ตอนที่ 229 ช่วงเวลาพิเศษ
แท็กซี่เป็นสิ่งที่แปลกมากอย่างหนึ่ง ตอนที่คุณไม่ต้องการมัน มันจะแล่นผ่านหน้าคุณไปทีละคันๆ พร้อมกับเปิดไฟ ‘ว่าง’ และโชเฟอร์ก็จะกะพริบตาใส่คุณปริบๆ ราวกับรอให้คุณเข้ามานั่งโดยสาร
แต่ตอนที่คุณต้องการมันนั้น คุณจะพบว่ามันหายไปอีกแล้ว ต่อให้มีก็มีลูกค้าอยู่บนนั้นแล้ว
ตอนนี้เถ้าแก่โจวกำลังตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้
รถล่ะ
รถล่ะ
รถไปไหนแล้ว
“เฮ้”
สาวน้อยโลลิเอามือไพล่หลังแล้วเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า
พูดตามตรง สาวน้อยโลลิรู้สึกสิ้นหวังกับโจวเจ๋อเล็กน้อย
ภายใต้การจับพลัดจับผลู สถานะดันกลับตาลปัตรกัน โจวเจ๋อที่อยู่ตรงหน้าได้เปลี่ยนจากคนที่นาง ‘ใช้แล้วทิ้ง’ เป็นพี่ใหญ่ ‘ผู้จับกุม’ ที่ควบคุมความเป็นความตายของนางในทุกวันนี้
ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ ต่างก็ไม่มีอะไรสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์และความเป็นจริงในขณะนี้ได้
และด้วยเหตุนี้ ทุกครั้งที่โจวเจ๋อทำอะไรนอกลู่นอกทาง สาวน้อยโลลิจึงไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงตามล้างตามเช็ดตูดของเขาเหมือนกับผีดิบสาวแสนโง่เขลาในสายตานางตัวนั้น
ที่นี่คือทงเฉิง นางก็เป็นยมทูตของทงเฉิงเช่นกัน นางยังมีความสัมพันธ์กับโจวเจ๋อในฐานะผู้อยู่ใต้สังกัดอีกด้วย ดังนั้นนางและโจวเจ๋อล้วนเป็นคนที่จะได้ดีและพังพินาศไปพร้อมๆ กัน
มองไม่เห็นความเจริญ แต่ความพังพินาศนั้นเห็นต่อเนื่องมาหลายครั้งแล้ว
เศร้าสร้อย
เหนื่อยใจ
แต่ว่า
นางคือกลุ่มคนที่ยินดีจะเห็นโจวเจ๋อพยายามมุ่งมั่นไม่กลายเป็นปลาเค็มมากที่สุด ให้ความรู้สึกเหมือนภรรยามองว่าสามีไม่เป็นโล้เป็นพายไม่ได้เรื่อง ทั้งทุบตีทั้งด่าว่า ให้เขาเห็นว่าสามีบ้านอื่นทำงานหนักแค่ไหน แต่เขากลับเอาแต่เกาะภรรยากินอยู่ที่บ้าน ไม่มีความคิดจะก้าวหน้าเลย
แต่หลังจากทุบตีด่าว่าแล้ว ก็ยังต้องดูว่าเขาจะอดตายหรือเปล่าอีก
โจวเจ๋อจุดบุหรี่ หยุดโบกมือเรียกรถแล้ว ทำได้เพียงพูดขึ้น
“ว่ามา”
“เจ้ารู้จักคนที่เปิดร้านขายของจิปาถะสำหรับคนตายในหรงเฉิงมาก่อนใช่ไหม”
“อย่าพูดไร้สาระ”
“เขาสามารถแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมาก” เมื่อสาวน้อยโลลิเอ่ยถึงบุคคลนั้น ราวกับถูกดึงเข้าไปสู่ความทรงจำที่ราวกับเป็นฝันร้ายในคืนวันฝนตกที่หรงเฉิงอีกครั้ง สีหน้าก็พลันเคร่งขรึมขึ้นมา “ถ้าเจ้าสามารถตามหาเขาได้ละก็ ลองไปถามๆ เขาดูได้ แน่นอนว่า บางทีวิธีของเขาอาจไม่เหมาะกับเจ้า เพราะระหว่างพวกเจ้านั้นมีความแตกต่างกันมาก”
ย้อนกลับไปในตอนนั้น ยมทูตจากหรงเฉิงเป็นคนแรกที่พบเขา
ภายใต้การไล่ล่าของยมทูต เห็นได้ชัดว่าคนผู้นั้นไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องวิ่งหนี ไม่มีแรงจะสู้กลับด้วยซ้ำ
ความเป็นจริงนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะในตอนแรกยมทูตหรงเฉิงเหล่านั้นถูกเด็กชายที่ดูเหมือนแม้แต่ความคิดของผีก็ยังสามารถมองทะลุทะลวงได้เล่นงานเสียจนหัวหมุน คนผู้นั้นสมควรถูกจับไปนานแล้ว
แต่เด็กชายคนนั้นก็ถูกฆ่าเพราะเรื่องนั้นด้วย
พวกยมทูตฆ่าคนน้อยมาก บางทีสามารถบอกได้ว่าไม่กล้าฆ่าคน แต่เด็กชายคนนั้นก็ยังถูกฆ่าอยู่ดี เพราะหลอกได้แม้กระทั่งยมทูต ดวงตาคู่นั้นดูเหมือนจะสามารถมองทะลุและเข้าใจทุกสิ่งได้
จากนั้น ชายหนุ่มที่ทำได้เพียงแค่หลบหนีไปก่อนคนนั้น ก็เป็นฝ่ายกลับมาเอง
เมื่อคนรอบตัวของเขาถูกจับไปทีละคน หรือไม่ก็บาดเจ็บหนีตายจากการไล่ล่า เขาก็กลับมา
หลังจากนั้นก็เป็นคืนนองเลือด ดวงวิญญาณถูกแผดเผา ทุกคนฆ่ากันเอง สมุดยมทูตร่วงหล่นเกลื่อนไปทั่วพื้น
ขณะที่พูด สาวน้อยโลลิยื่นเท้าเตะก้อนหินตรงหน้าออกไป นางไม่อยากระลึกถึงฉากนั้นอีกต่อไป แต่ก็ยังคงพูดต่อ
“ข้าจำได้ว่าหญิงไร้หน้าพูดถึงเจ้าต่อหน้าข้า นางประเมินเจ้าไว้สูงมาก กระทั่งสูงจนน่ากลัว เมื่อก่อนข้าไม่เข้าใจว่านางหมายถึงอะไร ตอนนี้ข้าพอจะเข้าใจแล้ว อันที่จริง ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่เหมาะกับเจ้ามากกว่า และทำได้อย่างแน่นอน”
“ว่ามา”
“เจ้าเป็นเสี้ยวหนึ่งของจิตสำนึกที่ถือกำเนิดมาในตอนที่สิ่งมีชีวิตทรงพลังนั้นอยู่ในอาการหลับใหล ยิ่งไปกว่านั้นยังได้สร้างบุคลิกภาพที่เป็นอิสระ และมีแม้กระทั่งรูปแบบของดวงวิญญาณ หญิงชราคนนั้นเคยด่าเจ้าว่าเป็นแค่สุนัขเฝ้าบ้าน เจ้ายอมรับไว้ก่อนก็ได้”
โจวเจ๋อตกอยู่ในภวังค์ความคิด ราวกับว่าเขาเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว
“เจ้าเป็นสุนัขเฝ้าบ้าน เจ้าเป็นยามเฝ้าประตู เจ้าปกป้องทรัพย์สมบัติอันยิ่งใหญ่! เจ้าสามารถ…ขโมยมันมาได้!”
มุมปากของโจวเจ๋อกระตุกโดยไม่รู้ตัว
“เขายังไม่สมบูรณ์แบบไม่ใช่เหรอ เขายังไม่ฟื้นขึ้นมาไม่ใช่เหรอ เขายังพิการอยู่ไม่ใช่เหรอ นี่เป็นโอกาสของเจ้าแล้ว! พละกำลังของเขา ความสามารถของเขา พรสวรรค์เหนือธรรมชาติของเขา!”
ขณะที่พูด สาวน้อยโลลิจับฝ่ามือของโจวเจ๋อขึ้นมาก่อน และกางนิ้วของโจวเจ๋อออกพลางพูดขึ้น
“ก็อย่างเช่นเล็บสีดำนี้ นี่เป็นการแสดงออกถึงการขโมยตัวตนของเจ้าอย่างหนึ่ง เจ้าได้ทำส่วนหนึ่งไปแล้วโดยไม่รู้ตัว แม้ว่ามันจะเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ก็ตาม แต่นานวันเข้า มันก็เพียงพอแล้วสำหรับเจ้าที่จะปกป้องตัวเอง แม้กระทั่งยังสามารถสนับสนุนเจ้าในฐานะยมทูตอีกด้วย
เจ้าสามารถขโมยมากกว่านี้ เจ้าสามารถขโมยมันมาได้มากกว่านี้นะ ขโมยของเขามาทั้งหมด หรือไม่ก็ สักครึ่งหนึ่ง!
เพียงแค่ขโมยมาก่อนครึ่งหนึ่ง เจ้ายังต้องกลัวเขาจะฟื้นขึ้นมาอีกเหรอ
ไปให้ถึงที่สุดสิ ในตอนแรกตอนที่เจ้ายังเป็นแค่ยมทูตชั่วคราวตนหนึ่ง ยังมีความกล้าหาญเกิดความคิดที่จะเข้ามาแทนที่ข้าในใจของเจ้า
ตอนนี้เจ้าไม่กล้าแทนที่เขาเหรอ เจ้าคือโจวเจ๋อ เจ้ามีบุคลิกลักษณะเฉพาะตัว เจ้าคือคนคนหนึ่ง! แล้วทำไมจะทำไม่ได้ล่ะ”
หลังจากโจวเจ๋อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ก็มองไปที่นิ้วของเขาอีกครั้ง และพยักหน้าเงียบๆ
ใช่แล้ว
แทนที่จะถามคนอื่นถึงวิธีการฝึกฝนให้แข็งแกร่งขึ้น เห็นได้ชัดว่าตัวเองมีสิ่งที่คล้ายกับหอคัมภีร์ของวัดเส้าหลินอยู่ข้างตัว กุญแจประตูก็อยู่ในมือของเขาเอง แล้วจะมัวมองหาสิ่งที่อยู่ไกลๆ ไปทำไมล่ะ
“เจ้าจะเอาไปหรือไม่ ของเหล่านี้ก็วางไว้ที่นี่แล้ว ถ้าเจ้าไม่เอามันไปก็ไม่ใช่ของเจ้า ถ้าเจ้าเอาไปมันก็เป็นของเจ้า วางไว้ที่นี่ก็เสียไปเปล่าๆ”
เสียงเอ่ยพูดของสาวน้อยโลลิแฝงการปลุกปั่นเข้าไปเล็กน้อย
“ดังนั้นสิ่งที่เอาไปและนำกลับไปบ้านด้วย ถึงจะเป็นของของตัวเองจริงๆ”
“แต่ถ้าเขาตื่นขึ้นมาแล้วมาแทนที่ผม มันจะไม่เป็นผลดีต่อคุณมากกว่าเหรอ” โจวเจ๋อมองสาวน้อยโลลิแล้วถามขึ้น
“ข้าเป็นเพียงยมทูตตนหนึ่งเท่านั้น” สาวน้อยโลลิยิ้ม “ถ้าสิ่งนั้นในตัวเจ้าตื่นตัวเต็มที่แล้ว ในสายตาของเขา ข้าก็เป็นเพียงแค่ลมตดเท่านั้นแหละ กระทั่งเขากลืนกินเจ้าเข้าไปแล้ว คาดว่าเขาก็คงไม่รังเกียจที่จะกลืนข้าเข้าไปด้วยหรอก ถึงอย่างไรเลือดจิตวิญญาณของข้าก็อยู่ในกำมือเจ้าอยู่ดี”
คำอธิบายนี้สมเหตุสมผล
“ผมเข้าใจแล้ว” โจวเจ๋อพูด
“อีกหน่อย ดึงเวลาอันมีค่าจากการอาบแดด อ่านหนังสือพิมพ์ และดื่มกาแฟของเจ้าออกมานิดหน่อย แล้วมาลองทำดูสิ” สาวน้อยโลลิยังคงโน้มน้าวต่อ
คล้ายกับแม่ที่ขี้กังวลใจ พยายามโน้มน้าวอย่างเต็มที่เกลี้ยกล่อมลูกชายที่สมองพิการไม่เป็นโล้เป็นพายของตัวเองให้มีแรงฮึดสู้ขึ้นมาอีกหน่อย
“อ้อ ใช่ ยังมีอีกคำถามหนึ่ง” โจวเจ๋อมองสาวน้อยโลลิที่อยู่ตรงหน้าเขา “สิ่งที่คุณพูดไปเมื่อกี้มันค่อนข้างเยอะทีเดียว”
ไม่ใช่ทำเพื่อเจ้าหรืออย่างไร
“บอกผมได้ไหมว่าตอนที่คุณยังมีชีวิตอยู่ คุณทำอะไร” โจวเจ๋อถาม
“ผู้ประกอบการ นักธุรกิจหญิง” สาวน้อยโลลิตอบตรงๆ
“อะไรนะ”
“อาศัยการปรับโครงสร้างรัฐวิสาหกิจ ยักยอกทรัพย์สินของรัฐอย่างโชกโชน”
โจวเจ๋อเข้าใจแล้ว
ดังนั้นตอนที่หญิงสาวคนนี้เอาแต่โน้มน้าวให้เขาขโมยมาเป็นของตัวเอง ถึงได้ชำนาญขนาดนี้เองสินะ
…
นั่งแท็กซี่กลับไปที่ร้านหนังสือ
ระหว่างทางโจวเจ๋อกำลังคิดเรื่องหาวิธีขโมยมาเป็นของตัวเอง
ภูเขาสมบัติอยู่ตรงหน้าเขา และเขาก็มีกุญแจประตูใหญ่เสียด้วย เพราะเขาสามารถปลุกมันขึ้นมาก่อนได้ แต่ทว่า เขากลับไม่รู้วิธีขนย้ายสมบัติทองคำและเงินจากที่นั่นกลับมาที่บ้านของเขาเอง
นี่เป็นปัญหาที่น่าปวดหัวมาก
มันเหมือนคืนวันที่หญิงไร้หน้าปลอมตัวเป็นหมอหลินเพื่อล่อลวงเขาในตอนแรก
มีใจแต่ไร้ซึ่งพลัง
เมื่อลงจากรถก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว ไฟในร้านยังเปิดอยู่
จากนั้นมีคนมากมายในร้านหนังสือ ใช่ คนเยอะมาก ตามภาพจำของโจวเจ๋อนั้น ร้านหนังสือของเขาไม่คึกคักแบบนี้มานานแล้ว
เมื่อเดินเข้าไปในร้านหนังสือ โดยพื้นฐานแล้วล้วนเป็นคนหนุ่มสาวที่ดูเหมือนนักเรียน ทั้งชายและหญิง พวกเขานั่งบนที่นั่งเงียบๆ เอาแต่มองหนังสือและสมุดบันทึกตรงหน้าตัวเอง
บางคนยังขยับริมฝีปากอยู่ น่าจะกำลังท่องคำศัพท์ภาษาอังกฤษ
โจวเจ๋อรู้สึกสับสนเล็กน้อย คืนนี้กิจการไปได้สวยจริงๆ
สวี่ชิงหล่างนั่งอยู่ข้างๆ เคาน์เตอร์ เมื่อโจวเจ๋อเดินเข้ามาใกล้ สวี่ชิงหล่างก็ยักไหล่พลางเอ่ยขึ้น “เป็นไง คืนนี้กิจการดีจนน่าประหลาดใจเลยใช่ไหม”
“เกิดอะไรขึ้น”
จู่ๆ ก็มีผีจำนวนมากมายเข้ามา ซึ่งหมายถึงคะแนนผลงานมากมาย เถ้าแก่โจวรู้สึกปรับตัวไม่ทันเล็กน้อย
เพราะเคยชินกับช่วงเวลาที่ยากลำบากแล้วน่ะสิ
“การสอบเอนทรานซ์จะเริ่มขึ้นตอนรุ่งสาง”
สวี่ชิงหล่างจุดบุหรี่หนึ่งมวน พ่นควันออกมาและพูดต่อ
“พวกนี้เป็นวิญญาณนักเรียน พวกเขาไม่รู้ตัวว่าตายแล้ว กลับยังคิดว่าพรุ่งนี้พวกเขาจะต้องสอบเอนทรานซ์ ดังนั้นจึงมาที่นี่เพื่อเตรียมสอบน่ะ”
“มากขนาดนี้เลยเหรอ”
“อือ ยังมีคนที่สอบเอนทรานซ์ไม่ได้และกระโดดตึกฆ่าตัวตายอีกนะ”
“อ้อ”
ชายร่างใหญ่สองคนนั่งสูบบุหรี่ด้วยกันอยู่ที่เคาน์เตอร์
โจวเจ๋อไม่รีบพาคนเหล่านี้เข้าประตูนรกเพื่อเก็บคะแนนผลงาน เพราะพวกเขาแต่ละคนเคร่งเครียดและทุ่มเทอยู่กับการทบทวนบทเรียน โจวเจ๋อจึงไม่อยากรบกวนพวกเขาในตอนนี้
“ผลการเรียนของผมไม่ดีตั้งแต่เด็ก” สวี่ชิงหล่างถอนหายใจ “ผมไม่เคยสอบเอนทรานซ์มาก่อนเลย”
โจวเจ๋อพยักหน้า เอ่ยว่า “ตอนที่ฉันเรียนหนังสือ คนที่หน้าตาดีในชั้นเรียนโดยพื้นฐานแล้วผลการเรียนไม่ค่อยดีนัก”
“…” สวี่ชิงหล่าง
“แล้วคุณล่ะ ผลการเรียนของคุณน่าจะดีมากเลยใช่ไหม เป็นนักเรียนดีเด่นเลยสิ ไม่อย่างนั้นคุณก็เป็นศัลยแพทย์อัจฉริยะไม่ได้หรอกจริงไหม”
“นายสามารถหาข้อมูลดูได้ ในปีนั้นฉันเป็นจอหงวนสายวิทยาศาสตร์ของทงเฉิง”
สวี่ชิงหล่างตะลึงไปครู่หนึ่ง
“โอ้โห ดูไม่ออกเลยนะเนี่ย คุณเป็นเด็กเรียนซะด้วย”
“เด็กเรียนแล้วยังไงล่ะ สุดท้ายก็กลายเป็นผีอยู่ดี”
ที่ประตูร้านหนังสือมีลูกค้าอีกคนเดินเข้ามา เป็นคุณนายคนหนึ่งในชุดธรรมดาเรียบง่าย เป็นคนรู้จัก เคยมาที่ร้านมาก่อน
“คุณย้ายมาที่นี่แล้วเหรอ ฉันหาตั้งนานแน่ะ” คุณนายพูดขึ้น
“อ้อ เชิญนั่งก่อนครับ อีกสักพักค่อยเดินทาง” โจวเจ๋อชี้ไปที่เก้าอี้ด้านข้าง
“เฮ้อ ก็ได้”
คุณนายนั่งลงแล้ว
ก่อนหน้านี้เธอเคยมาที่ร้านหนังสือของโจวเจ๋อ เข้ามาพร้อมกับเศรษฐีนีสาวที่ทำสุนัขคอร์กี้หายคนนั้น
แต่ตอนแรกเธอบอกว่าจะไปเรียนเป็นเพื่อนลูกชายที่จะสอบเอนทรานซ์ในปีนี้ ดังนั้นโจวเจ๋อจึงเปิดโอกาสปล่อยเธอไปก่อน ไม่ได้พาเธอลงนรกไป
เมื่อฟ้าสว่างก็จะสอบเอนทรานซ์แล้ว ภารกิจไปเรียนเป็นเพื่อนของเธอก็จะจบลงเช่นกัน ดังนั้นตามที่ตกลงกันไว้ เธอจึงมารายงานตัว
“ไม่รอให้อันดับของลูกออกก่อนแล้วค่อยมาล่ะ อย่างน้อยๆ ก็จะได้รู้ว่าลูกชายของคุณสอบติดมหาวิทยาลัยไหน” โจวเจ๋อถามขึ้น
“มีอะไรน่าดูกัน คนเป็นแม่อย่างฉัน สิ่งที่ทำได้ก็มีเพียงเท่านี้นั่นแหละ อยู่ทบทวนกับเขาทุกคืนจนดึกดื่น เขาผล็อยหลับไปและฉันเฝ้าดูอยู่ข้างๆ พ่อของเขาไม่รอบคอบ บางครั้งฉันจำเป็นต้องเข้าฝันไปบอกพ่อเขาว่าพรุ่งนี้ให้ลูกกินอะไร ต้องบำรุงอะไรบ้าง
เขาสอบเอนทรานซ์แล้ว ไม่ว่าคะแนนจะออกมาดีหรือแย่แค่ไหน ไม่ว่าจะสอบติดมหาวิทยาลัยอะไร ฉันก็ไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว
เขามีชีวิตของตัวเอง เขามีเส้นทางของตัวเอง ก็แค่การสอบเอนทรานซ์เท่านั้น ชีวิตของเขาเพิ่งเริ่มต้นเอง หนทางในอนาคตข้างหน้ายังอีกยาวไกล
และการสอบเอนทรานซ์ก็ใช่ว่าจะเป็นตัวตัดสินทุกอย่างได้เสียหน่อย อนาคต ยังต้องพึ่งพาความพยายามของตัวเขาเองในการต่อสู้เพื่อให้ได้มันมา”
“คิดได้อย่างนั้นก็ดี” โจวเจ๋อพยักหน้า
เพียงแค่นั่ง ก็เกือบจะนั่งจนถึงรุ่งสางแล้ว เวลาปิดร้านหนังสือวันนี้ล่าช้ากว่าปกติมาก
ถึงเวลาแล้วละ
โจวเจ๋อลุกขึ้นยืนและเปิดประตูสู่นรกภูมิก่อน จากนั้นก็ปรบมือและตะโกนบอกนักเรียนในร้านหนังสือที่ทบทวนตลอดทั้งคืน
“สอบเอนทรานซ์แล้ว นักเรียนทุกคนเข้ามารับบัตรเข้าห้องสอบกับผมตรงนี้ ขอให้พวกคุณเดินทางปลอดภัย”
อีกด้านหนึ่ง สวี่ชิงหล่างยกเค้กข้าวและบ๊ะจ่างที่รีบทำตอนกลางดึกออกมา และตะโกนบอกวิญญาณนักเรียนที่ยืนขึ้น
“ก่อนออกเดินทางให้แต่ละคนเดินออกมารับเค้กข้าวและบ๊ะจ่างแล้วค่อยไป พวกน้าขอให้ทุกคนสอบติดนะ!”
………………………………………………