ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล – ตอนที่ 339 มีคนมาแล้ว

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

ตอนที่ 339 มีคนมาแล้ว

ว่ากันว่าสะพานไน่เหอเป็นทางเชื่อมโยงอดีตชาติและภพชาติใหม่ของสรรพสัตว์ แต่ตอนนี้ภาพลางๆ ของสะพานไน่เหอได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าโจวเจ๋อ

แร้งผีก้มหัวศิโรราบไปทางสะพานไน่เหอด้วยตัวสั่นเทาและสีหน้าประจบสอพลอ ราวกับมันรู้อยู่แล้วว่าสะพานไน่เหอจะปรากฏขึ้นที่นี่

แต่โจวเจ๋อได้แต่มองดูทั้งหมดนี้อย่างเงียบๆ เห็นได้ชัดว่าสะพานไน่เหอตรงหน้ามาจากนรก กระทั่งเชื่อมต่อกับดวงตานรกด้วย

ด้วยเหตุนี้ เจ้าจิตสำนึกในร่างเขาเลยแกล้งตาย ไม่กล้าเผยกลิ่นอายของมันออกมา เพื่อป้องกันไม่ให้นายใหญ่ของฝ่ายนรกรู้สึกตัวนั่นเอง

คงมีแต่คำอธิบายนี้เท่านั้นละมั้ง

‘แกรก…แกรก’

มีเสียงแตกร้าวดังขึ้นตรงตำแหน่งตอม่อสะพาน รอยแตกที่คมชัดเป็นแนวยาวปรากฏขึ้นและเริ่มแผ่ขยายออกไปค่อยๆ ปกคลุมตัวสะพานทั้งหมดจนมิด

ในเวลานี้รอยแตกร้าวบนสะพานไน่เหอเหมือนกับเครื่องลายครามชั้นสูงที่ใกล้จะพังทลาย

แร้งผีน้อมคำนับไม่หยุด น่าเสียดายที่มันไม่มีกายหยาบ ไม่อย่างนั้นเลือดคงไหลอาบหน้าผากเพราะการแสดงความเลื่อมใสศรัทธาของมันเป็นแน่

‘ปัง!’

เสียงระเบิดคมชัดดังขึ้น ภาพลวงตาของสะพานไน่เหอกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยเริ่มกระจายว่อนออกไปทั่ว หมอกสีขาวแต่เดิมที่โอบล้อมอยู่รอบด้านก็ได้หายไปพร้อมกันด้วย

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก และจากไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน รอบตัวกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนเสียอย่างนั้น

แต่โจวเจ๋อไม่คิดว่าสิ่งที่เขาเห็นเป็นเพียงภาพหลอนน่ะสิ

แม้ว่าสะพานไน่เหอจะหายไปแล้ว แต่แร้งผียังคงหมอบกราบอยู่อย่างนั้น แถมยังมีท่าทีแสดงความเคารพยิ่งกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก

‘แซดๆๆ…แซดๆๆ…’

ทันใดนั้นโจวเจ๋อก็พบว่ามีบางอย่างผุดออกมาจากในดินที่แปลงดอกไม้ตรงหน้าเขา คล้ายกับมีอะไรบางอย่างข้างในดันให้โผล่ขึ้นมาข้างนอก ดันออกมาเป็นเนินเล็กๆ แถมยังดันแรงขึ้นจนสูงขึ้นเรื่อยๆ

แร้งผียังคงก้มกราบเนินดินที่ดันสูงขึ้นเรื่อยๆ นี้ หางทั้งสามกระดิกส่ายไปมาอย่างต่อเนื่อง ในแต่ละหางล้วนมีวิญญาณถูกห่อหุ้มอยู่

‘พลั่ก!’

ก้อนโคลนร่วงลงมา มีมือหนึ่งยื่นออกมาจากตรงนั้น เป็นมือที่เต็มไปด้วยดินโคลน ผอมกะหร่องเหลือแต่กระดูก มือข้างนี้ค่อยๆ กดลงกับพื้นแล้วกระแทกอย่างแรง!

‘ปัง!’

พื้นดินดูเหมือนจะสั่นไหวสองสามครั้ง ดินโคลนรอบๆ ต่างกระเด็นกระดอนออกมา ไอสีขาวร้อนระอุปะทุขึ้น หลังจากรอจนไอสีขาวสลายไป สิ่งที่ปรากฏขึ้นตรงนั้นคือร่างของหญิงสาวคนหนึ่ง

ขาทั้งสองข้างของหญิงสาวไขว้ไว้ด้วยกันแทบจะทรงตัวไว้ไม่อยู่ เธอสวมใส่กระโปรงสั้นและเสื้อแขนสั้นสีดำที่ทั้งขาดรุ่งริ่งและสกปรกโสโครก เท้าเปลือยเปล่า ผมก็รวมกระจุกกันเป็นก้อน

สิ่งที่ดึงดูดความสนใจมากที่สุดก็คือดวงตาของหญิงสาวคนนี้ ในเบ้าตาลึกมีสีเขียวมรกตไหลเวียนอยู่อย่างน่าประหลาด

มันยากที่คุณจะใช้ความสวยหรือไม่สวยมาพรรณนาหญิงสาวคนนี้ได้ เพราะหญิงสาวคนนี้แทบจะกลายเป็นกึ่งศพแห้งไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าร่างนี้ถูกฝังอยู่ในดินมาระยะหนึ่งแล้ว

โจวเจ๋อแลบลิ้นเลียริมฝีปากของตัวเอง ทันใดนั้นในใจก็สั่นไหวก้องออกมาระลอกหนึ่ง

หืม ในที่สุดก็ตอบเขาแล้วสินะ

เพราะสะพานไน่เหอได้หายไปแล้ว ความเชื่อมโยงระหว่างนรกและโลกที่นี่ก็สิ้นสุดลงด้วย ดังนั้นในที่สุดเจ้าจิตสำนึกในร่างของเขาก็สนใจเขาสักที

โจวเจ๋อแทบจะทนไม่ไหวอยากชูนิ้วกลางให้มันแล้วตอนนี้ ทั้งที่ตอนปกติจะออกมาด้วยท่าทีเหิมเกริม ออกอาละวาดอย่างดุร้ายทั่วหล้าไร้ผู้ต่อกร เอะอะก็บอกว่าปีนั้นจักรพรรดิเหลืองอย่างนั้นอย่างนี้ ทะเลแห่งความตายอย่างนี้อย่างนั้น แต่เมื่อครู่นี้กลับขี้ขลาดเหลือทน อาจเพราะตัวตนของตัวเองมีความเป็นไปได้ที่จะรั่วไหลละมั้ง ถึงได้กลัวน่ะ

เรื่องราวเปลี่ยนแปลงรุ่งเรืองตกต่ำไม่มีความแน่นอน

ไท่ซานฝู่จวินกับวานรย้ายภูเขาตัวนั้น ตอนนั้นก็เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในนรกเช่นกัน ทุกวันนี้มันได้จบไปแล้ว

คาดว่าคงจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับเจ้านั่นในร่างเขาเหมือนกัน ถึงทำให้เกิดเหตุการณ์อย่างในตอนนี้ได้ ในบางเวลาก็ต้องยอมถอยเพื่อซ่อนตัวเลียบาดแผลของตัวเองอยู่ในมุมมืดอย่างเงียบๆ บ้าง

ภาพหลอนของสะพานไน่เหอเมื่อครู่นี้เหมือนเป็นทางผ่านมากกว่า อย่างน้อยๆ ในช่วงขณะนั้นที่มีการเชื่อมต่อระหว่างนรกกับโลก ดูเหมือนว่ามีวิญญาณถูกส่งออกมาจากนรก และจมลงไปในซากศพผีสาวที่อยู่ใต้ดินในเวลาเดียวกันด้วย

ค่อนข้างเอิกเกริกและเป็นทางการมาก โจวเจ๋อจำได้ว่าตอนที่เขาออกมาจากนรกอย่างงงๆ ในช่วงแรกๆ ไม่ได้รับการปฏิบัติแบบนี้

และในเวลานี้ เถ้าแก่โจวกำลังคิดว่าจะรีบโทรหาเหล่าจางดีไหม มีคนฝังศพไว้ข้างใต้แปลงดอกไม้ในชุมชนแห่งนี้ จะต้องมีเหตุฆาตกรรมเกิดขึ้นแน่ๆ

แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเหล่าจางได้จากไปอย่างสมเกียรติแล้ว วิญญาณยังเวียนวนอยู่บนหางของเจ้าแร้งผีตัวนั้นอยู่เลย จะโทรหาทำซากอะไร

“เจ้าเป็น…ยมทูต…ประจำถิ่นหรือ” หญิงสาวชี้โจวเจ๋อและถามขึ้น ในคำพูดแฝงไปด้วยความเผด็จการของผู้บังคับบัญชา ราวกับว่าไม่เห็นโจวเจ๋ออยู่ในสายตาเลยสักนิด

โจวเจ๋อพยักหน้า

“ข้ามาจากสะพานไน่เหอ รับคำสั่งของสะพานไน่เหอ ให้มาปรากฏตัวขึ้นบนโลกเพื่อสืบเรื่องบางอย่าง”

ขณะที่พูด นิ้วของหญิงสาววาดลงตรงหน้า อักขระปรากฏขึ้นและลอยมาอยู่ตรงหน้าโจวเจ๋อ

โจวเจ๋อมองอักขระอย่างตั้งอกตั้งใจ พยักหน้าเป็นระยะๆ และส่งเสียง ‘อืม’ ออกมา

ก็ได้ อันที่จริงเถ้าแก่โจวไม่เข้าใจเจ้าสิ่งนี้เลยด้วยซ้ำ ถ้าสาวน้อยโลลิอยู่ที่นี่ละก็ เธออาจจะอ่านออกก็ได้ ถึงอย่างไรเธอก็เรียนด้านนี้มาอยู่แล้ว แต่เถ้าแก่โจวนั้นเป็นนักเรียนที่ย้ายมากลางคันแถมยังอาศัยเส้นสายความสัมพันธ์เข้ามาอีก ความต่างด้านความรู้พื้นฐานนั้นมีไม่น้อยเลยจริงๆ

แต่ถ้าคิดว่าทำหนังสือรับรองปลอม ธุรกิจนี้น่าจะยังไม่แข็งแกร่งถึงขนาดที่จะหนีจากโลกไปเปิดสาขาย่อยถึงนรก แถมอีกฝ่ายยังให้เขาดูอย่างเปิดเผยอย่างนี้เสียด้วย น่าจะเป็นของจริงละมั้ง

อักขระหายไปแล้ว ร่างของอีกฝ่ายสั่นไหวเล็กน้อย เหลือบมองร่างสกปรกโสโครกของตัวเองด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย จากนั้นเอื้อมมือไปด้านหลังตัวเอง

‘ฟุ่บ!’

มีอะไรบางอย่างถูกนางดึงออกมา หยิบมาดูตรงหน้า มันดันเป็นกรรไกรขึ้นสนิมที่ยังมีคราบเลือดเขรอะอยู่บนนั้น

‘ตุ้บ!’

กรรไกรถูกเขวี้ยงลงบนพื้นทันที นี่น่าจะเป็นอาวุธสังหารใช่ไหม อาวุธที่ใช้ฆ่าเจ้าของศพนี้เหรอ

หญิงสาวโน้มตัวลงอีกครั้งและเริ่มอ้วกออกมาอย่างต่อเนื่อง สสารสีดำมืดถูกขย้อนออกมาจำนวนมาก น่าจะเป็นเศษอาหารตกค้างในกระเพาะก่อนหน้า ในเวลานี้สิ่งเหล่านี้ส่งกลิ่นเหม็นตลบอบอวลที่คนปกติไม่สามารถจินตนาการได้

โจวเจ๋อรู้ดีว่าหลังจากคนตายไปแล้วเศษอาหารตกค้างในกระเพาะที่ย่อยไม่ทันมักจะเป็นที่ชื่นชอบของเหล่าแพทย์นิติเวช แพทย์นิติเวชเชื่อว่านี่คือกลิ่นที่หอมหวานที่สุดที่ธรรมชาติประทานมาให้พวกเขา

เพราะแพทย์นิติเวชสามารถอนุมานเวลาการเสียชีวิตของผู้ตายรวมถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายจากสิ่งเหล่านี้

หลังจากอ้วกจนหมดไส้หมดพุงแล้ว ร่างกายท่อนล่างของหญิงสาวยังคงแกว่งไปมา นางถลึงตามองร่างของตัวเองด้วยความโมโหเล็กน้อย จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองโจวเจ๋อ

“ร่างนี้แย่จริงๆ เลย”

ขณะที่พูด หญิงสาวเอื้อมมือออกไป แร้งผีรีบโยนวิญญาณที่หางของมันไปให้ทันที หญิงสาวรับเอาไว้ในมือ จากนั้นเงยหน้ากลืนมันลงไป ทันใดนั้นก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก คล้ายกับว่าสบายขึ้นมากทีเดียว ร่างกายที่เดิมทีเหี่ยวเฉาของนางดูเอิบอิ่มขึ้นกว่าก่อนหน้านิดหน่อย ความมีชีวิตชีวาปรากฏขึ้นบนใบหน้าเล็กน้อย

กลืนวิญญาณเสริมพลังให้ตัวเอง โจวเจ๋อเห็นเรื่องลักษณะนี้มาเยอะแล้ว วิญญาณข้าราชการในวัดขงจื้อในตอนนั้นก็ทำแบบนี้เช่นเดียวกัน และเจ้านั่นในร่างของเขาก็ด้วย เมื่อใดก็ตามที่มีโอกาสก็มักจะกลืนกินดวงวิญญาณของคู่ต่อสู้ทุกครั้งไป

โชคดีที่วิญญาณดวงนี้ไม่ใช่ของเหล่าจาง ดวงวิญญาณสามดวงที่แตกต่างกันถูกห่อหุ้มแยกกันบนหางทั้งสามของแร้งผี

จากนั้นแร้งผีก็นำดวงวิญญาณอีกดวงเตรียมโยนให้หญิงสาวอีกครั้ง

นี่มันดวงวิญญาณของเหล่าจาง!

“นี่คือเพื่อนของผม” โจวเจ๋อเอ่ยพลางชี้ดวงวิญญาณที่อยู่ในมือแร้งผี

ดวงตาของหญิงสาวหรี่ลง “ดวงวิญญาณเพื่อนของเจ้างั้นหรือ”

แร้งผีลังเลเล็กน้อย มันไม่รู้ว่าควรจะส่งวิญญาณดวงนี้ให้กับหญิงสาวต่อไปหรือไม่ ราวกับว่าหญิงสาวเห็นแก่หน้าโจวเจ๋อและแฝงความหมายของการประนีประนอมอยู่ภายใน

ถึงอย่างไรในสายตาของวิญญาณสิ่งมีชีวิตระดับล่างอย่างแร้งผี โจวเจ๋อและหญิงสาวตรงหน้าต่างก็เป็นคนจากในหยาเหมิน[1] ล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตที่มันไม่อาจไปยั่วยุได้

แต่ทว่า ประโยคถัดไปของหญิงสาวกลับดูทะนงตนและอวดดีนัก

“ในเมื่อเป็นของเพื่อนเจ้า งั้นก็น่าจะอร่อยขึ้นน่ะสิ!”

ม่านตาของโจวเจ๋อหดลงอย่างกะทันหัน เมื่อแร้งผีนำดวงวิญญาณโยนออกมา มวลหมอกสีดำบนเล็บของโจวเจ๋อถูกกระตุ้นออกมาในชั่วพริบตา หยุดดวงวิญญาณเหล่าจางเอาไว้ระหว่างทาง จากนั้นเก็บมาอยู่ข้างกายตัวเอง

ดวงวิญญาณของเหล่าจางอ่อนแอมาก หนำซ้ำยังอ่อนแอลงเรื่อยๆ หากล่าช้าไปมากกว่านี้ อย่าว่าแต่การกลับไปเกิดใหม่ของเหล่าจางเลย แม้แต่วิญญาณก็อาจจะสูญสลายได้

ตัวเองอยากช่วยชีวิตเขาเอาไว้ หากช่วยไปแล้วผลจะกลายเป็นแบบนี้ในตอนท้าย นั่นไม่ใช่สิ่งที่โจวเจ๋อต้องการ

หญิงสาวจ้องมองโจวเจ๋ออย่างเย็นชา “เจ้ากล้าฝ่าฝืนเจตจำนงของสะพานไน่เหอหรือ”

“ผมเป็นยมทูตของยมโลก ไม่ใช่คนของสะพานไน่เหอเสียหน่อย คุณใช้อักขระเพื่อแสดงตัวตนของคุณได้ แต่คุณไม่มีสิทธิ์มาสั่งผม” โจวเจ๋อพูดอย่างจริงจัง

ใช่แล้ว หากเอายมโลกเทียบกับราชสำนักโบราณ อย่างนั้นสะพานไน่เหอและสถานที่บางส่วน ก็เทียบได้กับเมืองชายแดนในสมัยโบราณหรืออ๋องที่เป็นเจ้าศักดินา

ในนามของยมโลกจะมีอำนาจผู้นำเหนือสถานที่เหล่านี้ แต่อันที่จริงพวกเขาต่างก็มีขอบเขตอิทธิพลของตนเอง เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นสิ่งที่สาวน้อยโลลิเคยบอกโจวเจ๋อ

และด้วยเหตุที่โจวเจ๋อได้รับการแต่งตั้งจากราชสำนัก แค่กๆ แท้จริงแล้วไม่จำเป็นต้องอยู่ในการควบคุมดูแลของสะพานไน่เหอ

แต่หากเป็นยมทูตธรรมดาทั่วไปที่เผชิญกับการมีอยู่ของสะพานไน่เหอ เดาได้ว่าคงจะคุกเข่านอบน้อมประจบจนแทบจะไม่ทัน โดยที่ไม่สนว่าจะเหมาะสมตามขั้นตอนทางกฎหมายหรือไม่ก็ตาม

“เจ้า…ดีมาก” หญิงสาวชี้โจวเจ๋อ

โจวเจ๋อเตรียมพร้อมโต้กลับได้ทุกเมื่อ แต่หญิงสาวกลับไม่ได้โจมตีโจวเจ๋อแต่อย่างใด กลับเลือกที่จะเดินเข้าไปหาแร้งผีตัวนั้นแทน

นางดูเหมือนยังมีความกังวล แต่ก็ดูเหมือนเพราะว่าอยากจะทำภารกิจของตัวเองให้สำเร็จลุล่วง ดังนั้นจึงต้องการความช่วยเหลือของโจวเจ๋อ และด้วยเหตุนี้ถึงไม่ได้เลือกที่จะฉีกหน้าโจวเจ๋อ

แร้งผีส่งมอบดวงวิญญาณดวงที่สามให้ หญิงสาวหยิบดวงวิญญาณขึ้นมาและกลืนมันลงไป ชั่วขณะหนึ่ง เผยให้เห็นความสุขบนใบหน้าของนาง รูปร่างเริ่มอวบอิ่มขึ้น ไม่เหลือเค้าโครงซากศพเดิมอีกต่อไป

แร้งผีมองหญิงสาวด้วยท่าทางประจบประแจง เหมือนหมาพันธุ์ปั๊กที่รอคำชมจากเจ้าของ แต่ทว่าหญิงสาวกลับเอื้อมมือไปคว้าแร้งผีอย่างรวดเร็วและจับมันยกขึ้น ก่อนจะอ้าปากกว้างยัดแร้งผีที่ดิ้นรนไม่หยุดเข้าไปในปากเล็กๆ ของตัวเองและทำท่าเคี้ยวตุ้ยๆ จากนั้นกลืนมันลงไปอย่างยากลำบาก

ชั่วขณะนั้น ผิวพรรณของหญิงสาวเริ่มฟื้นฟูความชุ่มชื้นเต่งตึง แม้แต่ริมฝีปากยังกลับมาแดงระเรื่อ ไม่ต่างอะไรกับคนที่มีชีวิตเลยแม้แต่น้อย

“ฟู่ว…สั่งให้เจ้าเตรียมดวงวิญญาณสามดวงเก็บไว้ให้ข้าลิ้มรสแล้วล่วงหน้า ตอนนี้ดันขาดไปดวงหนึ่ง ทำได้เพียงนำเจ้ามาชดเชยเท่านั้น”

หญิงสาวพูดยิ้มๆ และใช้นิ้วก้อยจิ้มเข้าไปในช่องระหว่างฟัน ทำท่าทางแคะขี้ฟัน

จากนั้นจึง ‘เอิ๊ก…’

เรอออกมาเสียงดัง

………………………………………………..

[1] หยาเหมิน คือ ที่ทำการของทางการ

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

Status: Ongoing
หลังจากการตายที่ไม่คาดคิด สิ่งที่เขาได้รับคือ ตัวตนใหม่ ร้านหนังสือใกล้เจ๊ง และตำแหน่งยมทูตจำเป็น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท