ตอนที่ 274 หนีออกจากบ้าน
หลายคนต่างคิดว่าชีวิตเป็นเส้นตรง และมีสารพัดสิ่งถูกเตรียมไว้ให้คุณบนเส้นตรงนี้ เพียงรอให้คุณเดินผ่านมันไปแล้
แต่จริงๆ แล้วชีวิตมันเหมือนวงกลมเสียมากกว่า ตอนที่คุณคิดว่าหนีออกจากเส้นตรงและเริ่มปล่อยตัวเองเลือกที่จะต่อต้าน เมื่อเดินไปได้รอบหนึ่งแล้วก็จะพบว่าคุณก็ยังคงกลับมาที่นี่เหมือนเดิม
สิ่งที่คุณอยากจะหนีไปจากมัน กลับมาปรากฏตรงหน้าคุณอีกครั้ง
“เถ้าแก่!”
อิงอิงกำลังเดินขึ้นบันไดพร้อมกับตะโกนเรียกโจวเจ๋อไปด้วย
โจวเจ๋อรีบดันลิ้นชักกลับเข้าไปและนอนลงบนเตียง รู้สึกมีชนักติดหลังเล็กน้อย
“เถ้าแก่ ท่านเหนื่อยแล้วเหรอ”
อิงอิงเดินเข้ามาข้างๆ โจวเจ๋อก่อนจะถอดรองเท้าออก แล้วนางที่สวมถุงน่องสีขาวก็ขึ้นเตียงไป และวางศีรษะของโจวเจ๋อไว้บนต้นขาตัวเองอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นเริ่มนวดศีรษะให้โจวเจ๋อ
“ไม่เหนื่อย ไม่เป็นไร” เพียงแค่ถูกกระตุ้นนิดหน่อยเอง
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ โจวเจ๋อนอนอยู่อย่างนี้และเพลิดเพลินไปกับการนวด อิงอิงก็ช่วยนวดให้โจวเจ๋ออย่างตั้งอกตั้งใจและเบามืออยู่อย่างนี้เช่นกัน
ทั้งสองคนต่างชอบบรรยากาศที่อยู่อย่างสันโดษแบบนี้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่อิงอิงอยู่ในอาการโคม่าก่อนหน้านี้ โจวเจ๋อรู้สึกไม่ชินเอามากๆ
“เถ้าแก่ มีคนรู้จักมาหา!” นักพรตเฒ่าที่อยู่ชั้นล่างตะโกนขึ้น
โจวเจ๋อทำได้เพียงลุกขึ้นมาด้วยอารมณ์ค้างเล็กน้อย เมื่อลงไปชั้นล่างก็พบหวังเคอยืนอยู่ที่หน้าประตูด้วยใบหน้าซีดเซียว
“มีอะไร” โจวเจ๋อถาม
“หรุยหรุ่ยมาที่นี่หรือเปล่า”
“ไม่ได้มา” โจวเจ๋อยักไหล่
“เธอหายไป นายช่วยฉันตามหาเธอได้ไหม เธอหายไป”
หวังเคอที่ใจเย็นและสงบเสงี่ยมอยู่เสมอ ในตอนนี้ดูร้อนใจมากอย่างเห็นได้ชัด
“เธอหายไป นายจะมาหาฉันทำไม ไปแจ้งความสิ” โจวเจ๋อพูด
“ไม่ใช่ ฉันบำบัดรอบใหม่ให้แม่ของเธอ เดิมทีฉันนึกว่ามันสำเร็จแล้ว อาการแม่ของเธอดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และทุกอย่างก็ปกติดี แต่ไม่รู้ยังไง จู่ๆ แม่ของเธอก็หยิบมีดออกมาจากแขนเสื้อ และแทงมาทางฉัน
ปรากฏว่าหรุยหรุ่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ เอื้อมมือไปคว้ามีดเอาไว้ มือของเธอมีเลือดออกเยอะมาก จากนั้นเธอก็แย่งมีดได้ แล้วเธอก็เดินออกจากบ้านไปเลย หลังจากที่ฉันจัดการแม่ของเธอเรียบร้อยแล้ว หามาจนถึงตอนนี้ก็ยังหาไม่เจอ ตอนนี้ฟ้าก็มืดแล้วด้วย ฉันร้อนใจมาก”
โจวเจ๋อมองหวังเคอ แววตาสื่อความหมายบางอย่าง
ตอนแรก หวังเคอสามารถเก็บรายละเอียดเล็กน้อยจนสามารถแยกแยะตัวตนของเขาออกได้ แม้ว่าตัวเขาจะเติบโตมากับหวังเคอ แต่ก็ไม่ได้ติดต่อและไม่เจอกันมาหลายปีแล้ว อย่างนี้แล้วหวังเคอก็ยังสามารถดูออกได้
ถ้าอย่างนั้น ลูกสาวของเขาล่ะ เขาจะไม่สังเกตเห็นความผิดปกติของลูกสาวของเขาเลยเหรอ นั่นคือคนที่ใกล้ชิดเขาที่สุดเลยนะ
“อย่าร้อนใจไป ฉันจะช่วยนายหาอีกแรง”
โจวเจ๋อพยักหน้า หลังเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ตามหวังเคอออกจากร้านหนังสือไป
สาวน้อยโลลิไม่ใช่แค่ลูกสาวของหวังเคอเท่านั้น ยังเป็นลูกน้องของโจวเจ๋ออีกด้วย เธอจะหายไปไหนไม่ได้
…
ค่อนคืนแล้ว ความร้ายกาจของหน้าร้อนที่แผดกระจายเลือนหายไป
บนม้านั่งหินริมถนน มีสาวน้อยสวมกระโปรงพลีท รองเท้าหนังสีแดง และที่คาดผมสวยงาม ให้ความรู้สึกน่ารักหวานแหววมากสำหรับคนทั่วไป
เธอนั่งอยู่ที่นี่เงียบๆ อยู่อย่างนี้ สายตาเหม่อลอย
เธอก้มหน้าลง มองเห็นมือของตัวเองที่ยังมีรอยแผลน่ากลัวมากอยู่ตรงนั้น แม้ว่ามันจะถูกพันแผลเอาไว้อย่างลวกๆ แล้วก็ตาม แต่มันก็ยังมีเลือดไหลอยู่
เธอสับสนเล็กน้อย
ตอนที่ผู้หญิงคนนั้นใช้มีดแทงผู้ชายคนนั้น เธอเอื้อมมือไปจับมีดเล่มนั้นเอาไว้ตามสัญชาตญาณ ไร้ความลังเล ไร้ความสงสัย เธอไม่สนว่าตัวเองจะได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า เธอเพียงแค่ทำมันลงไป
เมื่อสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดจากคมมีดบนฝ่ามือของตัวเอง ที่ไหนสักแห่งในหัวใจของเธอดูเหมือนจะสั่นไหว
ราวกับความฝันที่จู่ๆ ก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น คุณต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริงเสียที
หัวเราะเยาะตัวเองบ้าง และงี่เง่าไร้สาระไปบ้าง
ช่วงก่อนหน้านี้ เธอเพิ่งจะพูดต่อหน้าโจวเจ๋อว่าเธอชอบร่างนี้ ชอบตัวตนนี้ และชอบความรู้สึกของครอบครัวนี้
แต่ครั้งนี้ เธอกลัวขึ้นมาบ้างแล้ว เธอคือหลินเข่อ เธอไม่ใช่หรุยหรุ่ย
ชาติก่อนเธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งคนหนึ่ง ผู้จัดการรัฐวิสาหกิจสร้างความมั่งคั่งด้วยการยักยอกทรัพย์สินของรัฐผ่านการปรับโครงสร้างรัฐวิสาหกิจ ตั้งแต่นั้นมาก็อยู่เหนือการควบคุมไม่อาจหยุดยั้งได้อีกเลย
ถ้าไม่ตายเพราะอุบัติเหตุ ตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงในมณฑลเจียงซู แม้กระทั่งในตลาดระดับชาติอาจมีที่สำหรับเธอแล้วก็ได้
แต่เธอเริ่มลืมเลือนแล้ว ลืมเลือนตัวตนในอดีต ลืมเลือนตัวตนในปัจจุบัน กระทั่งเธอเริ่มลืมว่าตัวเองเป็นใคร ลืมตัวตนที่แท้จริงของเธอเอง!
มันคือยาพิษ ยาพิษที่มีสารเสพติด พอได้เริ่มกินมันเข้าไปแล้วก็ยินยอมรับความทุกข์ เมื่อตอนที่ได้สติขึ้นมากลับพบว่าอยู่ห่างหน้าผาเพียงครึ่งก้าว
ครั้งก่อน มีผีร้ายมาถึงในบ้านและเตรียมโจมตีพ่อของเธอ ตอนนั้นเธอเพิ่งกลับมาจากหรงเฉิง และได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้จะรู้ว่ามีโจวเจ๋ออยู่ข้างๆ แต่เธอก็ยังอดไม่ได้ที่จะลงมือช่วยชีวิตหวังเคอ
เธอรู้ว่าโจวเจ๋อคอยดูอยู่ข้างๆ และเฝ้ารอดูว่าเธอกลับมาจริงหรือไม่
เธอยังรู้ว่าโจวเจ๋อเป็นเพื่อนในวัยเด็กกับพ่อของเธอ ทั้งสองเติบโตมาด้วยกันในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า มีโอกาสสูงที่โจวเจ๋อจะไม่ปล่อยให้หวังเคอตายไปเฉยๆ
แต่เธอก็ไม่กล้าเดิมพัน เธอไม่กล้าเอาชีวิตของหวังเคอมาเดิมพันกับ ‘มิตรภาพ’ ของโจวเจ๋อ ดังนั้นเธอถึงได้ลงมาจากชั้นบนและลงมือ
จากนั้นจึงถูกโจวเจ๋อพบความจริงที่เธอกลับมาแล้ว และปล่อยให้โจวเจ๋อ ‘ฉวยโอกาสยามผู้อื่นตกอยู่ในอันตราย’ ได้สำเร็จ บังคับให้ตัวเธอกลายเป็นลูกน้องของเขา
เธอยังเคยใช้เหตุผลมากมายให้ตัวเองไร้ความรู้สึก ใช้ข้ออ้างมากมายเล่นละครตบตาตัวเอง
แต่ครั้งนี้เมื่อมีดแทงออกมา สัญชาตญาณแบบนั้น ทำให้เธอเริ่มกลัว
จะเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้น เธออาจกลายเป็นน้องภรรยาของโจวเจ๋ออีกคนหนึ่งได้
เธอลุกขึ้นยืน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ควรจะไปรักษาบาดแผลของตัวเองที่โรงพยาบาลก่อน จากนั้นเธอค่อยออกจากบ้านหลังนี้ ไปสู่สภาพแวดล้อมที่เป็นตัวของตัวเอง
เธอไม่สามารถออกจากร่างกายนี้ได้ชั่วคราว และไม่สามารถละทิ้งมันได้ ดังนั้นเธอจึงต้องการสภาพแวดล้อมใหม่และตัดขาดจากทุกสิ่ง
เมื่อกำลังจะโบกรถแท็กซี่แต่ยังไม่ได้ยกมือขึ้น รถแท็กซี่คันหนึ่งแล่นมาจอดตรงหน้าสาวน้อยโลลิ คนขับรถเป็นชายวัยกลางคน หัวล้าน หนวดเครายาวเฟิ้ม ตาค่อนข้างเล็ก และใบหน้ามันเยิ้ม
“สาวน้อย ขึ้นรถไหมจ๊ะ”
สาวน้อยโลลิพยักหน้าแล้วขึ้นรถไป เธอไม่กลัวหรอก และไม่มีอะไรให้เธอต้องกลัวด้วย
“จะไปไหนจ๊ะ” คนขับรถถามสาวน้อยโลลิ จากนั้นสายตาก็สำรวจบนตัวสาวน้อยโลลิอย่างหยาบคายเล็กน้อย
และออกจะไร้มารยาทไปหน่อย
บางทีเด็กคนอื่นๆ อาจไม่รู้สึกอะไรกับสายตาจ้องมองแบบนี้ เพราะพวกเขาไม่ได้ความรู้สึกไวขนาดนั้น แต่สาวน้อยโลลิไม่เหมือนกัน สิ่งที่อยู่ในตัวเธอคือดวงวิญญาณของผู้ใหญ่คนหนึ่ง เธอค่อนข้างสะอิดสะเอียนกับสายตาของคนขับรถ
“อ้าว มือหนูมีเลือดออกนี่นา!”
คนขับรถเห็นผ้าพันแผลที่พันอยู่บนมือของสาวน้อยโลลิและเลือดที่ไหลซึมออกมา เขาตกใจและพูดขึ้น
“น้าจะไปส่งหนูที่โรงพยาบาลนะ”
สาวน้อยโลลิพยักหน้า
คนขับสตาร์ทรถและขับไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นทางที่ไปไม่ใช่โรงพยาบาลใหญ่ทงเฉิง แต่กลับเลี้ยวไปในซอยเล็กๆ และจอดที่ทางเข้าคลินิกเล็กๆ แห่งหนึ่งแทน
“ไปกันเถอะ ที่นี่แหละ!” คนขับรถช่วยเปิดประตูให้สาวน้อยโลลิก่อน
สาวน้อยโลลิเหลือบมองคนขับรถสลับกับมองคลินิกเล็กๆ ไม่พูดอะไรและลงจากรถไป
หลังจากเดินเข้าไปแล้ว นายแพทย์ชายที่ดูแลรักษาคนหนึ่งเดินออกมา อายุก็ไม่น้อยแล้ว คนขับรถวิ่งไปคุยกับหมอสักพัก และหมอก็เรียกสาวน้อยโลลิเข้ามา ค่อยๆ แกะผ้าพันแผลบนมือของสาวน้อยโลลิออก เริ่มฆ่าเชื้อ ทายา และพันผ้าพันแผลให้เธออีกครั้ง ขณะที่พันผ้าพันแผลหมอก็จ้องมองคนขับรถไปด้วยความรู้สึกจำใจ
พันแผลเสร็จแล้ว เลือดไม่ไหลแล้ว คนขับรถพาสาวน้อยโลลิเดินออกมา
“หิวแล้วใช่ไหม”
สาวน้อยโลลิเงียบ
“น้าจะพาหนูไปหาอะไรกินสักหน่อยนะ”
สาวน้อยโลลิยังเงียบเหมือนเดิม แต่ก็ยังตามคนขับรถไปที่ร้านซุปหมาล่าใกล้ๆ
คนขับรถสั่งเบียร์มาสามขวด และสั่งน้ำบ๊วยเปรี้ยวให้สาวน้อยโลลิแก้วหนึ่ง เป็นแบบบรรจุกระป๋องน่ะ
สาวน้อยโลลิมองน้ำบ๊วยเปรี้ยวที่อยู่ตรงหน้าและครุ่นคิดอยู่นาน เครื่องดื่มชนิดนี้เป็นที่นิยมมากขนาดนี้แล้วเหรอ
สาวน้อยโลลิไม่อยากกินซุปหมาล่า แต่ทนเสียงรบเร้าของคนขับไม่ไหว เธอเลยเลือกหยิบของที่วางอยู่ใกล้มือมานิดหน่อย น่าจะประมาณสิบสามหยวนละมั้ง
คนขับรถเองก็สั่งมานิดหน่อย แต่ก็ยังดื่มเบียร์เป็นส่วนใหญ่ เถ้าแก่ร้านซุปหมาล่าพูดคุยกับคนขับรถบ้างเป็นครั้งคราว คนขับรถบ่นว่าเขาเสียเงินพนันบอล เล่นไพ่ก็เสียเงินไป ช่วงนี้โชคไม่ดี ซุปหมาล่ามื้อหนึ่งใช้เวลากินไปประมาณสี่สิบนาที คนขับรถด่าทีมเยอรมันไปแล้วสามสิบเก้านาที บอกว่าทำไมทีมเยอรมันแม้แต่เกาหลีก็ยังเตะไม่ชนะ ทำให้เช้าวันนี้เขาเกือบจะตรงไปต่อแถวที่ดาดฟ้าแล้ว
หลังมื้ออาหาร คนขับรถยืนขึ้นและพูดกับสาวน้อยโลลิ
“น้าส่งหนูกลับบ้านดีไหม”
สาวน้อยโลลิมองคนขับรถ ไม่พูดอะไรเหมือนเดิม เธออารมณ์เสียและสับสนมาก ตอนที่คนเรากำลังสับสนอยู่นั้นก็มักจะอยากหาอะไรทำ
บางทีอาจจะเป็นเพราะดื่มแอลกอฮอล์เข้าไป แววตาของคนขับรถที่มองสาวน้อยโลลิแดงรื้นขึ้นมา และสายตาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“กลับบ้านไหม” คนขับรถถามอีกครั้ง
สาวน้อยโลลิก็ยังไม่ตอบเหมือนเดิม
คนขับรถรีบตบหัวอีกครั้งและพูดขึ้นด้วยความเสียใจ “ให้ตายเถอะ น้าดื่มเหล้าขับรถไม่ได้แล้ว ไปส่งหนูกลับไม่ได้แล้ว”
มุมปากสาวน้อยโลลิกระตุกเบาๆ
เหอะๆ
“บ้านหนูอยู่ไหนล่ะ ในบ้านมีใครบ้าง ทะเลาะกับพ่อแม่แล้วหนีออกมาใช่ไหม”
สาวน้อยโลลิพยักหน้า
“บ้านหนูอยู่ที่ไหน” คนขับรถถามอีกครั้ง
สาวน้อยโลลิไม่ได้บอกที่อยู่ที่บ้าน แต่บอกที่อยู่ของร้านหนังสือ
“อ้อ อยู่ที่ถนนหนานต้า”
คนขับรถรีบกวักมือเรียกทันที และรถสามล้อที่อยู่ใกล้ๆ ก็ขับเข้ามา คนขับรถขึ้นไปนั่งก่อน จากนั้นส่งสัญญาณให้สาวน้อยโลลิขึ้นรถด้วยเช่นกัน
รถสามล้อแล่นไปข้างหน้าอย่างโคลงเคลง สาวน้อยโลลิหลับตาลง ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังหลับอย่างนั้น
ระหว่างทาง ดวงตาของคนขับรถจ้องเธอด้วยตาที่แดงรื้น และไม่ละสายตาออกไปแม้แต่ครู่เดียว
ผ่านไปยี่สิบนาที เมื่อสาวน้อยโลลิลืมตาขึ้นอีกครั้ง เธอเห็นรถสามล้อจอดอยู่หน้าร้านหนังสือแล้วจริงๆ
คนขับรถลงรถไปกับเธอด้วย และเอื้อมมือไปเช็ดตา
อ้อ เขาร้องไห้
“หนูน้อย ทะเลาะกับพ่อแม่แล้วหนีออกมาใช่ไหม”
สาวน้อยโลลิไม่ตอบ
“แผลนี้หนูก็เป็นคนทำเองใช่ไหม”
สาวน้อยโลลิยังไม่ตอบเหมือนเดิม
คนขับรถสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า “กลับไปเถอะ” ขณะที่พูดเขาก็ชี้ไปที่ร้านหนังสือ “น้าอยากดูหนูเข้าไป”
สาวน้อยโลลิหมุนตัวเดินไปที่ร้านหนังสือ เมื่อถึงประตูร้านหนังสือ เธอก็หยุดและหันกลับมาอีกครั้ง เอียงศีรษะเล็กน้อย และมองคนขับรถด้วยความประหลาดใจ
ใช่ แปลกใจมาก
คนขับรถและรถสามล้อที่รู้จักจุดบุหรี่หนึ่งมวน เมื่อเห็นว่าสาวน้อยโลลิหันกลับมามองตัวเอง เขาก็โบกมือแล้วพูดขึ้น
“รีบกลับเข้าไป น้าอยากเห็นผู้ปกครองมารับหนูน่ะ”
“ค่ารถ” สาวน้อยโลลิล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า กลับพบว่าตัวเองไม่ได้เอากระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์ออกจากบ้านมาด้วย
“พูดเรื่องเงินอะไรกัน ไม่เอาหรอก! น้ามีเงินเยอะแยะ!” คนขับโบกมืออย่างภาคภูมิใจ
“คุณนี่ใจกว้างจริงๆ ฮ่าๆ พาสาวน้อยไปคลินิกหน้าบ้านตัวเอง แถมยังพาไปกินซุปหมาล่าหน้าบ้านตัวเองอีก ไม่ใช่ว่าเล่นพนันจนเงินหมดแล้ว เพื่อนบ้านละแวกหน้าบ้านให้คุณติดหนี้ได้ด้วยเหรอ”
โชเฟอร์สามล้อพ่นควันบุหรี่ไปพลางแขวะไปพลาง
“เรื่องอะไรของเอ็งเล่า!” คนขับรถตบประตูสามล้ออย่างไม่สบอารมณ์
สาวน้อยโลลิเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ขอบคุณค่ะ”
“ขอบคุณอะไรกัน แม่หนู ต่อไปแม้ว่าจะมีเรื่องกับที่บ้านก็อย่าทำร้ายตัวเองเด็ดขาด มันไม่คุ้มหรอก! จะทะเลาะกับพ่อแม่แค่ไหนก็อย่าแอบหนีออกมาคนเดียว มันอันตรายเกินไป!”
“อื้อ”
สาวน้อยโลลิตอบรับ แล้วหันหลังเตรียมจะจากไป แต่ต้องหยุดชะงักฝีเท้าพราะประโยคถัดไปของคนขับรถ
“ลูกสาวของน้า ตอนแรกก็ทะเลาะกับน้าและวิ่งหนีออกไปด้วยความโกรธ จากนั้น…ก็หายไป”
…………………………………………………..