ตอนที่ 214 หายสาบสูญ
รถคาดิลแลคคันหนึ่งจอดอยู่หน้าร้านหนังสือ ตอนนี้ยังเป็นช่วงเช้ามืด ดังนั้นถนนหนานต้าที่คนพลุกพล่านในช่วงกลางวัน ตอนนี้ยังคงเงียบเหงาอยู่มาก
มีหญิงสาวคนหนึ่งลงจากรถมา เธอสวมกระโปรงสีขาวมีระบายและสวมถุงน่องสีดำ ประกอบกับผิวละเอียดเกลี้ยงเกลาเนียนนุ่มน่าถนอมและใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของเธอ เรียกได้ว่าแสดงให้เห็นถึงความกลมกลืนระหว่างความอ่อนเยาว์และเซ็กซี่เย้ายวนออกมาได้อย่างลงตัวและสมบูรณ์แบบ
หญิงสาวเลียริมฝีปาก ไม่รีบร้อนเข้าไป แต่มองไปที่ป้ายข้างประตูทั้งสองด้านของร้านหนังสือ ด้านหนึ่งเขียนไว้ว่า ‘ท่านลองฟังดู’ และอีกด้านก็เขียนว่า ‘ข้าได้ยินมาเช่นนี้’
ข้าจะพูดถึงเรื่องราวเหล่านั้นที่เล่าลือกัน ท่านก็ฟังๆ ไปเถิดแล้วอย่าไปคิดจริงจังและเก็บเอาไปคิดในใจเด็ดขาด
จากป้ายนี้ สิ่งที่ปะทะหน้าเข้ามานั้น คือกลิ่นอายของคนไม่เอาถ่าน
หากเป็นคนที่มีระดับบรรดาศักดิ์ชั้นสูงแบบนั้น หลังจากเกษียณอายุไปแล้วแขวนสิ่งนี้ไว้หน้าประตู จะทำให้รู้สึกว่าเห็นการเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้มามากจนคืนกลับสู่ความเรียบง่ายแล้ว
แต่หญิงสาวรู้ดีว่า เถ้าแก่ของร้านหนังสือแห่งนี้มีนิสัยของคนไม่เอาถ่าน พูดแบบไม่น่าฟังเลยก็คือ ไม่แสวงหาความก้าวหน้า เอาแต่คิดจะใช้ชีวิตผ่านไปวันๆ
เหมือนกับที่คนทั่วไปเห็นเงินร้อยเหรียญดอลลาร์สหรัฐตกอยู่บนพื้น แล้วจงใจแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นและไม่หยิบขึ้นมา จะถูกคนมองว่าเป็นแบบอย่างของคนหน้าใหญ่ใจโต แต่ถ้าหากเป็นบิล เกตส์ไม่หยิบละก็มักจะนำไปสู่ความหมายที่ลึกซึ้งมากมายละมั้ง
เมื่อเดินไปถึงหน้าประตู ประตูถูกล็อกเอาไว้ สำหรับร้านหนังสือที่มักจะเปิดประตูและทำการในตอนกลางคืน การที่ประตูล็อกในเวลานี้ถือว่าผิดปกติ
หญิงสาวขยับนิ้วเบาๆ
‘แกร๊ก…’
ตัวล็อกด้านในเปิดออกเอง
ผลักประตูเปิดแล้วเดินเข้าไปข้างใน
หญิงสาวหลับตาพริ้ม เผยสีหน้าเพลิดเพลินถึงขีดสุด
ต้องรู้ว่าภายในร้านหนังสือในเวลานี้หลายๆ ที่ก่อตัวเป็นน้ำค้างแข็งไปแล้ว โดยเฉพาะตรงที่ใกล้กับพื้น ยังมีไอสีขาวลอยอยู่ เหมือนไอสีขาวที่ล้อมรอบไอศกรีมแท่งในฤดูร้อนแบบนั้น แต่มันไม่ได้เกิดจากน้ำแข็งแห้ง
ในตอนแรกมันก็สบายดี แต่พอนานเข้าแม้แต่หญิงสาวยังรู้สึกทนไม่ไหวนิดหน่อย เธอมองดูชายหนึ่งหญิงหนึ่งที่นั่งนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนโซฟา แล้วเลือกที่จะถอยออกไปก่อน
จากนั้นหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทรหาหมายเลขหนึ่ง
ไม่นาน นักพรตเฒ่าที่ห่อหุ้มด้วยเสื้อคลุมทหารวิ่งจากชั้นบนลงมา เขาตัวสั่นเทาและสูดน้ำมูกไปพลาง โดยเฉพาะเมื่อผ่านเถ้าแก่ของตัวเองไป
นักพรตเฒ่าไม่รอช้า รีบวิ่งออกไปด้านนอกร้าน จากนั้นถอดเสื้อคลุมทหารออก
ค่ำคืนในฤดูร้อนก็ร้อนอบอ้าวเช่นกัน แต่ตอนนี้นักพรตเฒ่ากลับชอบความร้อนอบอ้าวแบบนี้มากกว่า และแทบจะทนรอให้มันร้อนกว่านี้อีกหน่อยไม่ได้แล้ว
เมื่อมองซ้ายมองขวา นักพรตเฒ่ามองเห็นรถคาดิลแลคคันนั้น จากนั้นเมื่อเข้าไปใกล้ ก็มองเห็นหญิงสาวยืนพิงประตูรถพร้อมกับถือโทรศัพท์มือถือ
หญิงสาวยังเด็กมาก แต่อายุน่าจะมากกว่าไป๋อิงอิงในร้านหนังสือนิดหน่อย
“โอ้ เจ้ามาแล้วหรือ!”
นักพรตเฒ่าเผยสีหน้าประจบเอาใจทันที แน่นอนว่ามีความสุขที่ได้เจอเพื่อนเก่าอีกครั้ง
คนที่มาไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นถังซือ
ถังซือมองนักพรตเฒ่าที่จมูกเย็นจนแดงก่ำ และเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มบางๆ
“มีคนเห็นเถ้าแก่คนปัจจุบันของคุณอยู่ที่เส้นทางไปสู่นรกในความฝัน เขาเลยให้ฉันมาดูหน่อย แต่ดูแล้วปัญหาค่อนข้างรุนแรงเลยทีเดียว”
“เอ่อ เถ้าแก่เขาเป็นอย่างไรบ้าง” นักพรตเฒ่าถาม
ถังซือถอนหายใจ ชี้นิ้วไปที่ดวงตาของตัวเอง จากนั้นเงียบไม่พูดไม่จา
นักพรตเฒ่าก็ถอนหายใจเช่นกัน ไม่กล้าถามต่ออีก ทันทีที่เขามองไปยังร้านหนังสือที่อยู่ข้างหลังก็เอ่ยขึ้นว่า “ให้ข้าไปปลุกเขาตื่นไหม”
“ปลุกให้ตื่นมาก็ไม่มีประโยชน์ เรื่องนี้มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ไม่แน่อาจจะทำให้อะไรวุ่นวายมากขึ้นกว่าเดิม บอกฉันมาก่อนแล้วกันว่าเรื่องราวทั้งหมดมันเกิดอะไรขึ้น ตอนที่ออกมาเขาก็ไม่ได้บอกอะไรฉันชัดเจน เพียงแค่ให้ฉันมาดูก็เท่านั้น”
“ได้ เราเข้าไปดื่มชากันดีกว่า…”
ขณะที่นักพรตเฒ่าพูดก็มองไปยังร้านหนังสือด้านหลังที่อยู่ในธีม ‘แช่แข็ง’ จากนั้นส่ายหน้าแล้วเอ่ยขึ้น
“ช่างเถอะ เราคุยกันที่ริมถนนนี่แหละ”
…
ตอนรุ่งสาง หลังสถานีตำรวจมีเสียงดังกระหึ่มของเครื่องจักรลอยมา ที่ดินที่ได้รับอนุมัติใหม่นี้ใช้ดัดแปลงเป็นที่จอดรถใต้ดิน เนื่องจากว่ามีการกำหนดระยะเวลาทำงาน ดังนั้นทีมงานก่อสร้างจึงเริ่มก่อสร้างกันแต่เช้าตรู่
จางเยี่ยนเฟิงเพิ่งตื่นนอนและกำลังหาวหวอดๆ ปกติแล้วจะยุ่งอยู่กับงาน การที่จะนอนหลับในห้องทำงานนั้นจริงๆ แล้วเป็นเรื่องธรรมดา
หลังจากกลับจากร้านหนังสือเมื่อคืนนี้ เขาก็นั่งสูบบุหรี่ทีละมวนๆ ในห้องทำงาน จากนั้นผล็อยหลับคาโต๊ะไปโดยไม่รู้ตัว
เขาฝัน
ฝันเห็นเขาและโจวเจ๋อทั้งสองคนกำลังนั่งเผชิญหน้ากันบนม้านั่งในสวนสาธารณะ ทั้งสองพูดคุยเรื่องอะไรกันไปบ้างนั้นเขาลืมไปแล้ว จำได้แค่เขาเห็นว่าบนขาของเขาและโจวเจ๋อต่างก็มีโซ่ตรวนขึ้นสนิมอยู่
สิ่งแรกที่ทำหลังจากตื่นนอนคือการล้างหน้าแปรงฟัน เมื่อล้างหน้าแล้วในที่สุดจางเยี่ยนเฟิงก็รู้สึกว่าหัวสมองของเขาปลอดโปร่งขึ้นมาบ้างแล้ว
ขณะที่กำลังจะถือของใช้สำหรับล้างหน้าเตรียมตัวกลับไปที่ห้องทำงานเพื่อเริ่มทำงานในวันนี้ ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มสองนายเดินเข้ามา ทั้งสองนายกำลังพูดคุยกันอย่างเผ็ดร้อน และชนเข้ากับจางเยี่ยนเฟิงที่หัวมุมอย่างจัง
“คุยอะไรกันน่ะ จริงจังขนาดนั้นเลยเหรอ”
จางเยี่ยนเฟิงไม่ได้โมโห ชายวัยกลางคนที่หย่าร้างและเคยชินกับการนอนในห้องทำงาน ไม่มีอะไรให้ต้องวางมาดเล่นตัว
“หัวหน้าจาง ขอโทษครับ เรากำลังพูดถึงสิ่งที่ทีมก่อสร้างด้านหลังขุดขึ้นมาเมื่อสักครู่ เหมือนป้ายอะไรสักอย่างแล้วยังมีเครื่องปั้นเซรามิกด้วย” ตำรวจหนุ่มตอบ
“อะไรนะ”
จางเยี่ยนเฟิงรีบยัดของในมือเขาให้กับตำรวจหนุ่มที่อยู่ข้างๆ ทันที จากนั้นรีบวิ่งลงจากอาคารสำนักงานไปที่บริเวณพื้นที่ก่อสร้างด้านหลัง
เขาไม่คิดว่าโจวเจ๋อจะเร็วได้ถึงขนาดนี้ เมื่อวานตัวเองเพิ่งจะบอกเรื่องทีมก่อสร้างกับเขาไปเอง เช้านี้เขาสามารถจัดการให้คนจงใจเจาะลึกลงไปดูได้แล้ว
เจ้าหน้าที่จางเข้าใจผิดเถ้าแก่โจวเสียแล้ว
หลังจากที่เขาจากไปไม่นาน เถ้าแก่โจวก็เข้าสู่สภาวะหลับเป็นตายไปแล้ว ยังไม่ทันมีเวลาไปมอบหมายให้นักพรตเฒ่าหรือสวี่ชิงหล่างจัดการเรื่องนี้เลยเสียด้วยซ้ำ
ต่อให้ถูกสั่งการไปแล้ว แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเห็นผลได้รวดเร็วขนาดนี้ แม้แต่ใช้วิธีที่ผิดกฎหมายอย่างการคุกคามที่เรียบง่ายและหยาบคายที่สุดก็ไม่สามารถทำได้อย่างรวดเร็วปานนี้ นี่มันเป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญแล้วละ
บังเอิญมีการสร้างที่จอดรถใต้ดิน เดิมทีความลึกที่ต้องการขุดนั้นค่อนข้างมาก และดันมาอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง จึงขุดอะไรบางอย่างออกมาได้
เมื่อจางเยี่ยนเฟิงวิ่งมาถึงสถานที่ก่อสร้าง ก็พบว่ามีตำรวจจำนวนมากกำลังเฝ้าดูความตื่นเต้นอยู่ที่นี่เช่นกัน โชคดีที่มันอยู่ในเขตพื้นที่สถานีตำรวจ กลุ่มคนมุงเข้ามาไม่ได้ ดังนั้นที่เกิดเหตุยังคงปลอดภัยดี
ที่จริงมันก็ไม่แปลกที่ทุกคนจะคึกคักกันแบบนี้ การก่อสร้างแล้วขุดอะไรบางอย่างได้ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศต่างไม่นับว่าเป็นเรื่องใหม่อะไรแล้ว
ช่วงก่อนหน้านี้ในหรงเฉิงได้ปรับปรุงโรงยิมแห่งหนึ่ง ปรากฏว่าพบสุสานโบราณอยู่ใต้สนามหญ้า เมื่อโยงเข้ากับโรงยิมที่มักจะใช้จัดคอนเสิร์ต นี่ถึงจะเป็นความหมายของคำว่า ‘เต้นรำหน้าสุสาน’ อย่างแท้จริง
แต่ทงเฉิงไม่ใช่หรงเฉิง แม้ว่าจะขึ้นชื่อว่า ‘เมืองแรกในจีนสมัยใหม่’ แต่ถ้าอยากจะพูดถึงเรื่องสิ่งของที่อยู่ใต้ดินจริงๆ ยังเทียบกับที่หรงเฉิงหรือที่ซีอานไม่ได้จริงๆ ความคึกคักนี้ยังเป็นเรื่องใหม่สำหรับชาวทงเฉิง
“ขุดอะไรขึ้นมาได้เหรอครับ”
จางเยี่ยนเฟิงถามตำรวจนายหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง
“ของที่ขุดได้เอามารวมกันไว้ตรงนี้หมดแล้วครับ” นี่คือเจ้าหน้าที่ตำรวจจากอีกแผนกหนึ่ง เขาชี้ไปที่สิ่งของที่วางเรียงกันบนผ้าขาวผืนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ ทันที “มันเป็นของชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่ผมดูแล้วเหมือนมันจะไม่ใช่ของโบราณอะไร เหมือนจะเป็นของสมัยใหม่นิดหน่อยด้วยซ้ำ
แต่เพื่อความปลอดภัย ผมได้สั่งให้พวกเขาระงับการก่อสร้างเอาไว้ก่อนชั่วคราว และเพิ่งจะโทรรายงานหัวหน้าสถานีไป ท่านบอกให้คุยกับคนจากองค์การบริหารมรดกวัฒนธรรมแห่งชาติให้เข้ามาดูก่อนน่ะครับ”
ในสถานีตำรวจมีคนเก่งๆ มีความสามารถอยู่ไม่น้อย อย่างตำรวจนายนี้ที่ประสานงานช่วยเหลือในการสืบสวนคดีลักลอบขนของเก่าเมื่อไม่นานมานี้ก็เป็นคนฉลาดปราดเปรื่อง
จางเยี่ยนเฟิงมองดูสิ่งของบนผ้าขาว พบว่าส่วนใหญ่แล้วเป็นเซรามิกทำเป็นรูปร่างของสัตว์ขนาดเล็ก ยังมีพวกแผ่นป้ายจำนวนหนึ่ง แต่ดูเหมือนจะไม่ได้มีไว้ให้มนุษย์ใช้ มันเล็กและจิ๋วมาก
“จุ๊ๆ ของจากยุคสาธารณรัฐจีน ชาวญี่ปุ่นชอบของลักษณะแบบนี้ สมัยก่อนครอบครัวชาวญี่ปุ่นไม่น้อยซื้อของเล่นแบบนี้ให้ลูกๆ”
จางเยี่ยนเฟิงเงยหน้าขึ้น
มองเห็นนักพรตเฒ่าที่นั่งยองๆ อยู่ฝั่งตรงข้ามเช่นกัน
ข้างๆ ของนักพรตเฒ่ายังมีเด็กสาวที่แต่งตัวได้ร้อนแรงมากอยู่หนึ่งคน
จางเยี่ยนเฟิงจำนักพรตเฒ่าได้ และพยักหน้าให้นักพรตเฒ่าทันที เขาเข้าใจผิดคิดว่านักพรตเฒ่าเป็นคนที่โจวเจ๋อส่งมา
“ข้างบนนี้เขียนอะไรไว้น่ะ”
จางเยี่ยนเฟิงชี้ภาษาญี่ปุ่นบนแผ่นป้ายแล้วเอ่ยขึ้น
นักพรตเฒ่าสะอึก เขามีความรู้รอบตัวมากมาย แต่เมื่อเจอกับของที่เป็นเรื่องเฉพาะทางจริงๆ เขาก็เป็นคนหนึ่งที่แทบจะไม่รู้อะไรเลยเหมือนกัน
ตรงกันข้ามกับถึงซือที่อยู่ข้างๆ ในเวลานี้ก็นั่งยองๆ ลงมาเช่นกัน และยื่นมือไปสัมผัสแผ่นป้ายเหล่านั้น
ตำรวจนายหนึ่งที่อยู่ข้างๆ อยากจะเข้าไปหยุดเธอทันทีที่รู้ตัว แต่ถูกจางเยี่ยนเฟิงแนะให้ถอยออกไปก่อน
“ใช้สำหรับเซ่นไหว้ สำหรับบูชาสัตว์เล็กน่ะ” ถังซือพูดขึ้น “บนผ้าผืนนี้มีตัวอักษรอยู่ ความหมายของภาษาญี่ปุ่นข้างต้น คือการสักการะสัตว์เล็กๆ เหล่านี้ที่เสียสละชีวิตเพื่อจักรวรรดิญี่ปุ่น และหวังว่าพวกเขาจะสามารถอาบแสงแห่งเทพดวงอาทิตย์”
นักพรตเฒ่าชำเลืองมองถังซืออย่างแปลกใจเล็กน้อย “เจ้าเข้าใจภาษาญี่ปุ่นด้วยหรือ”
อีกทั้งไม่ใช่แค่เพียงเข้าใจภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังเข้าใจวัฒนธรรมญี่ปุ่นอย่างชัดเจนอีกด้วย
ถังซือไม่สนใจข้อสงสัยของนักพรตเฒ่า พลางปัดมือและลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
จางเยี่ยนเฟิงกลับกำลังนึกถึงสิ่งที่โจวเจ๋อพูดกับเขาเมื่อคืนนี้ เขาบอกว่าข้างล่างนี้น่าจะมีค่ายกักกันอยู่ ใครก็ตามที่คุ้นเคยกับประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สองเพียงเล็กน้อย ก็น่าจะรู้ว่าค่ายกักกันหมายถึงอะไร
ดังนั้นเขาจึงพูดกับถังซือทันที
“ชาวญี่ปุ่นใช้สิ่งเหล่านี้มาแสดงความเคารพต่อสัตว์เล็กๆ ที่เสียชีวิตในการทดลองใช่ไหมครับ”
ถังซือพยักหน้า
“อย่างนั้นถ้ายังขุดต่อไปละก็ จะเจอพวกแผ่นป้ายและโกศอะไรแบบนั้นหรือเปล่า”
ในช่วงสงครามรุกรานจีน เป็นที่รู้กันดีว่ากองทัพญี่ปุ่นใช้ร่างมนุษย์ทำการทดลองแบคทีเรียในประเทศจีน ตอนนี้ที่จางเยี่ยนเฟิงถามไปแบบนี้ เป็นการเตรียมการสำหรับงานที่จะตามมาภายหลัง สิ่งเหล่านี้จะต้องถูกจัดการอย่างเหมาะสม ถึงอย่างไรพวกเขาล้วนเป็นผู้ที่ทุกข์ทรมานและเป็นเพื่อนร่วมชาติ
ถังซือส่ายหน้า “ไม่มีหรอก”
“ทำไมล่ะ” จางเยี่ยนเฟิงเอ่ยถาม
“ตอนที่ซากปรักหักพังของหน่วย 731 ถูกสะสาง เคยพบอนุสรณ์สถานและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ชาวญี่ปุ่นจัดไว้ให้กับสัตว์ตัวเล็กในห้องทดลอง แต่สำหรับผู้ที่เสียชีวิตในห้องทดลองเป็นเพียงตัวอย่างในการทดลองที่มีชีวิต พวกเขาไม่พูดถึงแผ่นป้ายหรือโต๊ะเซ่นไหว้ และไม่แม้แต่จะเก็บอัฐิเอาไว้เลยด้วยซ้ำ”
“ทำไม” นักพรตเฒ่าถาม
“เพราะในสายตาชาวญี่ปุ่น ชาวจีนในสมัยนั้นด้อยกว่าสัตว์เดรัจฉานอีก”
………………………………………………………