล้ว
อย่างนั้นตอนนี้นางฆ่าเขาทิ้งก็จะเป็นอิสระแล้วใช่หรือเปล่า
แน่นอนว่าสาวน้อยโลลิทำได้แค่คิดเท่านั้น เฉกเช่นชายคนหนึ่งที่เดินอยู่บนถนนเมื่อเห็นสาวงามตั้งแต่อ้วนยันผอมริมถนนก็เพียงแค่คิดไม่ซื่อแบบไม่รู้ตัวเท่านั้น นางไม่กล้าทำและไม่กล้าเสี่ยงด้วย
ในท้ายที่สุด สาวน้อยโลลิเดินไปข้างๆ โจวเจ๋อเพื่อตรวจดูสถานการณ์ของโจวเจ๋อ
นักพรตเฒ่าเริ่มอธิบายรายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาอีกครั้ง
“เป็นอย่างไรบ้าง” ไป๋อิงอิงถามสาวน้อยโลลิ
“ดวงวิญญาณยังอยู่” สาวน้อยโลลิขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น “แต่มันไม่สมบูรณ์”
“ไม่สมบูรณ์งั้นหรือ”
สาวน้อยโลลิมองไปรอบๆ ดูเหมือนนางกำลังมองหาอะไรบางอย่าง
“ใช่ ไม่สมบูรณ์ เขาถึงไม่สามารถฟื้นขึ้นมาได้อย่างไรล่ะ”
เมื่อนักพรตเฒ่าที่อยู่อีกฝั่งได้ยินดังนั้นก็พูดขึ้น “ข้าเหมือนจะจำได้ว่า ในนิยายอิงพงศาวดารเรื่องห้องสิน มีพรรคมารที่เหมือนจะมีอาวุธวิเศษที่สามารถพาส่วนหนึ่งของดวงวิญญาณมนุษย์ออกไปได้หรืออะไรสักอย่างนี่แหละ”
สาวน้อยโลลิเมินคำพูดของนักพรตเฒ่า ยิ่งไปกว่านั้นไม่มีเวลาไปศึกษาเรื่องห้องสินอะไรกับเขาด้วยหรอก นางเริ่มเดินดูภายในห้องนี้ โดยเฉพาะหลังจากเห็นเศษกระจกในห้องน้ำแตกไปทั่วพื้นแล้ว สายตาของนางก็จับจ้องตำแหน่งของภาชนะบางอย่างที่สามารถสะท้อนแสงได้
กระทั่งในตอนสุดท้าย สาวน้อยโลลิยืนอยู่หน้ากรอบรูปม้าแปดตัวในห้องนั่งเล่นและเริ่มมองเข้าไปในกรอบกระจก
…
จากมุมมองของโจวเจ๋อ ตอนนี้ยิ่งเหมือนกับว่าสาวน้อยโลลิกำลังสบตากับเขาอยู่ แต่นางน่าจะมองไม่เห็นภายใน นี่ก็เพียงพอแล้วที่แสดงให้เห็นว่า ระดับความสามารถและประสบการณ์ของสาวน้อยโลลินั้นมากเกินกว่าคนอื่นๆ รอบข้าง
เหล่าสวี่และนักพรตเฒ่ากำลังศึกษาหาหนทางว่าจะทำให้โจวเจ๋อที่อยู่ในอาการโคม่าฟื้นขึ้นมาได้อย่างไร แต่กลับไม่เคยเอะใจเลยว่าจริงๆ แล้วโจวเจ๋อนั้นถูกขังอยู่ข้างๆ พวกเขา
“เธอสามารถมองเห็นคุณไหมคะ” สาวญี่ปุ่นที่อยู่ด้านข้างพูดขึ้น
“ให้เวลาเธออีกสักหน่อย เธอก็น่าจะรู้ได้” โจวเจ๋อมองโทรศัพท์ต่อไป อันที่จริงปัญหาที่น่ากระอักกระอ่วนในตอนนี้ก็คือ แม้ว่าจะให้เวลาสาวน้อยโลลิไปอีกสักพัก หรือแม้ว่าเธอจะมั่นใจว่าเขาอยู่ในกระจก
แต่เขาจะออกไปได้อย่างไรนี่สิ
จะต้องมีทางออกไปได้อย่างแน่นอน โจวเจ๋อเชื่อมั่น นี่มันเหมือนเผชิญกับเกมที่ซับซ้อน แต่คุณต้องมีเวลาเพียงพอเพื่อให้เขาเล่นจนผ่านด่าน อย่างน้อยที่สุดก็จะได้ประสบการณ์จากการทดลองที่ล้มเหลวมานับครั้งไม่ถ้วน แต่โจวเจ๋อในตอนนี้ไม่ได้มีเวลามากขนาดนั้น ต้องบอกก่อนว่าผีญี่ปุ่นสามตัวนั้นอยู่ที่นี่มาหนึ่งปีแล้ว และที่สำคัญที่สุดก็คือพวกมันอาจจะเล่นเกมนี้มาห้าร้อยปีแล้วก็ได้!
‘เพล้ง…’
เสียงกระจกแตกดังมาจากนอกประตู
สาวญี่ปุ่นมองโจวเจ๋อและพูดว่า “ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว”
“…” โจวเจ๋อ
“คุณไม่ไปเหรอคะ” สาวญี่ปุ่นถามต่อ
“คุณหิวเหรอ หรือไม่ก็ คุณหิวได้ด้วยเหรอ” โจวเจ๋อถาม
“แค่อยากออกไปเดินเล่นน่ะ”
โจวเจ๋อเข้าใจแล้วว่า การรับประทานอาหารสำหรับคนที่อยู่ในกระจกนั้นก็คล้ายกับนักโทษในคุกที่ถูกปล่อยตัวให้สนุกกับกิจกรรมกลางแจ้งเป็นประจำ
“ผมไม่สะ…”
โจวเจ๋อยังพูดไม่จบ
ทันใดนั้นเสียง ‘เพล้ง…เพล้ง…เพล้ง…’ ดังออกมาจากข้างนอกเรื่อยๆ
โจวเจ๋อรีบพุ่งไปที่ประตูและเปิดมันออกทันที
ใช่แล้ว
เดิมทีข้างนอกควรจะเป็นทางเดินกระจกที่นำไปสู่ห้องอาหาร แต่ในเวลานี้กระจกรอบๆ เริ่มแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทีละนิด วิญญาณที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มเดินกระเจิดกระเจิงไปทั่วทุกสารทิศอย่างมึนงง ราวกับว่าพวกมันสูญเสียการควบคุมจากพันธนาการเดิมจนสับสนวุ่นวายทำอะไรไม่ถูก
“เกิดอะไรขึ้น” โจวเจ๋อถามสาวญี่ปุ่นที่อยู่ข้างหลังเขา
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ” สาวญี่ปุ่นก็เผยสีหน้าประหลาดใจเช่นกัน
โจวเจ๋อรีบวิ่งออกไปนอกประตู กระจกรอบๆ ทั้งไกลและใกล้ต่างก็แตกกระจายอย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้ทำให้โจวเจ๋อรู้สึกมีลางสังหรณ์ว่าเป็นลางร้าย ที่จริงตอนนี้เขาถูกขังจนเป็นนักโทษของที่นี่แล้ว แต่กระจกที่สามารถเข้าใจได้ว่าเป็นกรงเหล็กในเรือนจำ ตอนนี้กรงเหล็กกำลังพังทลายหายไปอย่างต่อเนื่อง สำหรับนักโทษแล้วอันที่จริงมันน่าจะเป็นเรื่องที่ดีมากเรื่องหนึ่ง เพราะพวกเขากำลังจะได้รับอิสระ
แต่สำหรับโจวเจ๋อแล้วกลับต่างออกไป เพราะนี่หมายความว่าข้อห้ามและพันธนาการของที่นี่กำลังจะสูญสลาย สิ่งที่ถูกกดขี่เอาไว้กำลังจ้องหาโอกาสที่จะหลบหนี
วิญญาณของที่นี่เริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะสาเหตุพิเศษของเขาเจียงจวิน ดังนั้นวิญญาณของคนที่เสียชีวิตในบริเวณใกล้เคียงต่างก็มารวมตัวกันที่นี่โดยไม่รู้ตัว ซึ่งคล้ายกับแหล่งโภคทรัพย์ขุมทรัพย์
แต่ตอนนี้คนกลุ่มนี้เริ่มก้าวไปข้างหน้าอย่างงุนงง เหมือนได้รับการชักจูงอะไรบางอย่าง
โจวเจ๋อกำลังเดินอยู่ท่ามกลางฝูงชน เขาอยากรู้ว่าที่มาของเรื่องทั้งหมดนี้คืออะไรกันแน่
ในที่สุด
โจวเจ๋อก็มองเห็นธงที่อยู่ตรงหน้า และใต้ธงนั้นมีชุดเกราะซามูไรสีดำสามชุดวางอยู่ บนชุดเกราะซามูไรมีร่องรอยความเสียหายจำนวนมาก แต่กลับแสดงให้เห็นถึงความน่าเกรงขามเป็นพิเศษ
ธงเปล่งแสงสีดำปกคลุมเป็นวงกว้าง วิญญาณที่มีอยู่ทั้งหมดถูกดึงดูดเข้ามา เพียงแค่เข้าไปในวงนี้ก็จะถูกมัดด้วยสายสีดำ แต่ชุดเกราะสามชุดที่เดิมทีวางเรียงซ้อนกันนิ่งๆ อย่างเรียบร้อยอยู่ตรงนั้น
ภายในนั้นเริ่มขยายออกอย่างช้าๆ…
………………………………………………………….