ตอนที่ 201 เข้าใจผิดยกใหญ่
โจวเจ๋อวางโทรศัพท์ของตัวเองอย่างเงียบๆ ขณะเดียวกันก็ยื่นมือคลึงดวงตาของตัวเอง
เดดพูลลุกขึ้นยืน หยิบผ้าผืนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ ตัวเอง แล้วเดินไปข้างๆ ตำแหน่งที่เด็กสาวสองคนนั่งอยู่ ก่อนจะโน้มตัวลงแล้วเริ่มเช็ดถูคราบเลือดที่ร่วงลงมาจากเด็กผู้ชายคนนั้น
งานที่ร้านหนังสือของเดดพูลนั้นง่ายมาก นั่นคือทำความสะอาด ไม่ต้องมีเงินเดือน ไม่ต้องรวมค่าอาหารที่พัก ไม่บ่น ไม่ต่อต้าน ไม่พูดมาก เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างเดียว
“โอ้พระเจ้า เขาเป็นคนเหรอ” เด็กสาวคนหนึ่งพูดด้วยความตกใจ
ควรทราบว่าก่อนหน้านั้นพวกเธอก็สังเกตเห็นเดดพูลแล้วเหมือนกัน แต่เนื่องจากเดดพูลไม่ขยับตัวเลย ดังนั้นพวกเธอกับเด็กสองคนนั้นจึงคิดว่าเป็นแค่รูปปั้นคนที่เอามาวางโชว์ในร้านหนังสือเท่านั้น
เดดพูลทำความสะอาดอย่างมืออาชีพมาก จากนั้นก็ลุกขึ้นเตรียมจะเดินออกไป แต่โจวเจ๋อกลับยื่นมือสั่งให้เขาอย่าเพิ่งขยับ
และในเวลานี้ เด็กสาวสองคนที่ไม่รู้ว่าด้วยความซนหรือว่าสนใจ เป็นฝ่ายเดินเข้าหาเดดพูดก่อนเพราะอยากจะถ่ายรูปด้วย คนหนึ่งรับผิดชอบถ่ายรูป อีกคนหนึ่งเป็นฝ่ายเข้าไปยืนโพสต์ท่ากับเดดพูล
บางทีในสายตาของพวกเธอ นี่คงเป็นนักแสดงที่ใช้โปรโมตร้านหนังสือ
เถ้าแก่โจวจุดบุหรี่หนึ่งมวน มองเด็กสาวสองคนถ่ายรูปร่วมกับเดดพูลอยู่แบบนี้ เด็กสาวหนึ่งคนในนั้นมีความสนใจเกินเหตุ ถามเดดพูลว่าช่วยถอดหน้ากากแล้วถ่ายรูปร่วมกันอีกได้ไหม
เดดพูลไม่ขยับ เพียงแค่มองไปทางโจวเจ๋อ เขากำลังรอคำสั่งของโจวเจ๋ออยู่
“สงสัยเถ้าแก่ของพวกคุณจะเข้มงวดมาก อากาศร้อนขนาดนี้ยังสั่งให้คุณใส่เสื้อผ้าที่ห่อหุ้มทั้งตัวแบบนี้อีก” เด็กสาวคนหนึ่งพูดแสดงความไม่พอใจแทนเดดพูล
“เถ้าแก่ ช่วยให้เขาถอดหน้ากากถ่ายรูปร่วมกับพวกเราได้ไหมคะ ถ้าหากเป็นคนหล่อล่ะ” เด็กสาวอีกคนหนึ่งขอร้องโจวเจ๋อ
โจวเจ๋อพยักหน้า เพื่อบอกให้เดดพูลถอดหน้ากากออก จากนั้นเดดพูลจึงถอดหน้ากากออกมา ต่อจากนั้นคือความเงียบที่ยาวสองสามวินาที สุดท้ายคือ “ว้ายๆๆๆๆๆๆๆ!!!!!!!!!!!!”
เด็กสาวทั้งสองคนร้องกรี๊ดกันจ้าละหวั่น ล้มลุกคลุกคลานพุ่งออกจากร้านหนังสือ และเด็กสาวคนที่ขัดขาของเด็กผู้ชายเมื่อครู่ตอนที่วิ่งผ่านประตูกระจกได้ชนประตูไปหนึ่งที ใบหน้ามีเลือดไหลออกมาเช่นกัน
การชนครั้งนี้ ทำให้โจวเจ๋อที่มองอยู่ข้างๆ เห็นแล้วรู้สึกปวดฟันทันที คาดว่าน่าจะชนจนโฉมหน้าเสีย
เดดพูลงุนงงอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร คราวที่แล้วถูกผีซามูไรผ่าหน้า ดังนั้นจากใบหน้าเรื่อยลงมาถึงข้างล่างจึงเป็นรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ ทำให้เขาที่เดิมทีน่ากลัวอยู่แล้วยิ่งน่ากลัวเข้าไปอีก
หากจะพูดว่าตอนนี้เขาเป็น ‘คน’ สู้พูดว่าเขาเป็นหนอนประเภทหนึ่งในรูปคนจะดีกว่า โจวเจ๋อก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงเก็บเขาไว้ เก็บเขาไว้ทำความสะอาด เพื่อประหยัดเงินค่าทำความสะอาดเหรอ แน่นอนว่า ไม่ใช่คำพูดไร้สาระอย่าง ‘พ่อลูกรักผูกพัน’ อะไรพวกนั้น หรือไม่คงเป็นเพราะรู้สึกเสียดาย ตอนที่บาทหลวงมีชีวิตอยู่ไม่ว่าเขาจะเป็นอะไร แต่คุณดูเขาก่อเรื่องสิ ช่างเป็นคนที่ก่อเรื่องเก่งมากจริงๆ!
นอกจากนี้หลังจากเขาตายไปแล้วก็ยังลุกขึ้นมาได้อีก ของแบบนี้ ถึงแม้ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์ แต่ถ้าคุณบอกว่าให้ทิ้งเป็นขยะไปเสีย คงน่าเสียดายจริงๆ
“ใส่กลับไปเถอะ” โจวเจ๋อกล่าว
ไม่เพียงแต่หญิงสาวสองคนนั้น แม้แต่เถ้าแก่โจวที่เห็นโลกมาเยอะก็ยังรู้สึกบาดตา เดดพูลพยักหน้า แล้วจึงใส่หน้ากากกลับไป
โจวเจ๋อเขี่ยบุหรี่ที่อยู่ในมือเมื่อรู้ตัว ตอนที่เขาเห็นเดดพูลหยิบผ้าเดินเข้ามาอีกครั้ง เขารีบใช้เท้าเหยียบบนพื้นอย่างละอายใจเป็นอย่างมาก แล้วพูดสั่งในเวลาเดียวกัน “ไปหยิบเงินกระดาษที่เคาน์เตอร์สองใบแล้วไปเผาที่หน้าประตู”
…
คนสามลัทธิเก้าอาชีพอย่างนักพรตเฒ่ารู้จักคนมากมาย ทั้งชีวิตนี้ของเขาจริงๆ แล้วใช้ชีวิตไปเรื่อย ไม่มีครอบครัว และไม่มีลูกหลาน หากตัดสินความสำเร็จหรือล้มเหลวของคนตามทัศนคติประเพณีดั้งเดิมแบบจีน นักพรตเฒ่าคือตัวอย่างที่ล้มเหลวสุดคลาสสิก
แต่เขาขอแค่ใช้ชีวิตอย่างอิสระก็พอ ตัวเองมีความสุขก็พอแล้ว ไม่ว่าอย่างไรคนเราเมื่อตายไปแล้วก็ต้องเดินไปสู่เส้นทางน้ำพุเหลือง ข้ามสะพานไน่เหอ และด้วยเหตุนี้ เวลาที่มีชีวิตอยู่จึงพยายามใช้ชีวิตตามใจหน่อย
เขามาอยู่ที่เมืองทงเฉิงครึ่งปีกว่าแล้ว แต่กลับมีเพื่อนเลวเพื่อนชั่วไม่น้อย
อันที่จริงตามความหมายของโจวเจ๋อ เขาอยากจะได้อุปกรณ์พื้นฐานของห้องทดลองเคมีในโรงพยาบาลหรือโรงเรียนชั้นมัธยมแบบนั้น เขาจำเป็นต้องกลั่นความบริสุทธิ์และทำบรรจุภัณฑ์คร่าวๆ สำหรับดอกพลับพลึงแดง เพื่อให้สะดวกต่อการพกพาและดูดกิน
นักพรตเฒ่าไม่รู้รายละเอียดว่าโจวเจ๋อจะทำอะไร เขารู้แค่ว่าเรื่องที่เถ้าแก่สั่งจะต้องพยายามทำให้สำเร็จ หลังจากออกมาจากร้านหนังสือแล้ว เขาจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเพื่อนที่อยู่ในเมืองทงเฉิงคนหนึ่ง แล้วบอกว่าตัวเองต้องการอุปกรณ์ของห้องทดลองเพื่อสกัดสารบริสุทธิ์หนึ่งชุด จึงถามเขาว่าสามารถหาได้หรือไม่
คนคนนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดว่า “ได้” ทั้งสองคนนัดเจอกันที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งในถนนหนานต้าหลังจากนักพรตเฒ่าเข้าไปนั่งแล้วจึงรู้สึกว่าตัวเองโง่มาก รู้อย่างนี้น่าจะนัดเจอที่ร้านหนังสือดีกว่า ที่นี่กับร้านหนังสืออยู่ห่างกันแค่หนึ่งถนนกั้นเท่านั้น ผลปรากฏว่าเสียเงินค่ากาแฟไปเปล่าๆ
คนคนนั้นมาแล้ว ใบหน้ามีหนวดเฟิ้ม เขานับว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของนักพรตเฒ่า ตอนแรกนักพรตเฒ่าไปทักทายและปลอบใจหญิงขายบริการคนหนึ่งเพิ่งจะเดินออกมาจากประตูม้วน เขากำลังยืนรออยู่หน้าประตูพอดี
นักพรตเฒ่ากับเขาแบ่งบุหรี่คนละหนึ่งมวน ทั้งสองคนพยักหน้า จากนั้นเขาจึงพูดขอบคุณนักพรตเฒ่า บอกว่าช่วยเขาทำทางให้ราบรื่นก่อน เขาจะได้สะดวก หลังจากนั้นมีครั้งหนึ่ง นักพรตเฒ่าได้ไปอีกครั้ง แต่ตอนที่รอประตูม้วนเปิดคนที่เดินออกมากลับเป็นเขา
เมื่อผ่านเหตุการณ์มาด้วยกันสองครั้ง จึงนับว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ทั้งสองคนแอดวีแชตและยังนัดกันออกไปกินปิ้งย่าง นักพรตเฒ่ารู้ว่าเขาลักลอบนำเข้าสินค้า อันที่จริงก็ถือว่าเป็นอันธพาลคนหนึ่ง แต่อายุมากแล้ว
“อ้าว ทำไมหน้าตาดูไม่ได้เลย” นักพรตเฒ่าถามอย่างเป็นห่วง “ครั้งหน้าอย่าไปบ่อยนัก รักษาสุขภาพบ้าง ถ้าเจ้าล้มลง พวกเธอจะพึ่งพาใครล่ะ”
ชายใบหน้ามีหนวดเคราตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าจากนั้นพูดว่า “ของสิ่งนั้น คุณจะเอาไปทำอะไร”
“เถ้าแก่ของข้าจะเอาไปสกัดอะไรให้บริสุทธิ์ ไม่ว่ายังไงสิ่งที่เขาทำคนทั่วไปแตะต้องไม่ได้เด็ดขาด ถ้าโดนแล้วจะเป็นปัญหาใหญ่” นักพรตเฒ่าพูดอย่างจริงจังมาก
“ของสิ่งนั้น ร้ายแรงมากเหรอ” ชายมีหนวดเคราถาม
“ร้ายแรงเหรอ” นักพรตเฒ่าครุ่นคิด เมื่อวานสวี่ชิงหล่างถูกตัวเองหามเข้าห้อง ถึงแม้เถ้าแก่จะพูดว่าเขาดื่มเหล้าเมา แต่นักพรตเฒ่าสามารถแยกแยะออกว่าไม่ใช่ได้อย่างชัดเจน จึงพูดทันทีว่า “ร้ายแรงมาก ยังไงก็ตามเวลานอนแล้วจะรู้สึกฟินมีความสุขมาก แม่งเอ๊ย เห็นแล้วเป็นต้องตกใจ”
ชายมีหนวดเครากลืนน้ำลาย แล้วถามต่อ “อย่างนั้นหลังจากที่พวกคุณทำออกมาแล้ว จะลำเลียงไปที่ไหนเป็นหลัก”
“ลำเลียงเหรอ” นักพรตเฒ่าครุ่นคิด ของที่เถ้าแก่ทำออกมา คนทั่วไปน่าจะใช้ไม่ได้ และมีความเป็นไปได้ที่จะให้สาวน้อยโลลิหรือไม่ก็เถ้าแก่เหลียง เขาจึงตอบว่า “น่าจะอยู่ในแวดวงของพวกเขาเอง”
“เดิมทีมีตลาดอยู่แล้วใช่ไหม”
“อะไรนะ”
“ผมถามว่า แค่ลำเลียงอยู่ในทงเฉิงใช่ไหม”
นักพรตเฒ่านึกได้ว่าเถ้าแก่เหลียงอยู่เซี่ยงไฮ้ จึงพูดเสริมว่า “อาจจะส่งไปเซี่ยงไฮ้ด้วย”
“ส่งไปเซี่ยงไฮ้” ชายมีหนวดเครามีสีหน้าเครียดยิ่งขึ้น สามารถเห็นได้ชัดเจนว่าเขาตื่นเต้นมาก
“นี่ เจ้าเป็นอะไร”
“ไม่…ไม่มีอะไร…”
ขณะที่พูด ชายมีหนวดเคราได้ยื่นมือไปดึงหูฟังเล็กๆ ที่อยู่ในหูออกมาวางลงบนโต๊ะ จากนั้นสิบนิ้วประนมมือแล้วพูดขอโทษว่า “ขอโทษด้วยพี่น้อง เมื่อกี้ผมเพิ่งโดนตำรวจจับเพราะลักลอบนำเข้าสินค้า”
“อ้าว…” นักพรตเฒ่าทำหน้างงมาก แบบนี้ ไม่ใช่ ไม่ถูก เอ่อ…
และในเวลานี้ลูกค้าร้านกาแฟที่อยู่โต๊ะข้างๆ ก็ลุกขึ้น คนหนึ่งกดชายมีหนวดเคราคนนั้น อีกสองคนแยกกันกดไหล่ของนักพรตเฒ่า แล้วกดนักพรตเฒ่าไปนั่งที่โซฟา
“อยู่เฉยๆ!”
นักพรตเฒ่าทำสีหน้าเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม เข้าใจผิดแล้ว คุณตำรวจ!
“นี่คือบัตรของผม ตอนนี้พวกเราสงสัยว่าคุณจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ผลิตและผู้ค้ายาเสพติด ขอเชิญคุณให้ความร่วมมือกับการทำงานของพวกเราด้วย”
ด้านนอกมีตำรวจเดินเข้ามาอีกสองสามคน ตำรวจหนึ่งคนในนั้นนำบัตรตำรวจออกมาส่ายตรงหน้านักพรตเฒ่า
…
“เถ้าแก่ นักพรตเฒ่าล่ะ” ไป๋อิงอิงล้างหน้าแปรงฟันเสร็จแล้วเดินออกมาถามโจวเจ๋อ
“ออกไปช่วยซื้อของให้ผม เมื่อวานผมได้ดอกพลับพลึงแดงกลับมาเลยจะเอามาแปรรูปเสียหน่อย” โจวเจ๋อตอบ “ตาแก่นี่เป็นอะไร ไปนานแล้วทำไมยังไม่ซื้อของกลับมาอีก”
ไป๋อิงอิงพยักหน้า แต่จากนั้นสายตาของไป๋อิงอิงก็เปลี่ยนไปทันที รีบเดินมาตรงหน้าเถ้าแก่แล้วพูดว่า “เถ้าแก่ข้างนอกมีสายตาของคนเยอะมากกำลังจ้องมองร้านของพวกเรา”
“อะไรนะ” เถ้าแก่โจวยังไม่ตื่นขึ้นมาจากสภาพของคนว่างงาน
“ทางนั้นมีคนเดินไปมาสองสามคน แล้วก็มีคนนั่งที่บันไดอ่านหนังสือพิมพ์ดูโทรศัพท์อยู่ตรงนั้น มีผู้หญิงสองคนกำลังยืนรอรถอยู่ที่ป้ายรถเมล์ พวกเขากำลังจ้องมองมาที่พวกเราเจ้าค่ะ” ไป๋อิงอิงพูดด้วยความมั่นใจมาก
เถ้าแก่โจวลุกขึ้น เดินมามองที่หน้าประตูร้านหนังสือ
เขาไม่สงสัยการวิเคราะห์ของไป๋อิงอิง เพราะในด้านนี้เธอแข็งแกร่งกว่าเขาจริงๆ ไม่ว่าอย่างไรตอนที่เขายังไม่ได้ใช้เคล็ดวิชาอู๋ซวง เขาก็ไม่แตกต่างจากคนทั่วไปมากเท่าไร
และในเวลานี้สวี่ชิงหล่างก็เดินโซเซลงมาข้างล่าง เขาใส่ชุดนอนตัวหลวม ยื่นมือหนึ่งทุบศีรษะแล้วบ่นว่า “ปวดหัวชะมัด”
“เมื่อวานนายฝันหวานมากไหม” โจวเจ๋อหันมาพูดแซว
“โดนดอกพลับพลึงแดงไม่ได้จริงๆ” สวี่ชิงหล่างส่ายหน้าพูด “ทรมานยิ่งกว่าดื่มเหล้าอีก”
ตำแหน่งติดหน้าต่างชั้นสามของตึกใหญ่ที่อยู่ตรงข้ามร้านหนังสือ มีเจ้าหน้าที่สืบสวนคนหนึ่งใช้กล้องส่องทางไกลตรวจสอบแล้วส่งข้อมูลผ่านหูฟัง “รายงาน ในร้านยังมีผู้หญิงอีกคนหนึ่ง เดินลงมาข้างล่างแล้ว สงสัยว่าจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกต้องกับเจ้าของร้านที่เป็นผู้ต้องสงสัย”
และในเวลานี้สาวน้อยโลลิที่เพิ่งเลิกเรียนก็ลงมาจากรถเมล์ เธอสะพายกระเป๋าเป้ใบใหญ่เดินเข้าไปในร้านหนังสือ เธออารมณ์ดีมาก แถมยังฮัมเพลงอีกด้วย ท่าทางสดใสไร้เดียงสาสุดๆ
เมื่อคิดว่าหลังจากที่โจวเจ๋อทำของสิ่งนั้นเสร็จแล้ว เย็นนี้ตัวเองจะได้เอากลับไปกินเป็นอาหารมื้อดึก ก็รู้สึกทุกอย่างสวยงามไปหมด เพราะเธอรู้สึกอยากกินมานานแล้ว อยากกลับไปมีความสุขตอนที่กินข้าวอีกครั้ง
เธอผลักประตูร้านหนังสือแล้วเดินเข้าไป จากนั้นเป็นฝ่ายยิ้มทักทายโจวเจ๋ออย่างไม่เคยมีมาก่อนเป็นประวัติการณ์
“หัวหน้า ของสิ่งนั้นทำเสร็จหรือยัง”
เจ้าหน้าที่สืบสวนที่อยู่ไกลออกไปได้รายงานอีกครั้ง “รายงาน ขอให้เลื่อนแผนการจู่โจมก่อน มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้าไปในร้านหนังสือ สงสัยว่าเธออาจจะถูกผู้ต้องสงสัยจับเป็นตัวประกัน”
…………………………………………………………………………