ตอนที่ 187 กำจัดทิ้ง!
โจวเจ๋อไม่ได้เลือกเข้าไปในบริเวณที่ธงปกคลุมอยู่โดยพลการ เพราะเขาไม่แน่ใจว่าธงผืนนั้นจะมีผลกระทบกับเขาเป็นพิเศษหรือไม่
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าการไม่ได้เข้าไปตรงนั้นจะไม่มีหนทางอื่นแล้ว
ในตอนนี้เวลานี้ เถ้าแก่โจวยืนร่ายสะบัดเล็บของเขาอยู่นอกวง เพื่อขู่ดวงวิญญาณด้านนอกที่ถูกดึงดูดให้ไม่กล้าเดินเข้าไปในเขตของธง
ชุดเกราะทั้งสามชุดนี้อาศัยพลังจากดวงวิญญาณที่เข้าไปเหล่านี้เพื่อฟื้นคืนความชั่วร้าย การสกัดกั้นวิญญาณไม่ให้เข้าไปถือว่าเป็นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม
ส่วนสาวญี่ปุ่นยืนอยู่ข้างๆ โจวเจ๋อ ดวงตาของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงและทุกส่วนของร่างกายเริ่มบิดเบี้ยว แผ่ซ่านกลิ่นอายในร่างกายตัวเองเพื่อช่วยโจวเจ๋อข่มขู่วิญญาณเหล่านี้ด้วยกัน
อันที่จริงวิญญาณส่วนใหญ่ในที่นี้ต่างเรียกได้ว่าเป็น ‘วิญญาณ’ เท่านั้น ยังไม่ถึงขั้นที่จะเรียกว่า ‘ผี’ ได้ด้วยซ้ำ เพราะเดิมทีพวกมันควรจะลงนรก เพียงแต่หลังจากที่ตายแล้วกลับถูกสภาพแวดล้อมสนามแม่เหล็กพิเศษของเขาเจียงจวิน ‘กักขัง’ และนำมารวมตัวกันที่นี่
แต่สาวญี่ปุ่นนั้นเป็นผีตัวจริงเสียงจริง มีความเคียดแค้นฝังลึก และด้วยเหตุนี้เธอเลยประคองสติตัวเองในสภาพแวดล้อมอย่างนี้ได้
ไม่ใช่เพราะข้างในเป็นการวางหมากของชาวญี่ปุ่นเธอถึงได้มีความคิดอื่น สำหรับเธอแล้ว ชีวิตดีๆ ของเธอถูก ‘เพื่อนร่วมชาติ’ ของเธอทำลายจนย่อยยับ ตอนนี้เธอต้องการแก้แค้นเพียงอย่างเดียวเท่านั้น!
อันที่จริงโจวเจ๋อก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นไอ้งั่งอยู่เหมือนกัน มันเหมือนกับผู้ใหญ่ถือมีดข่มขู่และสั่งให้เด็กๆ ในโรงเรียนอนุบาลห้ามขยับเด็ดขาด มันเป็นเรื่องที่หยาบคายมากอย่างหนึ่ง แต่กลับเป็นสิ่งเดียวที่โจวเจ๋อสามารถทำได้ในตอนนี้
โจวเจ๋อไม่กล้าเสี่ยง ถ้าเกิดว่าตัวเองบุกเข้าไปฆ่าตรงๆ แล้วได้รับผลกระทบจากธงประหลาดนั่นขึ้นมา เรื่องก็จะยุ่งยากบานปลายเข้าจริงๆ
ต้องรู้ก่อนว่าเขาต่างจากวิญญาณเหล่านั้น ถ้าหากว่าพวกมันเป็นก้อนแบตเตอรี่ละก็ อย่างนั้นเขาก็เป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แล้วละ
โจวเจ๋อพยายามเปิดประตูแห่งนรกภูมิเพื่อรับเอาวิญญาณไป แต่เดาว่าสาเหตุคงเป็นเพราะอยู่ในโลกกระจกทำให้ไม่สามารถเปิดประตูแห่งนรกภูมิได้ แต่อย่างน้อยโจวเจ๋อก็แน่ใจว่า ตอนนี้โลกที่แท้จริงภายนอกนั้นจะต้องสับสนอลหม่านกันอย่างแน่นอน ไม่รู้ว่าพวกไป๋อิงอิงและสาวน้อยโลลิจะรับมือไหวหรือไม่
แต่ในความเป็นจริง ถ้าไม่ใช่เพราะโจวเจ๋อหยุดมันได้ทันเวลา ทำให้หนึ่งในชุดเกราะที่ฟื้นตื่นขึ้นมาสูญเสียแหล่งที่มาของพลังงานชั่วร้ายอย่างต่อเนื่องละก็ บางทีสถานการณ์ภายนอกอาจเลวร้ายลงสุดขีดไปนานแล้วก็ได้
การเปลี่ยนแปลงราวกับรถไฟเหาะของนักรบซามูไรก่อนหน้านี้ก็มาจากสาเหตุนี้เอง
โจวเจ๋อให้ความสนใจกับเหล่าดวงวิญญาณตรงหน้าที่สับสนมึนงงและอยากจะเดินไปทางนี้ตามสัญญาณเท่านั้น อีกด้านหนึ่งก็ให้ความสนใจกับสถานการณ์ที่อยู่เบื้องหลังด้วย เขาพบว่าชุดเกราะสีดำที่ลอยอยู่พังทลายไปเจ็ดถึงแปดส่วนแล้ว นับว่าโล่งอกขึ้นมาเปราะหนึ่ง คาดว่าสถานการณ์ภายนอกไม่น่าจะอยู่นอกเหนือการควบคุมไปเสียทั้งหมดใช่หรือไม่
แต่ทว่า ในเวลานี้เอง ชายสามคนที่สวมเครื่องแบบทหารญี่ปุ่นและร้องเพลงเต้นรำไปรอบๆ เสาธงเพื่อช่วยดึงดูดวิญญาณของคนตายมารวมกันถือดาบไว้ในมือและพุ่งเข้าหาโจวเจ๋อ พร้อมกับตะโกนอะไรบางอย่างอีกด้วย
โจวเจ๋อไม่สนใจดาบในมือของพวกเขา เมื่อคนแรกพุ่งเข้ามา เขาพลิกมือใช้เล็บคว้าดาบของอีกฝ่ายทันที ต่อจากนั้นบอกได้ว่า อีกฝ่ายพุ่งเข้าหาโจวเจ๋อก่อนจะเสียหลักเนื่องจากแรงเฉื่อย โจวเจ๋อจึงคว้าเข้าที่คอของอีกฝ่ายไว้โดยตรง เล็บทั้งห้านิ้วแทงเข้าไปที่คออีกฝ่ายอย่างไร้ความปรานี!
“อยากจะเป็นปีศาจจนคลั่งไปแล้วใช่ไหม” โจวเจ๋อเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
“อ๊ากกกก!!!!!!!”
ชายหนุ่มส่งเสียงร้องออกมาอย่างทรมาน ในเวลานี้เอง ราวกับว่าเขาได้สติคืนมาในชั่วประเดี๋ยวนั้น
ในเวลานี้สัญชาตญาณ ‘การเอาชีวิตรอด’ พื้นฐานเริ่มทำงาน เขามองไปที่โจวเจ๋อและขอร้องอ้อนวอน
“ผมไม่ใช่คนญี่ปุ่น ผมเป็นคนจีน ผมเป็นคนจีน…”
โจวเจ๋อไม่มีความเกรงใจเลยแม้แต่นิด จัดการหักคอของเขาทันที ในขณะเดียวกันมวลรัศมีสีดำบนเล็บกลับกลายเป็น ‘ใบมีด’ ที่แหลมคมที่สุด แล้วสับวิญญาณจนแหลกละเอียดในชั่วพริบตา!
สำหรับขยะสังคมประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องหลงเหลือความรู้สึกเห็นใจใดๆ วิญญาณแตกซ่านไม่มีทางกลับมาเกิดใหม่อีกตลอดไป นั่นถึงจะเป็นสิ่งที่พวกมันสมควรได้รับ
อย่างไรก็ตาม บางทีอาจเป็นเพราะโจวเจ๋อฆ่าสหายคนหนึ่งของพวกมันไปอย่างง่ายดายและป่าเถื่อน ทำให้อีกสองคนที่เหลือเกิดความรู้สึกหวาดกลัวถึงขีดสุด พวกมันไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า ไม่กล้าออกจากอาณาเขตที่ธงกำหนดไว้ มันหันหลังเดินตรงไปข้างหน้าชุดเกราะทั้งสองชุดที่ยังไม่ฟื้นขึ้นมา และเริ่มสวมชุดเกราะ
…
นักพรตเฒ่าถือดาบซามูไร กางขาออกเล็กน้อยและก้าวออกไปแปดก้าว
ที่จริงแล้วรูปลักษณ์ของเขาแต่เดิมนั้นดูไม่เลวเลยทีเดียว เหมือนนักพรตอาวุโสที่มีกลิ่นอายของเซียน แต่เขาในตอนนี้กลับเผยให้เห็นถึงความเรียบง่ายและไม่ปรุงแต่ง
หนึ่งคนกับดาบหนึ่งเล่ม
เมื่อห้าร้อยปีก่อน ตอนที่โจรสลัดญี่ปุ่นบุกทำลายล้างเมืองทงเฉิง กองกำลังทหารกระจัดกระจาย ทหารเฝ้ายามก็ต้านไม่ไหว เขาเคยต้านกระแสมาหลายครั้งหลายหน เป็นฝ่ายบุกไปประจันหน้ายังพื้นที่ที่โจรสลัดญี่ปุ่นก่อจลาจล
เมื่ออายุได้สี่สิบสี่ปี เขาก็แก่ลงมากแล้ว (คนโบราณแก่ไวและอยู่ได้ไม่นาน) หลังจากได้ยินสัญญาณเตือน ก็ขึ้นควบม้าของตัวเองโดยไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย พร้อมถือดาบของตัวเองพุ่งเข้าไปก่อน พงศาวดารท้องถิ่นของทงเฉิงมีบันทึกไว้อย่างละเอียด ในการต่อสู้ครั้งนั้น เขาบุกเข้าไปฆ่าศัตรูสามครั้งสามครา นำพาชาวบ้านท้องถิ่นทงเฉิงขับไล่โจรสลัดญี่ปุ่น แต่ตัวเองกลับเสียชีวิตในการไล่ล่า
ในท้องถิ่นทงเฉิงมีรูปปั้นของเฉาติ่งมากมาย ถ้าหากลองสังเกตดีๆ ก็จะพบว่านิ้วมือข้างซ้ายของรูปปั้นเฉาติ่งขาดไปสองนิ้ว
สาเหตุก็คือเมื่อเฉาติ่งได้ยินมาว่ามีโจรสลัดญี่ปุ่นโจมตีก็เริ่มลับคมดาบ และลองใช้นิ้วของเขาทดสอบระดับความคมของดาบ ปรากฏว่าทั้งสองนิ้วของเขาถูกเฉือนจนขาดทันที เฉาติ่งหัวเราะออกมา และรีบจับดาบไปฆ่าโจรสลัดญี่ปุ่นทันที
ในตอนนั้นเฉาติ่งออกจากกองทัพไปนานแล้ว สถานะของเขาในตอนนั้นเป็นเพียงเถ้าแก่ร้านบะหมี่ในท้องถิ่นทงเฉิงเท่านั้น
นักพรตเฒ่าไม่เคยสะใจขนาดนี้มาก่อน!
มุมมองแรก!
ความรู้สึกแรก!
ผู้ชมคนแรก!
แม้ว่าจะไม่ได้ควบคุมร่างกายด้วยตัวเอง เห็นได้ชัดว่าถูกควบคุมโดยเจตจำนงของสิ่งที่มาจากภายนอก แต่นักพรตเฒ่ากลับรู้สึกพึงพอใจมาก
สิ่งที่น่าเสียดายเพียงอย่างเดียวก็น่าจะเป็นเพราะตอนนี้ไม่มีใครมีเวลาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายวิดีโอให้เขานี่สิ
กว่าจะได้โอกาสแสดงความเก่งกาจทั้งทีมันไม่ง่ายเลยนะ!
เฉาติ่งไม่พูดอะไรมากมาย นี่ทำให้นักพรตเฒ่าไม่พอใจมาก พูดเยอะๆ หน่อยสิ ให้แสงสปอตไลต์เยอะๆ หน่อยสิ ไม่พูดพร่ำทำเพลง ทรายและหินพลันปลิวว่อนคละคลุ้งไปทั่ว พระจันทร์สีเลือดจะโผล่ออกมาจากก้อนเมฆ อย่างน้อยช่วยเขาแสดงให้สมบทบาทอย่างสมบูรณ์แบบหน่อยก็ได้มั้ง
แน่นอนว่าพวกนี้เป็นเพียงการว่าร้ายภายในใจของนักพรตเฒ่าเท่านั้น
แต่ทว่าในความเป็นจริง ก่อนที่เฉาติ่งจะตายในสนามรบในปีนั้น ก็เพิ่งจะพันแผลที่นิ้วของเขาไปแล้วตะโกนว่า
“ฆ่าญี่ปุ่น”
จนกระทั่งเขาตายในสนามรบ ไม่มีคำพูดอื่นอีกแล้ว แต่เขากลับใช้เวลาทั้งชีวิตจนกระทั่งให้สัญญากับตัวเองว่าอีกห้าร้อยปีข้างหน้าจะใช้สองคำนี้ในเส้นทางนี้ไปตลอด
นักพรตเฒ่าเดินตรงเข้าไป นักรบซามูไรเริ่มถอยหลัง แต่ครู่ต่อมา นักพรตเฒ่าเริ่มเร่งความเร็ว มีเพียงสวรรค์ที่รู้ว่านักพรตเฒ่าวิ่งได้เร็วแค่ไหน
นักรบซามูไรไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากเริ่มโจมตีก่อน ลักษณะพลังของมันอ่อนแอลงไปมาก เพราะมันรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่นั้นไม่ใช่นักพรตเฒ่าคนนี้เท่านั้น แต่เป็นตัวตนที่ทำให้มันรู้สึกหวาดกลัวมานับห้าร้อยปี
ดาบเดียว
เพียงแค่ดาบเดียวเท่านั้น
ปราศจากความหรูหราโออ่าใดๆ
ปราศจากความเยิ่นเย้อเสียเวลา
ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนจัดการได้อย่างง่ายดาย สิ่งที่เผยออกมาให้เห็นนี้ ทำให้คนรู้สึกไม่คาดคิด กระทั่งรู้สึกว่าง่ายดายเกินไปไม่สะใจเลย
หมวกเกราะของนักรบซามูไรถูกแทงทะลุจนระเบิดแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทันที ยังมีชุดเกราะที่ใกล้จะแตกหักอยู่รอมร่อ
ดาบนี้เป็นเพียงพลังสุดท้ายที่จะผลักนักรบซามูไรไปที่หน้าผาเท่านั้น อันที่จริงก่อนหน้านี้ไป๋อิงอิง สวี่ชิงหล่าง และสาวน้อยโลลิได้จัดการนักรบซามูไรที่เข้มแข็งเกรียงไกรไปจนเหลือเพียงซากทรุดโทรมเป็นม้าตีนปลายแล้ว
เพียงแต่ทั้งหมดนี้มันยังไม่จบ
ในเวลานี้เองชุดเกราะที่เดิมทีวางนิ่งๆ อยู่บนกล่องไม้ผุๆ กลับพองขึ้นอย่างช้าๆ คล้ายกับมีคนสวมใส่พวกมัน
นักพรตเฒ่ายังคงเดินไปทางนั้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว
มีโจรสลัดญี่ปุ่น
ฆ่าทิ้งเสียก็สิ้นเรื่อง ไม่จำเป็นต้องพล่ามเยอะ
นักรบซามูไรที่ปรากฏตัวมาใหม่ทั้งสอง ดูเหมือนจะยังปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้ไม่เต็มที่ แต่พวกมันสัมผัสถึงวิกฤติได้โดยสัญชาตญาณ นักรบซามูไรคนหนึ่งยกดาบซามูไรฟันไปทางนักพรตเฒ่าทันที
‘ชิ้ง!’
เสียงดาบกระทบเข้าด้วยกัน
นักพรตเฒ่าเข่าอ่อนจนคุกเข่าลงไปบนพื้นข้างหนึ่ง
นักพรตเฒ่าอึดอัดในใจ เขารู้ดีว่าเป็นเพราะแขนขาแก่หง่อมนี้ ไม่เหมาะให้วิญญาณวีรบุรุษแสดงพลัง หมายความว่ารู้สึกเป็นตัวถ่วงนิดหน่อย
แต่ในขณะที่คุกเข่า ดาบซามูไรในมือนักพรตเฒ่ากลับถูกยกจากด้านล่างสู่ด้านบนขึ้นตั้งอย่างนุ่มนวล!
‘ฉึก…’
คมดาบแทงเข้าไปในชุดเกราะลึกและทิ้งรอยที่ลึกมากๆ เอาไว้ตรงนั้น
นักพรตเฒ่ายันพื้นด้วยฝ่ามือเดียวและลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นงอแขนแทงปลายดาบจากข้างหลังไปข้างหน้า ในขณะเดียวกันไหล่และต้นขาก็กระแทกเข้ากับร่างของนักรบซามูไรก่อนทีละคนอย่างแรง ทำให้นักรบซามูไรไม่สามารถรักษาจุดศูนย์ถ่วงไว้ได้ในเวลานี้
‘กี้ด…’
เสียงเสียดสีแสบหูดังลอยมา
ดาบซามูไรในมือของนักพรตเฒ่าพาดอยู่บนคอนักรบซามูไรแล้ว แน่นอนว่านักรบซามูไรไม่มีคอ แต่คมดาบของดาบซามูไรกลับกดอยู่ใต้หมวกเกราะของมันเพียงเล็กน้อย
ควบคุมสถานการณ์ได้อย่างง่ายๆ สบายๆ!
แต่ทว่าในเวลานี้เอง ปรากฏใบหน้าขึ้นภายใต้หมวกเกราะ ใบหน้าที่บิดเบี้ยวและตื่นตระหนก ในขณะเดียวกันใบหน้านี้ก็ตะโกนเสียงดัง
“ข้าเป็นชาวจีน ข้าเป็นชาวจีน ข้าไม่ใช่ชาวญี่ปุ่น ข้าไม่ใช่โจรสลัดญี่ปุ่น ไม่ใช่โจรสลัดญี่ปุ่น ข้าคือชาวจีน! อย่าสังหารข้า ได้โปรดท่านอย่าสังหารข้า ข้าเป็นชาวจีน!!!”
นักพรตเฒ่ากังวลมาก!
แต่น่าเสียดาย นักพรตเฒ่าไร้อำนาจในการควบคุมร่าง อย่างน้อยๆ ตอนนี้ก็เป็นอย่างนี้
โดยทั่วไปแล้ว ในมุมมองของนักพรตเฒ่านั้น ตัวละครวีรบุรุษแบบนี้มักจะมีจิตใจที่สูงส่งไร้มลทิน เขากังวลใจจริงๆ ว่าเฉาติ่งจะลังเลใจหรือปล่อยเขาไปเพียงเพราะเขามีดวงวิญญาณของชาวจีนอยู่ ทำให้เกิดความคิดที่ไม่อยากสังหารเพื่อนร่วมชาติของตัวเอง
ในความเป็นจริงนั้น นักพรตเฒ่าสัมผัสได้ว่าจิตสำนึกที่ควบคุมร่างของเขากำลังอ่อนแอลงเรื่อยๆ และอาจจะต้องจากไปในวินาทีถัดไปทันที!
ในเวลานี้ ห้ามลังเลใจ และยิ่งห้ามปล่อยให้ใจอ่อนเด็ดขาด!
พี่ชาย
พี่น้องเอ๋ย
ผู้อาวุโส
ไม่ต้องพูดเรื่องหลักการ อย่าพูดเรื่องหลักการเด็ดขาด ตัดคอเขา ตัดคอเขาเสีย!
โชคดีที่ความกังวลใจของนักพรตเฒ่านั้นเป็นสิ่งที่ล้นเหลือเกินความจำเป็น มันช่างล้นหลามและล้นเหลือมากเกินไปจริงๆ
ตอนที่อีกฝ่ายเปิดเผยตัวตนว่าเป็นชาวจีนและเพิ่งจะขอร้องอ้อนวอนไปนั้น
ปลายดาบได้แทงเข้าไปทันที หมวกเกราะแตกกระจายโดยตรง
สะใจเหลือเกิน
ง่ายดายและป่าเถื่อนเหลือคณานับ
คำวิงวอนและร้องห่มร้องไห้ของคนผู้นั้นช่างไร้ประโยชน์จริงๆ
มันเร็วเสียจนนักพรตเฒ่ารู้สึกปรับตัวไม่ทันเล็กน้อย
เฉาติ่งเหลือบมองเกราะที่แตกเป็นเสี่ยงๆ ใต้ฝ่าเท้าของเขา แล้วเอ่ยขึ้นอย่างนิ่งๆ
“โจรสลัดญี่ปุ่นส่วนใหญ่ในตอนนั้นก็เป็นชาวจีนด้วย”
………………………………………………………
ป.ล. อิงตามบันทึก ‘เจียจิ้งสือลวี่’ ที่ว่า ‘เจียงหนานไห่เตือน โจรสลัดญี่ปุ่นมีสามในสิบ และกบฏชาวจีนมีเจ็ดในสิบ’