ตอนที่ 197 ผู้ซื่อสัตย์ยุติธรรม!
โจวเจ๋อคาดคิดไม่ถึงเลยว่าจะเจอพระขี้เรื้อนที่นี่ ตอนแรกพระรูปนี้มาที่ร้านของตัวเองแล้วพูดถึงอุดมการณ์และการแสวงหาที่มีจริงบ้างและไม่จริงบ้างกับตัวเองอยู่นานสองนาน จากนั้นก็ถูกโจวเจ๋อทำเป็นเออออแล้วจึงออกไป คิดไม่ถึงว่าเขาจะมาปรากฏตัวที่นี่
ดูเหมือนว่าอุดมการณ์ของพระรูปนี้ในตอนแรกก็คือความเท่าเทียมกันของสรรพสิ่ง คนกับผีควรมีสิทธิ์ที่จะอยู่ต่อเป็นของตัวเอง ยมทูตก็ต้องเคารพสิทธิ์ของมนุษย์ ไม่สิ สิทธิ์ของผี จะบังคับจับผีลงนรกไม่ได้
ตอนนั้นที่โจวเจ๋อได้ฟัง คิดว่าพระรูปนี้เหมือนคนป่วยเป็นโรคป่วย ม.2 เหมือนรุ่นที่ถูกวางยาด้วยหนังสือ ‘รีดเดอร์ส ไดเจสท์’ ในหัวคิดแต่ว่าเด็กญี่ปุ่นสามัคคีกันขนาดนี้ เข้มแข็งขนาดนี้ ทนลำบากเก่งขนาดนี้ เวลาที่เจอเรื่องอะไรมีระเบียบแค่ไหน ต่างประเทศมีความก้าวหน้าเพียงใด หรือในประเทศล้าหลังขนาดไหน เป็นต้น ซึ่งไม่สามารถเข้ากับความเป็นอยู่ของคนทั่วไป และไม่สามารถนำไปใช้จริงได้อย่างสิ้นเชิง
เวลานี้เสียงตะโกนเพียงประโยคเดียวของพระขี้เรื้อนว่า ‘เจ้าหน้าที่กวาดล้างเหลือง’ เป็นผลให้ถนนสายนี้ลุกฮือขึ้นมา และก็เป็นความจริง ด้วยฐานะของโจวเจ๋อ นับว่าเขาเป็นแรงงานของยมโลกจริงๆ และที่นี่แท้จริงแล้วก็เป็นสถานที่ผิดกฎหมาย หากจะพูดให้ไพเราะก็คือหมู่บ้านของคนตาย แต่ในความเป็นจริงในสายตาของยมทูตโดยแท้จริง ที่นี่ก็คือชุมชนแออัดผิดกฎหมายที่คนไร้ฐานะมารวมตัวกัน และเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ต้องกวาดล้างให้เรียบ
‘ปัง!’
‘ปัง!’
‘ปัง!’
แต่ละบ้านเริ่มปิดประตูและหน้าต่าง คนที่เร่แสดงศิลปะกายกรรมบนท้องถนนแต่ละคนมุดเข้าไปในตรอกซอกซอย แม้แต่สาวๆ ที่แต่งหน้าเข้มที่ร้องเรียกโจวเจ๋อให้ขึ้นมาเล่นบนชั้นสองก็เริ่มหายไปทีละคน
“อ้าว” สวี่ชิงหล่างเดินเข้ามา ก่อนหน้านั้นเขาไปดูการแสดงปาหี่อยู่อีกที่หนึ่ง ตอนนี้กลับไม่เห็นอะไรเลย
“สาวน้อยโลลิล่ะ” โจวเจ๋อถามสวี่ชิงหล่าง
ก่อนหน้านั้นทั้งสามคนเดินตามกันเข้ามา มีเสียงจ้อกแจ้กจอแจอยู่บนท้องถนน แต่ตอนนี้กลับโล่งว่าง ผลปรากฏว่าตัวเองเห็นแต่สวี่ชิงหล่างแต่ไม่เห็นสาวน้อยโลลิ
“ไม่รู้ สงสัยน่าจะหลบไปทำการบ้านมั้ง”
ดูเหมือนจะมีความเป็นไปได้ สาวน้อยโลลิไม่ค่อยปกติอย่างเห็นได้ชัด หรือสามารถพูดได้อีกอย่างคือมีแนวโน้มที่จะผิดปกติ พอนึกถึงสาวน้อยแห่งนรกคนนั้นที่อ้าปากแลบลิ้นออกมาพลางตะโกนว่า ‘ทางเดินสู่นรก ข้ามสู่แดนน้ำพุเหลือง’ ตอนที่เจอหน้ากันครั้งแรก แต่ตอนนี้กลับคิดจะทำแต่การบ้าน ลักษณะท่าทางแบบนี้ดูแล้วโง่จริงๆ
โจวเจ๋อไม่เคยทำเรื่องจับกุมกวาดล้างเหลืองมาก่อน แต่เขาเคยไปรับเพื่อนร่วมงานของตัวเองที่โรงพักสองสามครั้ง เมื่อก่อนจ่ายเงินประกันตัวห้าพันหยวนและเขียนหนังสือรับรองก็รับคนออกไปได้แล้ว แต่ต่อมาภายหลังได้ยินว่าเปลี่ยนนโยบายแล้ว หากซื้อประเวณีแล้วโดนจับ ถ้าหากแต่งงานแล้วก็ต้องแจ้งคู่ครองให้ทราบด้วย
โอเค ไม่ว่าอย่างไร สถานที่ปิดบังอำพรางเรื่องไม่ดีแบบนี้ก็จำเป็นต้องกวาดล้าง ที่สำคัญคือมีผลกระทบต่อธุรกิจของตัวเขาเอง นี่คือสิ่งที่ยอมไม่ได้เด็ดขาด
“ถีบประตูเข้าไป” โจวเจ๋อพูดกับสวี่ชิงหล่าง
สวี่ชิงหล่างอยากจะย้อนถามว่าทำไมคุณไม่ทำ แต่พอคิดดูอีกทีไม่ควรถือสาเรื่องพวกนี้ เขาเดินไปข้างหน้า ยื่นมือเคาะประตูอย่างอ่อนโยนเหมือนเพื่อนบ้านที่มาเยี่ยม
โจวเจ๋อมุมปากกระตุก เขาสั่งให้สวี่ชิงหล่างถีบประตู แต่การกระทำของสวี่ชิงหล่างถ้าหากเสริมอีกหนึ่งประโยคว่า ‘แม่ครับ เปิดประตูหน่อย ผมกลับมาแล้ว!’ อย่างนั้นจะเข้ากันมาก
โจวเจ๋อเดินเข้าไปแล้วถีบหนึ่งที
‘ปึง!’ ประตูพังทลายลงมา ราวกับทำมาจากกระดาษ
อันที่จริงสถานที่นี้ส่วนใหญ่แล้วเป็นของปลอมกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเหมือนกับอาหารจัดเลี้ยงที่จัดต้อนรับตัวเขากับสวี่ชิงหล่างของแม่นางไป๋
ถึงแม้ประตูจะไม่ทนต่อการถูกถีบ แต่ผลลัพธ์แบบนี้นั้นดีมาก สวี่ชิงหล่างที่เดินอยู่ข้างหลังรู้สึกว่าสามารถบันทึกภาพวิดีโอให้โจวเจ๋อได้ในตอนนี้ และถ้าหากในนรกมีหนังสือพิมพ์อย่างเป็นทางการละก็ เขาอยากไปส่งต้นฉบับ
หัวข้อคือ ‘ปี 2018 ภายใต้ผู้นำที่ยุติธรรมของนรก ภายใต้การนำของพญายมทั้งสิบ ผมอยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้จับกุมโจวเจ๋อในอำเภอแห่งนี้ ครั้งนี้จะตั้งใจกวาดล้างการค้าประเวณีตามเจตนารมณ์ของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ให้สำเร็จ ขจัดตลาดผีคือหน้าที่สำคัญ ทำงานหลักให้ดี เพิ่มการตรวจสอบประจำวันให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ดำเนินการปราบปรามในครั้งนี้ให้มีประสิทธิภาพที่ยั่งยืน ปกป้องดูแลเมืองอันเป็นที่ตั้ง ‘ร้านหนังสือยามวิกาล’ ของพวกเราให้อยู่ในความเป็นระเบียบเรียบร้อย เพื่อรักษาความปลอดภัยทางวัฒนธรรมของเมืองเราต้องสร้างแนวป้องกันที่แข็งแกร่ง สร้างสภาพแวดล้อมทางสังคมและวัฒนธรรมที่ดีให้แก่เศรษฐกิจของเมืองเรา’
สวี่ชิงหล่างแค่คิดก็สนุกแล้ว เขาเดินตามหลังพลางเอามือป้องปากหัวเราะ
เขาไม่กลัวอะไรเลย เพราะเถ้าแก่โจวอยู่ตรงนี้ ในใจของเขาจึงเหมือนมีที่พึ่ง ไม่ลนลานเลยสักนิด ครั้งที่แล้วที่รีสอร์ตน้ำพุร้อนเถ้าแก่โจวสลบไปเอง ไม่อย่างนั้นเรื่องราวไม่น่าจะยุ่งยากขนาดนั้น
หลังจากเดินเข้าไปแล้ว ด้านในเป็นห้องโถงใหญ่ มีช่องกันลมกั้นเป็นพื้นที่ว่างสองสามแห่ง ทุกอย่างถูกตกแต่งตามสไตล์โบราณ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ กลุ่มสาวๆ กำลังยืนเรียงกันอยู่ริมระเบียงด้านในของชั้นสอง มองลงมาข้างล่างด้วยสีหน้าเหม่อลอย
พวกสาวๆ จู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม แต่กลับทำให้โจวเจ๋อไม่ค่อยชินเท่าไร บรรยากาศจึงดูอึดอัดขึ้นเป็นอย่างมาก นอกจากนี้สาวๆ พวกนี้ยังโยกเอนไปมาไม่หยุด เหมือนกำลังโยกหัวร้องเพลงที่ไร้เสียงอย่างพร้อมเพรียงมีระเบียบ ยิ่งทำให้รู้สึกถึงความอึมครึมและน่ากลัว
สวี่ชิงหล่างเดินเข้ามาตามหลังโจวเจ๋อ หลังจากเข้ามาแล้วเขารู้สึกผิดปกติเล็กน้อย จึงเดินถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น พอคิดดูแล้วจึงถอยออกมาอยู่นอกประตูดีกว่า
แม่งเอ๊ยนี่มันถูกกวาดล้างเสียที่ไหน นี่มันงานเลี้ยงลอบสังหารชัดๆ
“อ้าว คุณลูกค้า ไม่เข้าไปข้างในเหรอครับ” กุยกงร่างเตี้ยผลักหลังของสวี่ชิงหล่างเบาๆ สวี่ชิงหล่างรู้สึกเย็นไปทั่วหลังของตัวเอง จากนั้นเขาก็มึนเล็กน้อย วินาทีต่อมาจึงวิ่งไปอยู่ตรงหน้าโจวเจ๋อทันที
กุยกงยืนอยู่ข้างนอก ยิ้มเล็กน้อยแล้วปิดประตู ขาดอย่างเดียวคือตะโกนว่าปิดประตูตีสุนัข
พูดตามตรง ไม่ว่าจะเป็นสายอาชีพไหน เวลาที่เจอคู่แข่งมีน้อยมากที่จะมีคนบุกมาหาถึงร้านทันที โดยทั่วไปจะคอยดูลาดเลาของอีกฝ่ายก่อน ดูว่ามีภูมิหลังเป็นอย่างไร แต่โจวเจ๋อรอไม่ไหว และไม่อยากรอด้วย เรื่องนี้มันแตะโดนเกล็ดย้อนมังกรของเขา อีกอย่างก็คือเถ้าแก่โจวลำพองตน เพราะเขาในตอนนี้มีเกราะซามูไรญี่ปุ่นและยังสามารถใช้เคล็ดวิชาอู๋ซวงได้อีก แม้แต่สาวน้อยโลลิเขาก็ไม่เห็นอยู่ในสายตา นับประสาอะไรกับคนอื่น
“ว้าวๆๆ มีแขกมา อย่าโกรธๆ”
พระขี้เรื้อนเดินลงมาข้างล่าง มีกุยกงที่อยู่ข้างๆ คนหนึ่งยกเก้าอี้มาให้เขา เขาเองก็ไม่เกรงใจนั่งลงไปเลย และไม่พูดว่าเอาเก้าอี้ให้โจวเจ๋อหนึ่งตัว
“นี่คือฝีมือของคุณเหรอ” มองดูพระขี้เรื้อนที่ปิดตาเล่นซ่อนหาบนชั้นสองก่อนหน้านั้น เป็นฝีมือของเขาจริงๆ ด้วย
“โห คุณชมอาตมาเกินไปแล้ว อาตมาแค่มาเที่ยวเท่านั้น มาดูความครึกครื้น ลองเที่ยวโลกธุลีแดงบ้าง ไม่ว่าตอนไหนก็นับว่าเป็นเพียงคนที่ผ่านทางมา เว้นเสียแต่ว่าเปลี่ยนวิธีปฏิบัติธรรมเท่านั้นเอง” พระขี้เรื้อนปฏิเสธ
“อย่างนั้นที่นี่ก็ต้องมีคนที่สามารถตัดสินใจได้สิ” โจวเจ๋อถาม ขณะเดียวกันความอดทนของโจวเจ๋อก็เริ่มหมดลงอย่างช้าๆ เดิมทีมาเพื่อหาเรื่องอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องพูดเหตุผลอะไร และภายใต้การแตะต้องผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับตัวเขาเอง ยิ่งไม่จำเป็นต้องพูดด้วยเหตุผล
“ท่านยมทูตจะมากวาดล้างจริงๆ เหรอ” พระขี้เรื้อนลูบศีรษะของตัวเองด้วยท่าทางที่สับสนมาก “เสียดายที่คนที่ตัดสินใจได้ไม่อยู่ที่นี่ อาตมาแค่มาช่วยดูเฉยๆ เอาอย่างนี้ดีไหม ท่านยมทูต พวกเรารอก่อน รอเขากลับมาแล้วอาตมาจะให้เขาไปหาคุณ ถ้าไม่ได้จริงๆ เมื่อผ่านไปอีกสักพัก อาตมาจะโน้มน้าวเขาให้เปลี่ยนสถานที่”
“ผ่านไปอีกสักพัก?” โจวเจ๋อถาม
“หรือว่าท่านยมทูตแม้แต่รอนิดเดียวก็ไม่ยอมผ่อนผันให้หน่อยเหรอ”
“ผ่อนผันงั้นเหรอ” โจวเจ๋อย้อนถาม จากนั้นจึงเดินไปข้างหน้าทีละก้าว
อยากจะขอให้ฉันผ่อนผัน ถ้าหากไม่นับวิญญาณนักฟุตบอลตนนั้นที่ถูกการแข่งขันฟุตบอลและเจ้าทุกข์ดึงดูดเข้ามา ตามหลักการพูดของไป๋อิงอิง ตอนที่ตนเองนอนสลบไปครึ่งเดือน ร้านหนังสือคงเจ๊งไปนานแล้ว!
ทำไมฉันถึงย้ายร้านมาที่ถนนหนานต้า ไม่ใช่เพราะอยากเพิ่มจำนวนคนและผี เพื่อที่จะได้นอนอยู่ในร้านรอผีมาหาอย่างสบายใจหรอกเหรอ
ตอนนี้ไม่มีผีแล้ว แล้วฉันจะนอนได้อย่างไร พอนึกว่าหลังจากนี้ตัวเองจะนอนทำตัวว่างในร้านหนังสือไม่ได้อีกต่อไป จำเป็นต้องออกมาไล่จับผี โจวเจ๋อก็รู้สึกโกรธมาก
“นายท่าน ใจเย็น ข้าจัดสาวสวยน่ารักสองสามคนมาให้ท่านแล้ว รับรองว่าจะปรนนิบัติท่านอย่างสบายแน่นอน”เวลานี้กุยกงเป็นฝ่ายเดินเข้ามาพูดก่อน เขากำลังหาโอกาสให้โจวเจ๋อลงจากสถานการณ์ที่กระอักกระอ่วน แต่เขาประเมินเถ้าแก่โจวต่ำไปจริงๆ เถ้าแก่โจวให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เวลาหนึ่งวัน ก็ผ่อนผันให้ไม่ได้!
‘ผัวะ!’ โจวเจ๋อยกมือขึ้นแล้วตบไปที่ศีรษะของกุยกงโดยตรง ขณะเดียวกันเล็บได้งอกออกมาแล้วทิ่มลงไป
กุยกงสีหน้าเปลี่ยนเป็นอย่างมาก แต่ศีรษะเล็กๆ นั้นกลับหดลงไป จากนั้นมีหนามสีดำงอกออกมาบนตัวเหมือนเม่นในทันใด ราวกับเป็นการตอบสนองอย่างทันท่วงที หนามสีดำบนตัวตั้งขึ้นมาแล้วทิ่มไปที่โจวเจ๋อโดยตรง
‘ฉึก…ฉึก…ฉึก…’ ตัวของโจวเจ๋อพลันถูกห่อหุ้มด้วยเกราะซามูไร หลังจากหนามสีดำทิ่มไปโดนเกราะซามูไรก็หักเองทันที มีบางอันกระทั่งสลายกลายเป็นควัน
“แกมันเจ้าเล่ห์นัก” โจวเจ๋อก้มหน้าพูดกับกุยกงที่หดศีรษะคนนั้น จากนั้นจึงเตะดัง ‘พลั่ก!’ กุยกงเหมือนลูกบอลที่ถูกโจวเจ๋อเตะออกไป ตอนที่ลอยอยู่กลางอากาศ โจวเจ๋อได้แบฝ่ามือ จากนั้นเล็บทั้งห้านิ้วก็ปล่อยควันสีดำออกไปลากกลับมา เหมือนส่งลูกบอลให้ตัวเองหลังจากผ่านไปเจ็ดวินาที
กุยกงร้องเสียงแหลม เห็นได้ชัดว่ามันรู้ดีว่าตัวเองจะมีจุดจบที่ไม่สวยงาม ยมทูตคนเหี้ยมคนนี้ ดูเหมือนไม่คิดที่จะปล่อยเขา
พระขี้เรื้อนเห็นดังนั้นจึงลุกขึ้นยืน พลางประนมสองมือ “อมิตาภพุทธ อะไรที่ให้อภัยได้ก็ให้อภัยไป ท่านยมทูตโจว ฟังอาตมาสักประโยคช่วยไว้หน้าอาตมาบ้าง ปล่อยเขาไปก่อนเถอะ คุณกับอาตมาล้วนเป็นคนมีฐานะ เหตุใดต้องอารมณ์เสียกับคนตัวเล็กด้วย”
‘พลั่ก!’ เสียงดังเหมือนลูกแตงโมตกลงมา ดังชัดเจน รุนแรงมาก ฝ่ามือของโจวเจ๋อมีของเหลวสีแดงไหลออกมา และด้านล่างก็คือเลือดเนื้อกองหนึ่งที่ขดเป็นกอง เนื้อที่ปลายเล็บทั้งสองข้างแตกงอ นี่มันคือเม่นตัวหนึ่งชัดๆ แต่ตอนนี้กลับตายแล้ว
โจวเจ๋อเงยหน้า เขาที่สวมเกราะซามูไรสีดำทั้งตัวให้ความรู้สึกน่าสะพรึงกลัวอยู่บ้าง โดยเฉพาะภายใต้การหมุนวนของอักขระยันต์บนเกราะซามูไร ยิ่งทำให้เขาดูลึกลับมากขึ้น
เขามองพระขี้เรื้อนที่อยู่ข้างหน้า แล้วถามด้วยความสงสัยว่า “เมื่อครู่คุณพูดว่าอะไรนะ ไว้หน้าเหรอ”
……………………………………………………………………