ตอนที่ 286 เรื่องราวในหนังสือ
“ให้เราเคียงคู่บนเส้นทางแห่งโลกิยะ มีชีวิตอย่างองอาจ
ควบขับอาชาเข้าดื่มด่ำความซับซ้อนของโลกมนุษย์ด้วยกัน
ร่ำเมรัย ร่ายบทเพลง ขับขานความสุขในใจออกมา
กอบกระชับวัยหนุ่มสาวเอาไว้ให้มั่นคง[1]…”
ไป๋อิงอิงหอบหนังสือเป็นกะตั้กเข้าไปพลางฮัมเพลงไปด้วย
นางชอบซีรีส์ ‘องค์หญิงกำมะลอ’ มาก และชอบละครแนววังหลังยุคราชวงศ์ชิงมากมายด้วยเช่นกัน เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะไป๋อิงอิงนั้นเข้าถึงอารมณ์ของละครแนววังหลังยุคราชวงศ์ชิงได้ง่ายมาก อย่างไรเสียนางก็เป็นคนในยุคสมัยนั้น
“ว้าว บ้านที่นี่สวยๆ ทั้งนั้น หลังมอบหนังสือให้เถ้าแก่แล้วค่อยโทรหาผู้จัดการคนนั้นให้ซื้อบ้านที่นี่ให้ข้าสักหลังด้วยเลยดีกว่า”
อิงอิงชื่นชมทิวทัศน์ใกล้ๆ ไปพลางพึมพำกับตัวเองไปพลาง นางยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าจริงๆ แล้วนางได้ซื้อบ้านที่นี่เอาไว้แล้วหนึ่งหลัง และเถ้าแก่ของนางนั้นก็เข้าไปอาศัยอยู่แบบหน้าด้านหน้าทนมาตั้งนานแล้ว
แน่ละ สำหรับผู้ที่มีอสังหาริมทรัพย์จำนวนมาก การที่จำไม่ได้ว่าบ้านของตัวเองอยู่ที่ไหนบ้างถือว่าเป็นเรื่องปกติมาก
“อ้อ ถึงแล้ว หลังนี้”
ไป๋อิงอิงยืนอยู่นอกประตูและมองเข้าไปข้างใน นางพบว่าลานบ้านหลังนี้ทรุดโทรมมาก หญ้าขึ้นรกรุงรัง เจ้าของบ้านต้องขี้เกียจมากๆ หรือไม่ปกติก็ไม่มีคนอาศัยอยู่ที่นี่เลย
“เพราะพวกเจ้าซื้อบ้านแล้วไม่อยู่เอามาเก็งกำไรทำให้ราคาบ้านสูงขึ้น ลำบากข้าต้องซื้อบ้านราคาแพงหูฉี่ขนาดนี้!”
ไป๋อิงอิงบ่นกระปอดกระแปดด้วยความไม่พอใจ นางมีข้าวของในหลุมศพของตัวเอง อีกทั้งแม่นางไป๋ในตอนแรกก็ชอบสะสมของเก่าลายคราม งานเขียนพู่กัน และภาพวาดอื่นๆ ของเหล่านี้ก็อยู่กับนางทั้งหมด
แต่แม้ว่าคุณจะมีเงินทองมากแค่ไหนก็ตาม เมื่อเผชิญกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ ก็ยังคงรู้สึกได้ว่าตัวเองใกล้จะหมดตัวเร็วๆ นี้แล้ว
แน่นอนว่า ไป๋อิงอิงที่เอาแต่คิดจะมีจำนวนบ้านมากกว่าสวี่ชิงหล่างมาโดยตลอดไม่ทันสังเกตว่า พฤติกรรมการซื้อบ้านของนาง อันที่จริงเป็นการเก็งกำไรอสังหาริมทรัพย์กลายๆ อย่างหนึ่ง
เมื่อผลักประตูลานบ้านและเดินเข้าไปยังโถงทางเข้า ไป๋อิงอิงก็กดกริ่งประตู
ทำไมเถ้าแก่ถึงมาอยู่ในที่อย่างนี้ได้ แถมยังเรียกข้าให้เอาหนังสือมาส่งอีก
‘แกร๊ก…’
ประตูถูกเปิดออกแล้ว มีหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ด้านใน
หญิงสาวรูปร่างอวบเล็กน้อย ไม่สูงมากเท่าไร และสวมแว่นตา
“เชิญค่ะ”
ไม่ถามไถ่เลยสักนิด ให้ไป๋อิงอิงเข้ามาได้เลย
“เอ่อ…”
หลังจากไป๋อิงอิงเดินเข้ามาก็มองไปรอบๆ จนกระทั่งเริ่มสงสัยว่าตัวเองมาผิดที่หรือเปล่า
“คุณมาหาผู้ชายของคุณใช่ไหมคะ” หญิงสาวรินชาพร้อมถามขึ้น
“อื้อๆ”
ไป๋อิงอิงพยักหน้ารัวๆ เหมือนไก่จิกข้าว ผู้ชายของฉัน คำเรียกแบบนี้ชอบมาก!
“เขาอยู่ตรงนั้นน่ะ เขาบอกว่าเขาเหนื่อยแล้วจะนอนพักสักหน่อย”
เมื่อไป๋อิงอิงมองตามตำแหน่งที่หญิงสาวชี้ไป ก็เห็นโจวเจ๋อที่กำลังนอนอยู่บนโซฟา เถ้าแก่ที่คุ้นเคย ท่านั่งกึ่งนอนที่คุ้นเคย ไป๋อิงอิงหอบหนังสือเข้าไปหาทันที
โจวเจ๋อนั่งตัวตรงและส่งสัญญาณบอกให้อิงอิงมานวดไหล่ให้เขา เมื่อวางหนังสือลงแล้ว ไป๋อิงอิงก็อ้อมไปหลังโซฟาและเริ่มนวดไหล่ให้โจวเจ๋อ
“คุณแม่คะ หนูหิวแล้วนะ”
เด็กผู้หญิงที่หน้าตาเหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบวิ่งเข้ามา หญิงสาวย่อตัวลงมาและเอื้อมมือไปลูบหัวของเด็กผู้หญิงพลางพูดว่า “เด็กดี ขึ้นไปหาพี่ชายลูกที่ชั้นบนนะ พี่ชายลูกซ่อนขนมเอาไว้ตรงนั้นเยอะเลย”
“ค่ะ คุณแม่!”
เด็กผู้หญิงกระโดดโลดเต้นขึ้นไปชั้นบน เหลือเพียงหญิงสาวคนนั้น ไป๋อิงอิง และโจวเจ๋อในห้องนั่งเล่นเท่านั้น
“เถ้าแก่ ข้าเอาหนังสือมาแล้ว” ไป๋อิงอิงบอกกับโจวเจ๋อเบาๆ พร้อมกับนวดไปด้วย
“อืม” โจวเจ๋อพยักหน้า คล้ายกับว่าขี้เกียจจะพูดและเหนื่อยล้า เพียงหลับตาแล้วเพลิดเพลินไปกับการนวด
หญิงสาวเดินมา เอื้อมมือไปพลิกกองหนังสือและหยิบออกมาหนึ่งเล่มพลางเอ่ยว่า “ฉันเคยอ่านหนังสือ ‘งานเลี้ยงแสนตะกละ’ เล่มนี้แล้ว”
“ค่ะ” ไป๋อิงอิงไม่รู้จะพูดอะไร
“พูดถึงผู้ชายคนหนึ่ง เป็นปีศาจนักฆ่า และเขามีสิ่งที่ชอบเป็นพิเศษอย่างหนึ่งด้วย นั่นคือหลังจากฆ่าคนแล้วก็จับมนุษย์คนนั้นกินซะ เขาชอบฆ่าหญิงสาว และเขาก็ชอบการกินมนุษย์เป็นชีวิตจิตใจ ชอบเอากระดูกเหยื่อมาทำเป็นซุปและค่อยๆ แทะกระดูกของพวกเธออย่างช้าๆ” หญิงสาวเล่าอย่างใจเย็น
“น่าสนใจดี ไม่น่าเชื่อว่าหนังสือประเภทนี้ก็สามารถตีพิมพ์ออกมาได้ด้วย”
หญิงสาวมองไป๋อิงอิงพลางยิ้มและพูดต่อ “สาวน้อย ฉันมีหนังสือจำนวนหนึ่งอยู่ที่นี่ อยากอ่านไหม”
ไป๋อิงอิงส่ายหน้า ดูเหมือนนางจะพุ่งความสนใจไปที่เถ้าแก่เพียงอย่างเดียว ไม่มีเวลาสนใจคนอื่น
หญิงสาวผิดหวังเล็กน้อย และมองท้องฟ้าข้างนอกพลางเอ่ยขึ้น “ดูเหมือนฝนใกล้จะตกแล้วนะ”
อันที่จริงๆ ข้างนอกมืดลงแล้ว
“หนังสือเล่มนี้ สาวน้อยคุณเคยอ่านมันหรือยัง” หญิงสาวหยิบหนังสือขึ้นมาอีกหนึ่งเล่ม
เจ้านี่น่ารำคาญจัง จะอวดว่าอ่านหนังสือเยอะหรือไง!
คนเขานอนอยู่ในโลงศพมาตั้งสองร้อยปี แถมไม่มีไวไฟอีกต่างหาก!
มีเวลาอ่านหนังสือที่ไหนกันเล่า!
ข้าท่อง ‘ตำรายอดหญิง’ ให้เจ้าฟังดีหรือไม่
ไป๋อิงอิงไม่พอใจคุณนายคนนี้ที่ดัดน้ำเสียงมีจริตจะก้านอยู่ตลอดเวลา บางที มันอาจจะเป็นการเตรียมการป้องกันและการระวังตัวตามสัญชาตญาณอย่างหนึ่งของนางต่อโจวเจ๋อที่ดันมาปรากฏตัวอยู่ในบ้านของหญิงสาวที่มีเด็กๆ ก็ได้
ตอนนี้ข้างกายเถ้าแก่ไม่ได้มีเพียงสาวน้อยโลลิ ยังมีภรรยาหลวงและชายหนุ่ม
ตอนนี้ยังขยายรสนิยมและพัฒนาไปถึงขั้นคบหากับผู้หญิงแต่งงานแล้วด้วยหรือ
จู่ๆ อิงอิงก็รู้สึกเจ็บแปลบที่อก เหนื่อยจังเลย!
แต่หญิงสาวคนนี้ดูเหมือนจะไม่สนใจปฏิกิริยาของไป๋อิงอิงเลยและเอ่ยต่อ
“หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า ‘ผีเศรษฐีนี’ อิงจากความนิยมของ ‘โปเยโปโลเย’ พูดถึงเรื่องในยุคราชวงศ์ชิง เรื่องราวเกี่ยวกับหญิงสาวในตระกูลร่ำรวยที่ตกหลุมรักบัณฑิต
พล็อตเรื่องแบบนี้อย่าว่าแต่คนสมัยปัจจุบันเลย แม้แต่คนสมัยโบราณคาดว่าก็น่าจะเบื่อเหมือนกัน ดังนั้นผู้เขียนจึงออกแบบทิศทางของเรื่องแนวใหม่ อย่างเช่น บัณฑิตยากจนผู้นั้น แท้จริงแล้วเป็นผู้ช่ำชองในด้านความรัก ชอบเที่ยวเตร่ไปมาหาสู่กับคุณหนูใหญ่ของตระกูลต่างๆ และหลอกลวงสาวน้อยเหล่านี้ให้หลงรัก…”
เมื่อฟังถึงตรงนี้ สีหน้าของไป๋อิงอิงพลันแข็งทื่อ
“ยังมีอีกนะ ต่อมาภายหลังเรื่องนี้แดงออกไป สาเหตุที่เรื่องแดงออกไปนั้นง่ายมาก บัณฑิตอยากชิงสุกก่อนห่าม แต่คุณหนูใหญ่คนนี้ไม่ยินยอม นางแค่อยากมอบร่างกายของนางในคืนวันแต่งงานเท่านั้น หากใช้คำพูดในปัจจุบันก็คือไม่ยอมเสียตัวก่อนวันแต่ง
นางให้กำลังใจบัณทิตอย่างโง่งมให้เขาเล่าเรียนหนังสือ หวังให้เขาสอบผ่านได้รับตำแหน่งและชื่อเสียง
ปรากฏว่าบัณฑิตโมโหจนนำเรื่องของตัวเองและนางประกาศเผยแพร่ออกไป อีกทั้งยังมีป้ายหยกส่วนตัวที่คุณหนูใหญ่มอบให้กับเขาเป็นหลักฐานอีก
เหอะ ผู้ชาย พวกเขาชอบทำเหมือนสตรีเป็นสิ่งของที่ใช้โอ้อวดตัวเอง ใช้มันมาโอ้อวดบนโต๊ะเหล้า
จริงๆ แล้วผู้หญิงหลายคนก็โง่ที่ไม่รู้ว่าสำหรับผู้ชายแล้ว เรื่องร่วมหอหลับนอนกับใครสักคนเป็นเรื่องง่ายมาก แต่เรื่องร่วมหอลงโรงกับใครสักคนกลับเป็นเรื่องที่ยากมาก
หลักจากเรื่องนี้แพร่ออกไปกลับนำหายนะใหญ่หลวงมาสู่คุณหนูใหญ่ผู้นั้น เพราะคุณหนูใหญ่มีการหมั้นหมายไว้แล้ว อีกฝ่ายเป็นถึงลูกชายของผู้ตรวจราชการ ประกอบกับตระกูลของคุณหนูใหญ่ที่เข้มงวดกวดขัน ใส่ใจกับกิริยามารยาท บรรพบุรุษและพ่อแม่ล้วนมีการศึกษา ยิ่งไปกว่านั้นไม่ยอมก้มหัวให้กับความไม่ถูกต้อง คุณหนูใหญ่จึงถูกลงโทษแบบศาลเตี้ย และรายงานออกไปว่าป่วยตาย”
อิงอิงหยุดนิ้วมือที่ใช้นวดลง เงยหน้าขึ้นด้วยใบหน้าเศร้าหมอง และจ้องหญิงสาวที่กำลังเล่าเรื่องอยู่
“เรื่องราวมาถึงจุดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร อาจจะถือได้ว่าเป็นละครโศกนาฏกรรมเท่านั้น แต่ละครโศกนาฏกรรมประเภทนี้กลับมีมากจนเกินไปและไม่ดึงดูดความสนใจแล้ว”
หญิงสาวจิบชาและพูดต่อ
“คุณหนูใหญ่เสียไปแล้ว หลังจากเสียไปก็กลายเป็นผี แต่กลับเป็นเพราะเหตุบังเอิญบางอย่างจึงหลบพ้นจากการจับกุมของยมทูตและเร่ร่อนอยู่บนโลกมนุษย์
สาเหตุที่นางยังอยู่นั้นง่ายมาก นางอยากแก้แค้น
นางเคยเป็นเทพสถิตในเทวสถาน เดิมทีนางสามารถกลายเป็นเทพสถิตในเทวสถานตลอดไปได้จริงๆ เพลิดเพลินไปกับเครื่องหอมบูชา ในวันข้างหน้าไม่แน่ว่าอาจจะได้รับสถานะทางการที่มั่นคง
แต่นางก็เฝ้ามองอยู่เสมอ เฝ้ารอและรอแก้แค้นมาโดยตลอด ลูกหลานของบัณฑิตผู้นั้นถูกนางทำให้พลัดพรากจากบุตรและภรรยาจากไปทีละคนๆ อย่างหดหู่และไร้ความสุข จนสุดท้ายก็จบไม่สวย แต่นางก็ปกป้องเครื่องหอมบูชาตระกูลของพวกเขามาโดยตลอด เพื่อที่นางจะได้แก้แค้นจากรุ่นสู่รุ่น
ดังนั้น อย่าทำให้ผู้หญิงโกรธแค้นอย่างเด็ดขาด
ทำดีมาหมื่นครั้ง แต่แค่จงใจทำเรื่องชั่วแค่ครั้งเดียว ก็จบเห่ได้ ร่างเทพในเทวสถานของนางอยู่ในสถานการณ์ง่อนแง่นมาโดยตลอด ต่อมาจึงจากไปทั้งอย่างนั้น
แม้ว่าต่อมาจะปลงและจบการล้างแค้นลงแล้ว เมื่อตอนที่ลงนรกไปนั้น ยังมีความวิตกกังวลในใจมากมาย
นางรู้ว่าตัวเองสั่งสมบุญมามาก แต่กลับไม่รู้ว่าบุญของตัวเองได้หักล้างไปกับความชั่วที่ตัวเองได้กระทำไว้หรือไม่ แต่นางกลับไม่เสียใจ ไม่เสียใจภายหลังเลยสักนิด ในตอนแรกรักจนใจกว้าง หลังจากตายได้แก้แค้นอย่างสาสม
ผู้คนมักพูดว่าอย่าไปรู้สึกไม่ยุติธรรมกับทายาทเศรษฐี นั่นเป็นเพราะพ่อแม่ของพวกเขาทำงานหนักมาก่อน ดังนั้นอย่าโทษตัวเองว่าโชคร้าย นั่นเป็นบาปกรรมที่พ่อแม่ของพวกเขาสร้างขึ้น”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ หญิงสาวก็บิดขี้เกียจพลางถอนหายใจและพูดต่อ
“เรื่องราวในหนังสือเล่มนี้บอกกับพวกเราว่า อย่าไปคิดถึงความรักที่ไร้เดียงสาแบบนั้น ความรักที่ไร้เดียงสาจนเกินไปมันไม่มีอยู่จริง
แน่นอนว่าเรื่องราวของบัณฑิตผู้มีพรสวรรค์กับสาวงามในสมัยโบราณแบบนี้มันไม่ค่อยเกิดขึ้นจริงสักเท่าไรหรอก
เหมือนจางอ้ายหลินหรือหลู่ซวิ่นจะเคยกล่าวไว้ว่า ผู้ชายไม่จน ผู้หญิงไม่ขี้เหร่ ตรงกลางเหมือนขาดการก๊งเหล้าไปมื้อหนึ่ง ผู้ชายจน ผู้หญิงขี้เหร่ เป็นเพื่อนกันทั่วทุกหนทุกแห่ง”
“แม่คะ พี่ชายไม่ให้หนูกินขนม” เด็กสาวตะโกนอยู่ชั้นบน
“มาแล้ว มาแล้ว แม่มาแล้ว” หญิงสาวลุกขึ้นเดินขึ้นบันไดไป การพูดจาฉะฉานของเธอจบลงแล้ว
ในห้องนั่งเล่น เหลือเพียงโจวเจ๋อและไป๋อิงอิง
“นวดต่อ อย่าหยุด” โจวเจ๋อชี้ไปที่ไหล่ของเขา
ไป๋อิงอิงพยักหน้าและเอื้อมมือลงไป มือข้างหนึ่งจับคอโจวเจ๋อ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งจับไหล่ของโจวเจ๋อเอาไว้ จากนั้นออกแรงบิดและดึงขึ้น แล้วก็ดึงครั้งสุดท้าย!
‘กร๊อบ…’
ศีรษะทุยๆ ถูกไป๋อิงอิงเด็ดจนขาดลงมา ผมที่จับเอาไว้อยู่ในมือของนาง คล้ายกับสาหร่ายที่กระพือลู่ไปกับลม
หัวคนยังอ้าปากค้างอยู่ และรู้สึกไม่เข้าใจเหตุผลเล็กน้อย ความแตกต่างของการปฏิบัติทั้งก่อนและหลัง เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือไปเลย
ไป๋อิงอิงเหลือบมองเขาแล้วพูดขึ้น “แค่เข้าประตูมาก็รู้แล้วว่าแกมันตัวปลอม บนตัวของแกไม่มีกลิ่นอายของเถ้าแก่เลยสักนิด”
“กลิ่นของเขา หมายถึงอะไร” จู่ๆ ศีรษะในมือของไป๋อิงอิงก็ถามขึ้น
แต่ว่าเสียงที่เปล่งออกมาจากศีรษะในครั้งนี้ไม่ใช่เสียงผู้ชาย แต่เป็นเสียงของหญิงสาวที่เล่าเรื่องก่อนหน้านี้ ซึ่งแฝงไปด้วยความงุนงงอย่างหนัก แต่กระหายใคร่รู้อย่างที่สุด
ในฐานะนักเขียนคนหนึ่ง เธอหวังว่าตัวละครในผลงานของเธอจะสมจริงที่สุดและ ‘เสมือนจริง’ เท่าที่จะเป็นไปได้เช่นกัน ผลงานแบบนี้ถึงจะทำให้ผู้อ่านอินไปกับมันได้
ไป๋อิงอิงโยนศีรษะของผู้ชายเข้ากับผนัง
‘โพละ!’
คล้ายกับแตงโมที่ร่วงลงพื้น แตกโพละทันที ลูกตาเอย หูเอย ร่วงกระจัดกระจายเต็มพื้นไปหมด
ไป๋อิงอิงกำหมัดทั้งสองข้างขวางไว้ด้านหน้าตัวเอง พลางโยกตัวเล็กน้อย
“น่ารังเกียจนัก แน่นอนว่าเป็นกลิ่นผู้ชายน่ะสิ ทำไมต้องถามคำถามที่น่าอายกับคนอื่นเขาด้วย งื้อๆๆ…”
…………………………………………………
[1]เพลงประกอบละครเรื่ององค์หญิงกำมะลอ