ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล – ตอนที่ 299 เด็กหนุ่ม

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

ตอนที่ 299 เด็กหนุ่ม

ระหว่างการสอบสวนมีอุปสรรคเล็กน้อย แต่ภายใต้การนำของจางเยี่ยนเฟิง อุปสรรคที่มีได้จบลงในไม่ช้า สองคนนั้นที่โดนจับในตอนแรกยังเงียบไม่ยอมสารภาพ และได้แต่พูดว่าเห็นลุงตำรวจแล้วตื่นเต้นลนลานทำตัวไม่ถูก คนหนุ่มหน่อยยังดีหน่อย แต่ผู้ชายวัยกลางคนคนนั้นบอกกับตำรวจโดยตรงว่าเขามีบันทึกคดีอาญา ดังนั้นจึงกลัวตำรวจ พอเห็นรถตำรวจจึงรู้สึกแน่นหน้าอก พอเห็นตำรวจเดินเข้ามาก็รู้สึกหายใจลำบาก พอได้สติจึงวิ่งหนีไปไกลหน่อยไม่อย่างนั้นตัวเองต้องขาดใจตายแน่นอน

ทว่าเมื่อการสอบสวนดำเนินต่อไป เด็กหนุ่มคนนั้นซึ่งก็คือคนที่ถูกโจวเจ๋อจับได้สารภาพก่อน จากนั้นผู้ชายวัยกลางคนจึงได้แต่สารภาพตาม ถูกแล้ว การตัดสินของเถ้าแก่โจวไม่ผิดพลาด พวกเขาเป็นโจรปล้นสุสานจริงๆ

เมืองลั่วหยาง เมืองเสียนหยางมีสุสานโบราณค่อนข้างเยอะ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกคนก็ทราบกันดี อย่างไรก็ตามราชวงศ์หลายสมัยได้สร้างสุสานที่นั่นในช่วงแรกๆ ทางฝั่งเมืองทงเฉิงจึงมีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่ด้อยกว่าบ้างอย่างเห็นได้ชัด และไม่เคยได้ยินว่ามีสุสานใหญ่อะไรมาก่อน

แต่ตามคำสารภาพของโจรปล้นสุสานแก๊งนี้ พวกเขาเจอสุสานเล็กๆ สมัยราชวงศ์ชิงจริงๆ และได้ขนวัตถุชิ้นเล็กออกมาโดยเน้นปริมาณเป็นหลัก และมักจะได้ของออกมาอยู่เรื่อยๆ ทว่าช่วงนี้เกิดอุบัติเหตุขึ้น พวกเขาเดิมทีมีหกคนในทีม แต่กลับเสียชีวิตไปสองคนในสุสานเล็กแห่งหนึ่ง สี่คนที่เหลือจึงตกใจอกสั่นขวัญหาย

เมื่อก่อนคิดแต่ว่าจะไม่ขุดสุสานใหญ่และจ้องแต่สุสานเล็กน่าจะไม่มีกับดักอันตรายอะไร ดังนั้นทุกคนจึงใจกล้าแต่ครั้งนี้กลับตายไปสองคน ทุกคนรู้เหตุการณ์นี้เป็นอย่างดี ดังนั้นตอนที่จางเยี่ยนเฟิงขับรถผ่านตรงนั้น พวกเขาทั้งสี่คนกำลังยืนปรึกษากันอยู่ที่ร้านขายลอตเตอรี่ว่าจะนำของที่ขุดออกมาขายได้อย่างไรเพื่อแลกเป็นเงินแล้วหนี

แก๊งปล้นสุสานทั้งหกคน มีเพียงเด็กหนุ่มที่ยืนขายลอตเตอรี่เป็นคนท้องถิ่นเท่านั้น ที่เหลือมาจากต่างเมือง และเมื่อทุกคนแบ่งเงินกันแล้วหนีก็ถือว่าเป็นวิธีที่ปลอดภัยมากจริงๆ

จางเยี่ยนเฟิงเดินออกมาจากห้องสอบสวนถือแก้วเก็บอุณหภูมิอยู่ในมือกำลังดื่มน้ำชาอยู่ โจวเจ๋อนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวข้างนอกฟังทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ แต่เวลานี้เมื่อเห็นจางเยี่ยนเฟิงเดินออกมา บวกกับสภาพแวดล้อมของสถานีตำรวจ ทันใดนั้นโจวเจ๋อรู้สึกว่าเขาเหมือนตัวละครที่เป็นตำรวจฝ่ายดีในละครเป็นอย่างยิ่ง และบทบาทเช่นนี้มักจะเหมาะสมกับการเสียสละในตอนท้ายเรื่องเพื่อเรียกน้ำตาคนดู

จางเยี่ยนเฟิงไม่รู้ว่าโจวเจ๋อคิดอะไร ถ้าหากรู้คาดว่าคงจะพุ่งเข้ามาแล้วแจกหมัดทักทายแบบทหารเข้าให้

“ผมจะสั่งให้คนไปส่งคุณ” จางเยี่ยนเฟิงกล่าว

“เอารถในส่วนราชการมาใช้ส่วนตัวเหรอ”

“คุณช่วยผมจับคนร้ายได้คนหนึ่ง สมควรแล้ว”

“อ้อ”

เถ้าแก่โจวลุกขึ้น พูดตามจริง เขาไม่สนใจเรื่องการสืบคดีเท่าไร และตอนนี้ผู้ต้องสงสัยทั้งสี่คนที่ยังมีชีวิตอยู่ถูกจับได้สองคนแล้ว ที่เหลืออีกสองคนก็เหลือแต่งานไล่ตามจับเท่านั้น

“ตอนบ่ายผมจะพาคนไปดูคนตายที่สุสานเล็กนั่น ไอ้คนเลวพวกนี้นี่จริงๆ เลย มีคนตายสองคนอยู่ข้างล่าง แต่พวกเขากลับไม่ลากศพออกมาเลยด้วยซ้ำ ตรงกันข้ามตัวเองกลับกลบฝังปากทางเข้าสุสานอีกครั้ง”

โจวเจ๋อพลางคิดในใจ หากเอาศพออกมาจะยิ่งโง่หรือเปล่า

จางเยี่ยนเฟิงจัดให้ตำรวจหญิงมัดผมหางม้าซึ่งเป็นลูกน้องของตัวเองไปส่งโจวเจ๋อ ตำรวจหญิงมีรูปร่างสูง น่าจะสูงประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าเซ็นติเมตรแต่ผอมมาก เหมือนดินสอที่เหลาให้ตรง ตั้งอยู่ตรงนั้นเหมือนเสาไฟฟ้า

“คุณโจว เชิญทางนี้ค่ะ” อีกฝ่ายเชิญโจวเจ๋อไปที่ลานจอดรถอย่างเกรงอกเกรงใจ

เธอไม่ได้ขับรถตำรวจ แต่เป็นรถส่วนตัว หลังจากโจวเจ๋อเข้าไปนั่งแล้ว เขายังได้กลิ่นน้ำหอมของผู้หญิง และการตกแต่งด้านในรถก็เป็นสไตล์ผู้หญิงมาก ทุกคนล้วนมีด้านทำงานและด้านการใช้ชีวิตของตัวเอง ตำรวจก็เช่นกัน จึงสามารถเข้าใจได้

โจวเจ๋อจำได้ว่าชาติที่แล้วตอนที่ตัวเองเป็นศัลยแพทย์ก็รู้ว่ามีหมอที่แปลกอยู่บ้าง บางคนเวลาผ่าตัดจะเปิดเพลง‘สวรรค์’ บางคนเปิดเพลง ‘ซิมโฟนีหมายเลขห้า’ กระทั่งมีบางคนที่ชอบเปิดเพลงของวงตำนานนกฟินิกซ์ (Phoenix Legend) กับพี่น้องตะเกียบ (Chopsticks Brothers) เป็นอย่างมาก ปกติเวลาทำงานก็เครียดมากพอแล้ว เวลาที่ควรเล่นก็ต้องเล่นเสียหน่อย

“นี่คือหนังสือที่หัวหน้าจางมอบให้คุณค่ะ” ตำรวจหญิงยื่นหนังสือเล่มหนึ่งให้โจวเจ๋อ หน้าปกเป็นเรือนจำทงเฉิงซึ่งก็คือหนังสือ ‘เส้นทางการไถ่บาป’ เล่มนั้น ขณะเดียวกันได้แทรกใบประกาศมาด้วยปึกหนึ่ง

“นี่คือใบประกาศจับผู้ต้องสงสัยที่หลบหนีอีกสองคน หัวหน้าจางบอกว่าอยากให้คุณช่วยเอาไปแปะตามถนนหนานต้าค่ะ”

โจวเจ๋อพยักหน้า หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง รถได้ขับมาจอดหน้าร้านหนังสือแล้ว โจวเจ๋อลงจากรถ ส่วนตำรวจหญิงหลังจากบอกลาและยิ้มเล็กน้อยตามสไตล์ของเธอแล้วก็ขับรถออกไป

เถ้าแก่โจวที่ยืนอยู่หน้าประตูร้านหนังสือไม่รีบร้อนเดินเข้าไปในร้าน แต่เดินไปที่ข้างร้านหนังสือของตัวเอง ตอนนี้เป็นเวลาโพล้เพล้แล้ว แต่ทีมตกแต่งยังคงทำงานอยู่ เห็นได้ชัดว่าทุกคนกำลังเร่งทำงาน

ผู้อำนวยการหลินอยากจะเปิดร้านขายยาข้างร้านของเขา เพราะหวังว่าเถ้าแก่โจวจะได้กลับมาทำอาชีพเดิม เรื่องนี้เธอได้บอกเขาก่อนหน้านั้นแล้ว แต่โจวเจ๋อคิดไม่ถึงว่าเธอจะใจร้อนขนาดนี้

บางทีเธอคงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่เห็นอาจารย์ที่ปรึกษาที่เป็นไอดอลของตัวเองในอดีตต้องกลายเป็นปลาเค็มตัวหนึ่ง

ผู้อำนวยการหลินกำลังกลายเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่ง หากมองในมุมมองของผู้หญิงแกร่งแล้ว เมื่อไม่เจอคนที่ตัวเองชอบ ดังนั้นตัวเองก็ต้องสร้างขึ้นมาใหม่สักคน

โจวเจ๋อเกาศีรษะแกรกๆ เขาไม่ได้เข้าไปดูความคืบหน้าของงาน แต่ผลักประตูร้านหนังสือแล้วเดินเข้าไป

“โจวเจ๋อๆๆ!!!” สาวน้อยโลลินั่งอยู่บนโซฟา แช่เท้าเปล่าอยู่ในตู้ปลา ในตู้ปลามีปลาตัวเล็กมากมายกำลังจูบเท้าของเธอ

“ถ้าหากวางของพวกนี้ไว้ในร้านของพวกเราจะดีไหม ทุกคนเวลาเดินเหนื่อยๆ จะได้มานั่งผ่อนคลายในร้านหนังสือของเรา กัดหนังที่ตายแล้วออกไป ถือว่าเป็นรายได้อีกอย่างหนึ่งนะ”

อันที่จริง สำหรับร้านหนังสือที่เปิดบนถนนหนานต้าแห่งนี้ ไม่ว่าการเปลี่ยนแปลงหรือการคิดสร้างสรรค์ใดๆ สามารถนับเป็นการสร้างรายได้ได้ทั้งนั้น เพราะยอดขายของมันนั่นต่ำมากจนไม่สามารถต่ำไปกว่านี้ได้อีกแล้ว

แค่ดูจากโจวเจ๋อหลังจากที่ย้ายร้านหนังสือมาที่นี่นอกจากหนังสือพิมพ์รายวันและนิตยสารดังแล้วนอกเหนือจากนี้ก็ไม่ได้สั่งหนังสือล็อตใหม่เข้ามาอีก ก็สามารถมองออกว่าธุรกิจของร้านหนังสือซบเซามากแค่ไหน แต่เถ้าแก่โจวได้ปฏิเสธข้อเสนอของสาวน้อยโลลิโดยตรง

ลองคิดดูนะ ต่อไปทุกเช้าตัวเองตื่นนอนจากอ้อมอกของไป๋อิงอิง เดินลงมาข้างล่างอาบน้ำ ดื่มกาแฟ อ่านหนังสือพิมพ์ นอนอาบแดดอยู่บนโซฟา ขณะที่ตัวเองกำลังดื่มด่ำกับช่วงเวลาเหล่านี้ ข้างๆ กลับมีคุณน้าคุณป้ากลุ่มใหญ่นั่งคุยกันแล้วแช่เท้าของตัวเองอยู่ในตู้ปลา จากนั้นก็ต้องเจอกับคนไข้ที่เป็นโรคน้ำกัดเท้า โอ๊ย กลิ่นแบบนั้น

“ไม่ได้ก็ไม่ได้ แต่อันนี้ต้องวางไว้ให้ข้า ข้าจะเอาไว้ใช้คนเดียว” สาวน้อยโลลิทำปากจู๋

โจวเจ๋อพยักหน้า อันนี้เขาพอทนได้ ด้วยความสวยของสาวน้อยโลลิบวกกับร่างกายที่ดูเปราะบางและอ่อนแอ ไม่ว่าอย่างไรเท้าของสาวน้อยโลลิก็ยังน่ามองกว่าเท้าของเหล่าคุณป้าเป็นไหนๆ

เมื่อกินข้าวเย็นแล้ว เถ้าแก่โจวเพิ่งนึกได้ว่าจางเยี่ยนเฟิงฝากของมาให้ตัวเอง ทันใดนั้นจึงสั่งให้นักพรตเฒ่าไปหยิบใบประกาศจับที่เสียบอยู่ในหนังสือเล่มนั้นของตัวเอง แล้วสั่งให้เขาเอาไปติดข้างนอก

ถึงแม้ว่าเช้าวันที่สองคนทำความสะอาดจะเห็นแต่พวกเขาจะไม่เก็บใบประกาศเหล่านี้ทิ้งไป และหน้าร้านหนังสือก็ได้ติดไว้หนึ่งใบเช่นกัน ส่วนร้านอินเทอร์เน็ตที่อยู่ฝั่งตรงข้ามนักพรตเฒ่าได้เอาไปติดสิบกว่าใบ เขาแปะตั้งแต่ทางเดินเข้าร้านตลอดทางไปจนถึงเคาน์เตอร์ ทำเอาลูกค้าที่เข้ามาในร้านเกิดภาพหลอนคิดว่าตัวเองกำลังฝันว่าอยู่คุก

หลังจากเกิดเรื่องราวในคืนนั้น พี่ชายและน้องสาวที่ร้านอินเทอร์เน็ตคู่นั้นก็ไม่มาหาที่ร้านอีกเลย บางครั้งทุกคนก็มองเห็นกันผ่านช่วงถนนกั้น แต่โดยทั่วไปแล้วจะแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น อันที่จริงเป็นเพราะเพื่อนนักเรียนหมิงหมิงรู้สึกร้อนตัว ไม่ว่าอย่างไรคืนนั้นตัวเองก็เป็นฝ่ายเอาตัวรอด แต่เถ้าแก่โจวกลับไม่ใส่ใจ ทว่านักพรตเฒ่านั้นไม่เหมือนกัน เขาเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น

จนกระทั่งเวลาสามทุ่ม โจวเจ๋อได้เดินขึ้นไปตรวจดูอาการของเหล่าสวี่ก่อน จากนั้นจึงมองกระถางต้นไม้หนึ่งทีดอกไม้ตูมนับวันยิ่งโตขึ้นเรื่อยๆ โจวเจ๋อลังเลเล็กน้อย จากนั้นเขาจึงย้ายกระถางต้นไม้ลงมาข้างล่างไปเลย ย้ายมาอยู่ข้างๆ ที่นั่งที่ตัวเองนั่งเป็นประจำ แล้วตัวเองก็นอนบนโซฟาอ่านหนังสือพิมพ์อย่างสบายใจต่อไป

เถ้าแก่โจวไม่ชอบธูปหอมกันยุง ถึงแม้ว่าจะเป็นปลั๊กเสียบกันยุงก็ตาม จริงๆ แล้วมันก็มีกลิ่นเหมือนกัน แต่หลังจากที่เถ้าแก่โจวย้ายเดดพูลมาอยู่ข้างตัวเอง เขารู้สึกสบายขึ้นเยอะ ไม่ว่ายุงหรือแมลงน่าเกลียดตัวไหนก็ไม่สามารถเข้าใกล้ตัวเขาได้

สาวน้อยโลลิเห็นว่าคืนนี้โจวเจ๋ออยู่เฝ้าร้าน เธอจึงขึ้นไปข้างบนดูโทรทัศน์โดยตรง มีโจวเจ๋ออยู่ เธอแย่งหน้าที่การงานกับโจวเจ๋อไม่ไหว บางครั้งเถ้าแก่โจวขี้เกียจหรือนอนหลับเร็ว สาวน้อยโลลิมักจะเฝ้าร้านเองคนเดียว รอคนที่มีวาสนาต่อกัน

อันที่จริง พระหนึ่งรูปหาบน้ำดื่ม พระสามรูปไม่มีน้ำดื่ม (หมายถึงเกี่ยงกันไปตักน้ำ) ตอนนี้สาวน้อยโลลิอยู่กับโจวเจ๋อ ก็เท่ากับว่าปิดร้านเดิมของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ผลงานของเธอจึงเพิ่มขึ้นช้ามากถึงมากที่สุดด้วยเหตุนี้ แต่เธอก็ยิ่งเปิดใจกว้าง จากยมทูตสาวน้อยโลลิที่ขยันทำงาน เมื่อได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่โจวเจ๋อทำจนชินตา เป็นผลทำให้เธอกลายเป็นปลาเค็มสาวน้อยโลลิตัวหนึ่ง ราวกับว่าเถ้าแก่โจวมีพลังเวทมนตร์ลึกลับบางอย่าง ทำให้คนที่อยู่ข้างกายเขาแต่ละคนที่รักสุขภาพและมุ่งมั่นพัฒนาตัวเองต้องมนต์เสน่ห์ของเขาไปด้วย จนตกอยู่ในจังหวะการใช้ชีวิตของปลาเค็มตามกันไป จากนั้นก็ไม่สามารถคลานออกมาได้อีก

แม่นางสวี่ตอนนั้นมีห้องชุดมากกว่ายี่สิบห้องยังคงขยันขันแข็งเหมือนเดิม แต่ตอนนี้เหรอสิบนิ้วไม่เปื้อนดินเลยสักนิด

“เจี๊ยกๆๆ…” นักพรตเฒ่ากำลังสางขนให้เจ้าลิง ทันใดนั้นเจ้าลิงได้โบกมือเต้นไปมา

นักพรตเฒ่าพยักหน้า หยิบน้ำตาวัวขึ้นมาถูแล้วมองไปที่หน้าประตูร้านหนังสือ เขาเห็นเงาของใครคนหนึ่งกระโดดโลดเต้นเข้ามาจากด้านนอก นักพรตเฒ่าไม่ตกใจและไม่แปลกใจ เหมือนแม่เล้าคนหนึ่งกำลังอ่านหนังสือแล้วตะโกนว่า “รับแขก!” ขณะที่พูด นักพรตเฒ่าลุกขึ้นทันที แล้ววิ่งไปข้างหลังเตรียมอาหารจานเย็นและเหล้าเหลือง

โจวเจ๋อนวดไหล่ของตัวเองแล้วลุกขึ้น แต่เขากลับเห็นวิญญาณที่มาคืนนี้กระโดดโลดเต้นเกินเหตุ เขาเดินและกระโดดไปพลาง กระโดดโหยงเหยง ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

เป็นเด็กหนุ่มผมสีเหลืองคนหนึ่ง เขายังคงรักษาทรงผมพังค์สไตล์ญี่ปุ่นที่เป็นนิยมเมื่อสิบกว่าปีก่อนต่อไป เหมือนชูนิ้วขึ้นฟ้าแล้วตะโกนว่า ‘ทรงพังค์ไม่มีวันตาย!’ แต่เดี๋ยวนะ ดูแล้วคุ้นหน้าคุ้นตาเล็กน้อย โจวเจ๋อจึงเดินไปที่หน้าประตูร้านอย่างตั้งใจเป็นพิเศษ กวาดตามองใบประกาศจับที่นักพรตเฒ่าแปะอยู่หน้าร้าน รูปภาพ ข้อมูล ใช่แล้ว เขานั่นเอง คือเด็กหนุ่มร้านขายลอตเตอรี่ที่หลบหนีเมื่อตอนกลางวันของวันนี้

ตอนนี้เขากลายเป็นผีตนหนึ่ง ตายแล้วเหรอ

เด็กหนุ่มยังคงมีความสุขต่อไป ถึงแม้เขาจะเข้ามาในร้านแล้วก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ ขณะเดียวกันได้ร้องเพลงเด็กเสียงสูงเหมือนคนโง่

…………………………………………………………………………

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

Status: Ongoing
หลังจากการตายที่ไม่คาดคิด สิ่งที่เขาได้รับคือ ตัวตนใหม่ ร้านหนังสือใกล้เจ๊ง และตำแหน่งยมทูตจำเป็น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท