ตอนที่ 207 สัตว์ที่ถูกจองจำ
ตอนที่คุณคิดว่าตัวเองเป็นผู้เคราะห์ร้ายคนเดียว คุณจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกกระทำ คิดว่าสวรรค์กำลังเล็งเป้าหมายมาที่ตัวเอง คิดว่าตัวเองถูกทอดทิ้งให้แยกออกจากสังคมและโลกใบนี้
แต่ตอนที่คุณพบว่า ข้างๆ ยังมีคนที่ซวยเหมือนคุณเช่นกัน คุณจะรู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อย รู้สึกว่าสวรรค์ดีกับตัวเองพอสมควร อย่างน้อยก็เหลือเพื่อนคนหนึ่งให้ตัวเอง
นี่ก็คือชีวิต เด็กส่วนใหญ่ในชนบทน่าจะเคยได้ยินคุณย่าคุณยายพูดว่าอย่าไปเล่นใกล้สระน้ำหรือทะเลสาบ พวกเธอชอบพูดเตือนว่าเมื่อก่อนที่นี่มีเด็กจมน้ำกลายเป็นผี และคิดจะจับคุณลงไปเพื่อเป็นตัวตายตัวแทน
แต่นี่คือการหลอกเด็กให้ตกใจเพื่อให้อยู่ห่างจากพื้นที่อันตราย ทว่าคำพูดบ้านๆ เหล่านี้มักจะสะท้อนให้เห็นถึงความเรียบง่ายและความลึกซึ้งอีกมากมาย
โจวเจ๋อจุดบุหรี่ ไม่ลนลานแล้ว ก่อนหน้านั้นตัวเองยังเป็นห่วงว่าโซ่ตรวนนี้จะมีอันตรายอะไรหรือเปล่า แต่พอเห็นตำรวจที่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมที่อยู่ข้างกายคนนี้ก็มีเหมือนกัน เขาจึงไม่กลัวเลยสักนิด และไม่กังวลแล้ว
“คุณทำอาชีพอะไร” จางเยี่ยนเฟิงพ่นควันบุหรี่ออกมาแล้วถาม
“อันนี้ไม่สะดวกที่จะบอกคุณ ผมอธิบายอย่างนี้แล้วกัน งานของคุณกับผม ต้องต่อสู้กับความทันสมัยของสังคมนิยม พยายามเพื่อสังคมและความสงบสุข”
จางเยี่ยนเฟิงขมวดคิ้ว
“ถ้าหากต่อไปเจอคดีที่ยากจะจัดการ คุณสามารถมาหาผมที่ร้านหนังสือแล้วผมจะช่วยคุณดู ผมพูดได้แค่นี้แหละเรื่องบางเรื่อง ถ้ารู้มากไป สำหรับคุณแล้วอาจไม่ใช่เรื่องดีอะไร” โจวเจ๋อยื่นมือไปตบไหล่ของจางเยี่ยนเฟิง
“ทำหน้าที่ตำรวจที่ดีของคุณต่อไป ดีแล้วครับ”
หลังจากรอให้โจวเจ๋อชักมือกลับ จางเยี่ยนเฟิงก็ยื่นมือไปตบไหล่ของตัวเองเหมือนกัน ทั้งสองคนมองหน้าแล้วหัวเราะให้กัน
“ผมไม่เชื่อว่าบนโลกนี้จะมีสิ่งที่เรียกว่าผีหรือเทวดา ผมไม่เคยเชื่อเลย”
“จงยืนหยัดในความเชื่อต่อไป” โจวเจ๋อถอนหายใจยาว “คุณก็คิดแค่ว่าผมมาหาคุณในคืนนี้เป็นแค่ความฝันเท่านั้น ตอนนี้พวกเราพูดเข้าประเด็นกันเถอะ คุณลองเล่าเรื่องเกี่ยวกับโซ่ตรวนนี้ของคุณ ความฝันนั่น เริ่มตั้งแต่เมื่อไร อ้อใช่ ก่อนหน้าคุณได้พูดว่า นานยี่สิบกว่าปีแล้วใช่ไหม”
จางเยี่ยนเฟิงพยักหน้า “ใช่ครับ นานยี่สิบกว่าปีแล้ว พ่อของผมเป็นตำรวจอาชญากรรม ครอบครัวของเรา ถือว่าเป็นครอบครัวตำรวจก็ว่าได้ ลูกชายของผมก็กำลังเรียนอยู่ในโรงเรียนตำรวจ”
“เยี่ยมมาก” โจวเจ๋อไม่คิดว่านี่เป็นการได้ตำแหน่งเพราะการเกื้อหนุนเครือญาติ ใครจะว่างจัดถึงขั้นตะโกนออกมาว่าทั้งตระกูลเป็นตำรวจได้เพราะใช้เส้น แถมยังเป็นตำรวจอาชญากรรมอีก
“ผมจำได้ปีนั้น ปีที่พ่อของผมพลีชีพ” จางเยี่ยนเฟิงพูดอย่างสงบเงียบมาก โจวเจ๋อก็ฟังอย่างเงียบสงบมากเช่นกัน
“ตอนนั้น ผมเพิ่งจะทำงานได้ไม่ถึงสองปี การพลีชีพของพ่อผม เป็นการโจมตีที่ใหญ่มากสำหรับผม พูดจริงๆ นะผมรู้สึกอ่อนใจเลย แล้วก็กลัวด้วย กลัวจริงๆ กลัวว่าสักวันหนึ่ง ตัวเองก็ต้องพลีชีพบ้าง”
“ตำรวจก็เป็นคน” โจวเจ๋อพูด
“แต่ไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกันจริงๆ ผมรู้สึกละอายต่อความหวาดกลัวของตัวเอง” จางเยี่ยนเฟิงเขี่ยบุหรี่แล้วพูดต่อ
“ครั้งแรกที่ฝันก็คือปีนั้น ผมอดหลับอดนอนจัดการเอกสารของคดีหนึ่ง จากนั้นก็นอนหลับในออฟฟิศ คืนนั้นผมฝันนานมาก และความฝันนั้นก็ยังชัดเจนจนตอนนี้ ผมถึงขนาดจดจำภาพทุกฉากในตอนนั้นได้อย่างแม่นยำ ผมยืนอยู่ในทางเดินที่หนาวเย็น ได้ยินเสียงลากโซ่อยู่บนพื้น สถานที่นั้นหนาวมาก หนาวมากจริงๆ ความหนาวที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาทั้งชีวิต ก็คือครั้งนั้น แถมยังอยู่ในความฝัน เหอะๆ”
เถ้าแก่โจวแคะขี้หู เพราะว่าเขานอนกอดผีดิบอย่างไป๋อิงอิงอยู่ทุกวัน สำหรับคำว่า ‘หนาว’ เขามีภูมิคุ้มกันนานแล้ว คนปกติทั่วไป ไม่สามารถทนรับพลังหยินที่แผ่กระจายออกมาจากตัวของไป๋อิงอิงได้ แต่โจวเจ๋อกลับรู้สึกหวานเหมือนลูกอม
“ผมเห็นคนใส่เสื้อผ้าสีขาวเดินมาแต่ไกล เขาเดินช้ามาก ค่อยๆ เดินทีละก้าว บนเท้าของเขามีโซ่ตรวนคู่หนึ่งล็อกอยู่ที่ข้อเท้าของเขา ทุกก้าวที่เขาเดินจะเกิดเสียง ‘ครืดๆๆ’ ออกมาเพราะโซ่ตรวนที่ลากอยู่บนพื้น เสียงนั้นดังก้องไปมาอยู่ในความฝันของผมไม่หยุดตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา เขาเดินมาแต่ไกล เดินผ่านหน้าผมไป ผมเห็นหน้าของเขาไม่ชัดเจน ผมของเขายุ่งเหยิงมาก แต่ตอนที่เขาเดินผ่านหน้าของผม ผมกลับไม่รู้สึกหนาวแล้ว กระทั่งรู้สึกถึงความอบอุ่นบางอย่าง
จากนั้นเขาก็เดินไป ดูเหมือนเขาจะไม่เห็นผมเลย เดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ จนกระทั่งสุดทางเดิน จากนั้นเขาก็หายไป หลังจากนั้นผมก็ตื่นจากความฝัน ไม่มีคลื่นลม ไม่มีจุดหักเห จริงๆ แล้วก็คือความฝันที่ธรรมดามาก แต่เพราะว่าความฝันนั้นเหมือนจริงมากเกินไป สมจริงราวกับว่ามันเกิดขึ้นจริง ดังนั้นผมจึงจำมันได้ จำได้มากกว่ายี่สิบปีแล้ว
หลังจากครั้งนั้นเมื่อผมฝันอีก ในฝันไม่ว่าผมจะทำอะไร ไม่ว่าผมจะฝันแบบไหน บนเท้าของผมก็จะมีโซ่ตรวนเส้นนี้อยู่ตลอด โซ่เส้นนั้นที่เดิมทีน่าจะอยู่บนข้อเท้าของคนชุดขาวนั่น กลับปรากฏอยู่บนตัวของผม” จางเยี่ยนเฟิงสูดลมหายใจลึกๆ แล้วพ่นออกมาอย่างแรง
“เนื่องจากมีสวัสดิการผมเลยไปหาจิตแพทย์ แต่คำตอบของเขาทำให้ผมไม่พอใจมาก คุณรู้ไหมว่าเขาพูดว่าอะไร เขาพูดว่า ผมขี้ขลาด ผมกลัว กลัวว่าตัวเองจะแพ้ และจะเกิดเรื่องเมื่อไร ฮ่าๆ..” พอพูดถึงตรงนี้ จางเยี่ยนเฟิงหัวเราะ ทิ้งก้นบุหรี่ลงบนพื้นแล้วเหยียบอย่างแรง
“ทั้งชีวิตนี้ของผม ไม่รู้สึกละอายต่อธงชาติ ไม่รู้สึกละอายต่อตราตำรวจ คุณรู้ไหม วันที่เคลื่อนศพพ่อของผม ในวันนั้นเขาใส่ชุดตำรวจพร้อมกับคลุมด้วยธงชาติ”
“ผมเชื่อครับ” โจวเจ๋อมองตำรวจจาง พูดตามความจริง เขาทำให้โจวเจ๋อนึกถึงหัวหน้าตำรวจท่านหนึ่งที่เคยมาซื้อหนังสือในร้านหนังสือของตัวเอง
ซึ่งเหมือนกับในเวยป๋อ ไม่ว่าเจ้าหน้าที่ในเมืองไหนรังแกประชาชนหรือทุบตีหญิงชรา ข่าวประเภทนี้จะถูกตีแผ่และโดนวิจารณ์จากผู้คนเป็นจำนวนมาก แต่ข่าวที่นักดับเพลิงหรือตำรวจเสียชีวิตระหว่างปฏิบัติหน้าที่ กลับมีคนแชร์ข่าวน้อยมาก ในความเป็นจริงนั้น บนโลกใบนี้ยังมีคนดีอีกมากมาย ไม่อย่างนั้นสังคมคงวุ่นวายไปนานแล้ว
ทั้งสองคนเงียบไปประมาณสิบห้านาที โจวเจ๋อจึงเป็นคนทำลายความเงียบในเวลานี้ก่อน
“ผมต้องหาวิธีแก้ไขเรื่องนี้ครับ” โจวเจ๋อชี้ไปที่เท้าของตัวอง จากนั้นจึงลุกขึ้น ฝั่งตรงข้ามสวนสาธารณะขนาดเล็กก็คือสถานีตำรวจ ทันใดนั้นโจวเจ๋อก็ถามว่า “เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนตอนที่คุณฝัน ก็อยู่ที่สถานีตำรวจแห่งนี้ใช่ไหมครับ”
“ใช่ครับ แต่ตอนนั้นสถานีตำรวจยังไม่ใหญ่มาก สถานีตำรวจได้รับการรื้อถอนและสร้างใหม่เมื่อสิบปีก่อนเห็นจะได้”
“ที่อยู่ไม่ได้เปลี่ยนใช่ไหมครับ”
“ไม่เปลี่ยนครับ”
โจวเจ๋อพยักหน้า “คุณช่วยวาดออกมาได้ไหมครับ”
“วาดไม่เป็น” ตำรวจจางตอบอย่างตรงไปตรงมา “คุณอยากให้ผมวาดรูปที่อยู่ในฝันออกมาเหรอ”
“ใช่ครับ ผมอยากเห็นลักษณะที่ชัดเจนกว่านี้”
“ในสถานีมีคนเก่งที่ถนัดด้านนี้ครับ ผมสามารถเรียกเขามาได้”
“ไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของเขาเหรอครับ” ตอนนี้เวลาไม่เช้าแล้วนะ
“คนหนุ่ม ต้องโดนฝึกฝนบ่อยๆ” จางเยี่ยนเฟิงตอบเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา
ทันใดนั้น โจวเจ๋อก็นึกถึงตัวเองที่ดั้นด้นฝึกงานหนักเหมือนสุนัขในชาติที่แล้ว
โจวเจ๋อไม่ได้กลับไปที่สถานีตำรวจนี่เป็นคำขอของโจวเจ๋อ เขามักจะรู้สึกว่าเรื่องพวกนี้หากคุยที่สถานีตำรวจอาจจะดูแปลกไปนิด และสถานที่แห่งนั้นก็มักจะมีแรงกดดันที่มองไม่เห็นคอยกดเขาอยู่
ทุกคนมานั่งที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งข้างสถานีตำรวจ ตำรวจหนุ่มคนนั้นถือโน้ตบุ๊กของตัวเองมาด้วย หน้าตามีสิวดูแล้วยังเป็นวัยรุ่นมาก เขาเดินมาตรงหน้าจางเยี่ยนเฟิงก่อน แล้วเอ่ยทักทาย “สวัสดีครับหัวหน้าจาง”
จางเยี่ยนเฟิงพยักหน้า จากนั้นตำรวจคนนั้นจึงมองไปที่โจวเจ๋อ แล้วถามว่า “คนนี้ต้องเรียกว่ายังไงครับ”
“ผู้ต้องสงสัยครับ” โจวเจ๋อแนะนำตัวเอง
“…” ตำรวจหนุ่ม
จางเยี่ยนเฟิงเหลือบตามองโจวเจ๋อหนึ่งที จากนั้นยื่นมือเพื่อบอกให้ตำรวจหนุ่มนั่งลงข้างๆ เขา
ต่อจากนั้นตำรวจหนุ่มจึงเปิดโน้ตบุ๊กของตัวเอง เริ่มวาดเส้นตามคำอธิบายของจางเยี่ยนเฟิง สิ่งนี้ทำให้โจวเจ๋อเปิดโลกมาก บางทีในสายตาของคนมากมาย ตำรวจทุกคนล้วนเป็นตำรวจสืบสวนฝีมือเยี่ยม แต่ในความเป็นจริงนั้น ในทีมตำรวจโดยเฉพาะในช่วงไม่กี่ปีมานี้เริ่มมีผู้เชี่ยวชาญด้านอื่นมาร่วมทีมมากขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งเหมือนกับผู้ที่ฉ้อโกงเงินที่เคยโด่งดังอยู่ช่วงหนึ่ง หลังจากถูกจับเข้าคุกแล้วก็ถูกหน่วยงานเอฟบีไอดึงเข้าร่วมทีมเช่นกัน
ตอนที่ตำรวจหนุ่มกำลังยุ่ง โจวเจ๋อนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ข้างๆ ผ่านไปประมาณสองชั่วโมง จางเยี่ยนเฟิงจึงพยักหน้าเพื่อบอกว่าเสร็จแล้ว จากนั้นจึงหันโน้ตบุ๊กไปทางโจวเจ๋อ ชี้ไปที่หน้าจอแล้วพูดว่า “น่าจะเป็นภาพประมาณนี้”
โจวเจ๋อจ้องมองหน้าจออยู่พักหนึ่ง คนใส่ชุดสีขาวคนหนึ่งถูกใส่โซ่ตรวน เดินไปข้างหน้าอย่างอืดอาด ทั้งสองข้างมีแต่ความมืดมน ด้านหลังก็มีแต่ความมืดปกคลุมไปทั่ว นี่คือพื้นที่ที่แคบสุดๆ
โจวเจ๋อมองจางเยี่ยนเฟิง แล้วพูดว่า “พอจะจำรายละเอียดได้อีกไหมครับ”
“อะไรนะครับ” จางเยี่ยนเฟิงไม่ค่อยเข้าใจ
“อย่างเช่นตรงนี้กับตรงนี้” โจวเจ๋อชี้ไปที่ทั้งสองด้านของภาพ “สองด้านนี้เป็นกำแพง แต่หลังจากพื้นที่สีดำทั้งหมดนี้เป็นอะไร ถ้าหากเป็นกำแพง ทำไมไม่ยื่นขยายออกไปเลย”
“ผมก็ไม่เข้าใจ แต่ผมจำได้ว่าตอนนั้นในฝันของผมมีกำแพงอยู่ตรงนี้ แต่ไม่ต่อเนื่องกัน ไม่ได้เชื่อมเป็นแผ่นเดียวกัน”
“ดังนั้น จากคำอธิบายของหัวหน้าจาง ผมจึงอยากจะระบายสีเน้นหนักไปที่ความแตกต่างของแสงและเงาครับ”ตำรวจหนุ่มพูดอธิบายอยู่ข้างๆ “เดิมทีผมอยากวาดกำแพงตรงนี้ให้ขยายออกไป แต่หัวหน้าจางบอกว่าไม่ใช่แบบนี้”
ไม่รู้ว่าทำไม โจวเจ๋อสนใจเงาสีดำที่อยู่ข้างกำแพงทั้งสองด้านเป็นอย่างมาก ส่วนคนที่สวมเสื้อผ้าชุดสีขาวใส่โซ่ตรวนคนนั้น เขากลับไม่ได้สนใจเท่าไร
โจวเจ๋อเงยหน้าแล้วครุ่นคิดอย่างต่อเนื่อง เขานึกถึงภาพตอนที่อยู่ในห้องขังได้ ขณะที่ตัวเขาอยู่ในรั้วห้องขัง เสียงของโซ่เส้นนั้นเริ่มจากไกลเข้ามาใกล้ เดินวนไปมาไม่หยุด พยายามหาร่องรอยของเขา…
ทันใดนั้นโจวเจ๋อเหมือนจะนึกอะไรออก ชี้ไปยังบริเวณที่มืดทั้งสองข้างของภาพแล้วพูดว่า “ตรงนี้ไม่ใช่กำแพง แต่เป็นรั้วห้องขังหรือเปล่าครับ”
ขณะที่พูด โจวเจ๋อใช้มือเทียบเล็กน้อย “เคยดูภาพยนตร์สมัยเก่าไหมครับ เรือนจำแบบเก่าพวกนั้น พอจะจำได้ไหมครับ”
ตำรวจหนุ่มหันโน้ตบุ๊กมาทันทีแล้วเริ่มแก้ใหม่อีกครั้ง จางเยี่ยนเฟิงที่อยู่ข้างๆ กลับจมอยู่ในความคิด
“ใช่แบบนี้ไหมครับ” ไม่ช้าตำรวจหนุ่มก็หันโน้ตบุ๊กไปทางโจวเจ๋อกับจางเยี่ยนเฟิง ในภาพที่แต่เดิมเป็นบริเวณดำมืดไม่ชัดเจนเปลี่ยนเป็นรั้วห้องขัง ด้านในยังคงดำมืดและเลือนรางเหมือนเดิม ทว่าหลังจากที่เพิ่มรั้วห้องขังเข้าไปกลับทำให้ทั้งภาพมีมิติที่ชัดเจนมากขึ้น กระทั่งเปิดเผยข้อมูลที่อยู่ในนั้นทันที
ภายในทางเดินของเรือนจำที่แคบมาก มีนักโทษในชุดสีขาวคนหนึ่งถูกใส่โซ่ตรวนที่เท้า เดินไปข้างหน้าอย่างงุ่นง่าน ข้างตัวของเขาเป็นห้องขังอื่น บางทีในนั้นอาจจะมีสายตาหลายคู่คอยจ้องมองเขาอยู่
จางเยี่ยนเฟิงรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทันที โทรหาใคร โจวเจ๋อไม่แน่ใจ แต่จางเยี่ยนเฟิงพูดเสียงดังฟังชัดมาก และเขาก็ไม่ได้หลีกเลี่ยงที่จะพูดประเด็นนี้กับทั้งสองคน “เหล่าหวัง ผมจางเยี่ยนเฟิง ตอนนี้คุณช่วยสืบให้ผมหน่อย ตำแหน่งของสถานีตำรวจของพวกเราเมื่อก่อนเป็นอะไร เมื่อก่อนคุณเคยพูดกับผมไม่ใช่เหรอว่า สถานีตำรวจเก่าได้บูรณะมาจากอาคารเก่าแก่ ช่วยผมสืบเรื่องนี้ที สืบดูว่าเป็นสถานที่อะไรกันแน่ เมื่อก่อนใช้ทำอะไร อะไรนะ คุณอยากได้รายละเอียดที่ชัดเจนกว่านี้ โอเค คุณไปสืบดูว่า เมื่อก่อนมีปีไหนที่เคยถูกใช้เป็นเรือนจำมาก่อนหรือเปล่า”
…………………………………………………………………………