ตอนที่ 270 การกลับมา! (3)
หิมะยังคงตกไม่หยุด คนที่อยู่รอบๆ เริ่มน้อยลงเรื่อยๆ เหมือนการแยกย้ายออกจากโรงภาพยนตร์ที่ยิ่งนานยิ่งเงียบเหงาว่างเปล่า
โจวเจ๋อยืนอยู่ที่เดิมตลอด ปล่อยให้หิมะค่อยๆ ปกคลุมตัวเอง ทำให้เขาเป็น ‘มนุษย์หิมะ’ อย่างช้าๆ ไม่เห็นคนที่ทำลายรถแล้ว ไม่เห็นคนที่มุงล้อมแล้ว ไม่เห็นคนที่นอนอยู่บนพื้นแล้วเหมือนกัน จากนั้นรถก็หายไป ระหว่างท้องฟ้ากับพื้นดินเหลือเพียงหิมะขาวโพลนสะอาดสะอ้านไปทั่ว มีเพียงสิ่งเดียวที่สะดุดตาคือกองเลือดสีแดงที่อยู่บนพื้น
มันเหมือนคราบสกปรก ไม่ว่าจะซักล้างอย่างไรก็ไม่ออก เช็ดอย่างไรก็ไม่หาย มันเป็นตัวตนที่เต็มไปด้วยความดึงดัน ขัดหูขัดตา ทำให้คนรู้สึกไม่สบายใจ ท่ามกลางเลือดสีแดง ชายชราร้องตะโกนไม่หยุด เหมือนกำลังระบายความกดดันที่อยู่มานาน
“ตอนนี้ คุณรู้หรือยังว่าผมเป็นอะไร” เหมือนระบายเสร็จแล้ว เหมือนจะเหนื่อยมาก และรู้สึกเหมือนน่าเบื่อไม่สนุก ชายชราเดินออกมาจากกองเลือดสีแดง
เขายังแต่งตัวด้วยเสื้อคลุมสีเขียวกับร้องเท้าปลดแอกที่เปื้อนโคลนคู่นั้นเหมือนเดิม ยังคงเป็นชาวไร่ชาวนา กระทั่งน้ำมูกยังไหลซื้ด ใช้หลังมือเช็ดๆ แล้วสะบัดลงดิน
โจวเจ๋อพยักหน้า “คุณตายไปแล้ว ชายชราคนนั้น”
“ใช่ เขาตายไปแล้ว แต่ผมตายไม่ได้ ทุกครั้งที่ตาย ผมต้องกลับมาอีก เปลี่ยนคนแล้วเริ่มต้นใหม่” ชายชราเอามือเท้าเอว ท่าทางเหมือนอยากจะด่าคนต่อ แต่ก็เหมือนจะด่าไม่ไหวแล้ว ชายชราตายไปแล้ว แต่เขายังมีตัวตนอยู่
อาจารย์ของสวี่ชิงหล่างตายไปแล้ว แต่หลังจากนี้อาจารย์ของเขาจะโผล่มาอีกเรื่อยๆ
เขาเป็นปีศาจตัวหนึ่ง ล่องลอยอยู่กลางอากาศ เขาจะลอยลงมาและเข้าไปอยู่ภายในร่างกายของคน อาจารย์ของสวี่ชิงหล่างคือคนล่าสุด และด้วยเหตุนี้ คนผู้นั้นจึงเป็นวิชาอาคม จึงมีความยึดติดรุนแรงเกินไป จึงกลายเป็นปรมาจารย์ที่เดินเหินอยู่ในโลกมนุษย์ แม้แต่ยมทูตก็ไม่กล้าแตะต้องเขา
เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน เขาปรากฏตัวที่นี่ ถูกโจวเจ๋อฆ่าตายและโดนฆ่าตายจริงๆ แต่ที่ตายเป็นแค่อาจารย์ของสวี่ชิงหล่างเท่านั้น ความชั่วร้ายที่แท้จริง ปีศาจร้ายที่ก่อเรื่องขึ้นมาทั้งหมด เขาแค่ถูกล้างออกไปเท่านั้น
เขาหลบซ่อนอยู่ตามมุมมืดแอบเลียแผลอย่างช้าๆ เขาซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางผู้คนคอยสะสมพลังกลับมาใหม่อย่างเงียบๆ เขากำลังรอเวลาให้ผ่านไปอย่างช้าๆ เขากำลังค้นหาตัวแทนคนต่อไป นี่คือโชคชะตาของเขาและเป็นเวรกรรมของเขา ซึ่งเป็นหลักการเดียวกันกับสาวน้อยโลลิและยมทูตพวกนั้นที่หลังจากมายังโลกมนุษย์แล้วจะต้องหาร่างอาศัยอยู่ เขาเองก็ต้องการเหมือนกัน
“คุณรู้ไหมว่าผมแก่ขนาดไหน” ชายชราถามโจวเจ๋อ
โจวเจ๋อส่ายหน้า
“แก่มาก แก่มากแล้ว แก่จนตัวเองเกือบลืมท่าทางตอนแรกของตัวเองไปแล้ว คนเล่านิทานเคยพูดว่าต้นไม้ใบหญ้าทุกต้นล้วนเป็นมติของสวรรค์! แต่ผมคิดไม่ตกมาตลอด ไม่เข้าใจและยิ่งหาคำตอบไม่เจอ ว่าที่ผมมีตัวตนอยู่แม่งมันมีความหมายอะไร” ขณะที่ชายชราพูด ด้านซ้ายของร่างกายเขา หิมะได้หายไป ก่อนจะปรากฏถนนเก่าเส้นหนึ่ง ร้านค้าต่างๆ กำลังตะโกนขายของอยู่บนถนน แล้วก็ยังมีเวทีที่มีคนคุกเข่าอยู่บนนั้น
“ผมจำได้มีครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว เป็นครั้งที่จำได้ชัดเจนที่สุด ซึ่งก็คือครั้งนี้”
ตรงทางเข้าตลาดผัก คนเริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ และโดยไม่รู้ตัว โจวเจ๋อพบว่ามีผู้คนล้อมรอบตัวเองเต็มไปหมด เสื้อผ้าที่ทุกคนสวมส่วนใหญ่ดูมอมแมม ด้านหลังศีรษะไว้หางเปียยาวมาก มีความมันและเต็มไปด้วยเหงื่อ
ดูเหมือนจะเคยเห็นฉากพวกนี้มาก่อน มีเพชฌฆาตจับนักโทษขึ้นไปบนเวที ลับดาบเรียบร้อย คนคุกเข่าพร้อมผู้คนที่มุงล้อมอยู่ด้านล่างเริ่มร้องไห้กระซิกสะอึกสะอื้น
มีบางคนเอามือปิดตาไม่กล้าดู มีบางคนเอามือปิดหูไม่กล้าฟัง มีบางคนหมุนตัวหนีกระทั่งไม่กล้าเผชิญหน้า ลมฤดูสารทกวาดยอดไม้หวิวหวูสายลมพัดพาใบไม้ร่วง เพชฌฆาตดื่มเหล้าหนึ่งจอก ได้ยินเสียงร่ำไห้ด้านล่างเวที
นักโทษไม่ร้องไห้ เขาคุกเข่าต่อไป แต่เขาหลังตรงมาก ส่วนผู้คนที่มุงล้อมอยู่ด้านล่างกลับสะอื้นไห้ให้กับเขา บ้างส่ายหน้า บ้างเสียดาย บ้างโศกเศร้า รู้สึกเศร้าเพื่อชีวิตที่ต้องจากไป
ต่อหน้าโจวเจ๋อ สายตาของชายชราเหม่อลอย เขาเดินมาตรงหน้าโจวเจ๋อ จากนั้นยื่นมือจัดคอเสื้อให้เขา เหมือนผู้ใหญ่ที่เปี่ยมไปด้วยเมตตา เขาแสยะยิ้มเผยให้เห็นฟันสีเหลืองแล้วพูดต่อว่า
“ที่มาหาคุณ เพราะว่ามีเรื่องอยากขอร้องคุณ”
“ครับ”
“ผมตายแล้ว และจะไม่กลับมาในระยะนี้ แต่อีกสองสามปี หรืออีกสิบปี หรือเกินกว่าสิบปี ผมจะต้องกลับมาอีก ดังนั้น ผมขอร้อง ตอนที่ผมกลับมา ช่วยฆ่าผมด้วย ได้ไหม ในบ้านของเจ้าหมอนี่มีสิ่งที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ผมจะบอกตำแหน่งกับคุณ คุณลองไปดู น่าจะมีอะไรซ่อมแซมได้บ้าง ชอบอันไหนก็หยิบไปเล่นเลย ไม่ว่ายังไงเขาก็ตายไปแล้วใช่ไหมล่ะ”
“คุณไม่ควรพูดกับผม” โจวเจ๋อตอบ น่าจะพูดกับคนที่อยู่ภายในร่างของโจวเจ๋อถึงจะถูก
ชายชราเผยรอยยิ้มมีเลศนัยออกมา เขามองโจวเจ๋อแล้วเลียลิ้นพูดว่า “เหมือนกัน”
“อีกนานไหมกว่าคุณจะกลับมา”
“ใกล้แล้ว” ชายชราเผยสีหน้า ‘หมดอาลัยตายอยาก’ ออกมา จากนั้นโบกมือขวาแล้วสะพานแห่งหนึ่งก็ปรากฏออกมา หนึ่งเส้นแบ่งออกเป็นสองโลก ด้านซ้ายเป็นตลาดผักเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน ด้านขวาเป็นสะพานใหญ่ในยุคปัจจุบัน บนเวทีตรงทางเข้าตลาดผักมีเพชฌฆาตกำลังถือดาบอยู่ในมือ มีนักโทษกำลังคุกเข่า บนสะพานใหญ่มีผู้ชายคนหนึ่งอยู่บนนั้น พร้อมที่จะตกลงไปตลอดเวลา เพียงเส้นเดียวแบ่งช่วงเวลาเป็นร้อยปี
“ผู้คนมักพูดว่า เวลาเปลี่ยนแปลงได้ทุกสิ่ง” ชายชรายิ้มอย่างขมขื่น “แต่มีบางสิ่ง แม้แต่เวลาก็ไม่สามารถทำได้ผมรู้สึกว่าผมกลับมาครั้งหน้า น่าจะเว้นช่วงไปไม่นาน คุณรอนะ ไม่แน่หลังจากผมกลับมาแล้วจะไปหาคุณอีก”
ด้านล่างสะพานมีคนมากมายเข้ามามุงล้อม มีชาวมุงเยอะมาก กระทั่งทำให้การจราจรบนสะพานแห่งนี้ติดขัด ตำรวจรีบเข้ามาเพื่อรักษาความปลอดภัย พวกเขาล้อมเส้นกั้น เพื่อให้ชาวมุงทั้งหลายถอยหลังออกไป ถอยหลังออกไปอีก แต่คนข้างหน้าก็เบียดมาด้านหน้า คนข้างหลังก็เบียดไปด้านหน้า ไม่สามารถแยกออกได้อย่างสิ้นเชิง
ทุกคนกระตือรือร้นเหมือนเบียดกันบนรถเมล์ไปโรงภาพยนตร์ไปซื้อของที่สหกรณ์เหมือนในอดีตที่ผ่านมา
เจ้าหน้าที่ดับเพลิงติดเชือกเรียบร้อยแล้ว เตรียมตัวเสี่ยงเพื่อขึ้นไปช่วยชีวิตคน
“กระโดดสิ คุณรีบกระโดดสิ!”
“แม่งเอ๊ย ยังไม่กระโดดอีก พระอาทิตย์เผาพวกเราจนจะตายแล้วนะ!”
“พี่ชาย คุณจะกระโดดหรือไม่กระโดด ช่วยบอกด้วยนะ คุณไม่กระโดดแต่พวกเรายังต้องกลับไปกินข้าวที่บ้านอีกนะ”
“เร็วๆ หน่อย ท่าต้องได้มาตรฐานนะ ให้น้ำกระเด็นแค่เล็กน้อย ท่าเทคนิคเท่านั้นถึงจะได้คะแนนสูง!”
คนข้างล่างร้องตะโกนเริ่มพูดเร่งอย่างไม่พอใจ คอยถือโทรศัพท์ถ่ายรูปอัดวิดีโอ จากนั้นก็โพสต์ลงในเวยป๋อกับโมเมนต์
“เป็นห่วงเขาจังเลย ทำไมต้องกระโดดสะพานด้วย รีบลงมาเร็ว!”
“ชีวิตมีคุณค่า สำหรับทุกคนแล้วมีแค่ครั้งเดียวเท่านั้น หวังว่าพี่ชายที่อยู่ข้างบนจะคิดได้ รีบลงมาเร็วๆ!”
“ลงมาเถอะ ชีวิตคนเราต้องเจออุปสรรคทั้งนั้น ไม่มีอะไรที่หาทางไม่ได้ คุณยังมีญาติมีเพื่อนที่สนับสนุนคุณอยู่คุณยังมีพวกเราที่เป็นห่วงคุณอยู่ข้างล่าง!”
“รู้สึกปวดใจแทนพี่ชายคนนี้จริงๆ อย่ากระโดดนะ ลุงเจ้าหน้าที่ดับเพลิงสู้ๆ จะต้องช่วยเขาให้ได้!”
หลังจากโพสต์โมเมนต์เสร็จแล้วจึงวางโทรศัพท์ จากนั้นทุกคนก็ทนแสงแดดที่ร้อนฉ่า เริ่มพูดเร่งคนนั้นที่อยู่ข้างบนไม่หยุด รวดเร็วหน่อย คล่องแคล่วว่องไวหน่อย แดดจ้าขนาดนี้ แถมที่นี่ไม่มีที่บังแดด ไม่มีร้านค้าสะดวกซื้อไม่สามารถซื้อเครื่องดื่มอะไรได้
“หนึ่งร้อยปี” ชายชรายิ้มแล้วเลียปาก
‘ฉึบ!’ ทางด้านซ้ายเพชฌฆาตลงดาบ ศีรษะของคนหล่นลงมา
‘ตู้ม!’ ทางด้านขวา ผู้ชายคนนั้นกระโดดลงมาจากสะพาน ตกลงไปในน้ำ
เวลานี้เหมือนโลกทั้งใบเงียบไปชั่วขณะ เป็นความเงียบที่น่าแปลกบางอย่าง จากนั้นทั้งสองฝั่งของเส้นเริ่มอึกทึกครึกโครมขึ้นมา
ฝั่งตลาดผัก มีคนกลุ่มหนึ่งถือหมั่นโถวอยู่ในมือวิ่งเข้าไปจุ่มเลือด คนที่แย่งได้ก่อนร้องตะโกนว่า “หมั่นโถวเลือดคนรักษาทุกโรค!”
ส่วนฝั่งสะพานนั้น ตอนที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงกับพวกตำรวจกำลังยืนไว้อาลัยกระทั่งร้องไห้ให้กับชีวิตที่เพิ่งจากไป มีมือดีสองสามคนแอบลอดผ่านเส้นกั้นแล้วพุ่งเข้าหาศพที่ถูกกู้ขึ้นมาเมื่อครู่ จากนั้นเปิดผ้าคลุมศพออก เพื่อดูสภาพของคนที่จมน้ำตาย
สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นข้อมูลให้พวกเขาเอาไว้ใช้เป็นหัวข้อพูดคุยในอนาคต อย่างเช่นเวลาที่ดื่มเหล้ากับเพื่อน จะสามารถพูดโม้ได้ว่าคนที่กระโดดน้ำตายก่อนหน้านั้น ตายน่าอนาถขนาดไหน ฉันเห็นมากับตาตัวเอง
ทั้งสองฝั่งของเส้น ถูกรบกวนเรื่อยๆ และเริ่มวุ่นวายมากขึ้น สุดท้ายเงาร่างของชายชราก็เริ่มจางลง เขาแบมือด้วยความจนใจเป็นอย่างมากและทำอะไรไม่ถูก เหมือนคนที่เศร้าจิตใจตายด้านไปแล้ว
“ผมอยากตาย” นี่คือเสียงวิงวอนสุดท้ายของเขา จากนั้นเขาโบกมือให้โจวเจ๋อ “ลาก่อน รอผมกลับมาครั้งหน้าขอให้คุณ…ช่วยฆ่าผมให้ได้”
‘วืด…’ รอบๆ แสงและเงาเริ่มสั่นสะเทือน โจวเจ๋อเงยหน้าขึ้นช้าๆ เขายังยืนอยู่ในห้องน้ำของร้านหนังสือ มือกำลังถือผ้าเช็ดตัวเตรียมจะเช็ดหน้า ด้านหน้าเขายังเป็นกระจกบานนั้น ด้านหลังเขาไม่มีเงาดำและไม่มีชายชราคนนั้น
โจวเจ๋อไม่ได้รู้สึกมึนศีรษะและไม่งุนงง ไม่มีอาการใดๆ ทั้งสิ้น ชายชราพูดว่า นี่คือภาพลวงตาที่ง่ายที่สุด ง่ายจนโจวเจ๋อสามารถตื่นขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย วิชาที่ง่ายแบบนี้ ย่อมไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อร่างกายของโจวเจ๋อ เขาหยิบผ้าขนหนูขึ้นมาแล้วเช็ดหน้า แต่น้ำบนใบหน้าของเขาแห้งหมดแล้ว ที่เช็ดอยู่ตอนนี้คือเหงื่อ เหงื่อเย็นๆ
หลังจากเดินออกมาจากห้องน้ำ โจวเจ๋อมานั่งติดหน้าต่างตรงตำแหน่งที่ตัวเองชอบมากที่สุด พระอาทิตย์ตกดินส่องเข้ามาในนี้ ทำให้เงาลากยาวมากขึ้น ร้านหนังสือที่คึกคักแต่เดิม ส่วนใหญ่ต่างนอนรักษาตัวอยู่ชั้นสอง ตอนนี้เหลือเถ้าแก่โจวนั่งอยู่ข้างล่างคนเดียว ไม่รู้ว่าทำไม โจวเจ๋อรู้สึกหนาวเล็กน้อย นี่คือความรู้สึกที่หนาวยิ่งกว่าคืนนั้นเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน กระทั่งเทียบได้กับตอนที่ตัวเองเดินอยู่บนทางเดินน้ำพุเหลืองเป็นครั้งแรก เพราะว่านี่เป็นครั้งแรกที่โจวเจ๋อได้สัมผัสสิ่งของแบบนี้
มันไม่ใช่วิญญาณ มันไม่ใช่สิ่งมีชีวิต มันไม่มีรูปร่าง กระทั่งตัวของมันก็ยังไม่รู้ว่ามันเป็นตัวอะไร แต่มันเหมือนปีศาจร้าย คอยเบิกตาโตอยู่บนท้องฟ้า ไม่ว่าจะลมพัดฝนตก หรือว่าท้องฟ้าแจ่มใส มันก็ยังจ้องมองทุกอย่างที่อยู่ข้างล่าง เตรียมกระพือปีกปีศาจของตัวเองเพื่อลงมาที่นี่ตลอดเวลา การจ้องมองเช่นนี้ยาวนานนับร้อยปี เบื้องล่างยังคงดำเนินต่อไป และไม่รู้ว่าจะยาวนานไปอีกกี่ร้อยปี
ก็เหมือนคนนั้นที่อยู่ภายในร่างกายของโจวเจ๋อหลังจากที่ฆ่าเขาแล้วแท้ๆ แต่กลับตั้งใจทิ้งประโยคนั้นเอาไว้
‘เขายังไม่ตาย…’
…………………………………………………………………..