ตอนที่ 344 เรื่องราวของปากกา
“ยินดีต้อนรับผู้ฟังวิทยุรายการใจฉันดวงจันทร์ของคุณ ชายหนุ่มผู้แสนดีคือผม ผมก็คือ นักจัดวิทยุกระจายเสียงเที่ยงคืนสยองขวัญ”
หญิงสาวยังไม่ออกมา อย่างน้อยๆ ทุกอย่างในเรือนจำก็ยังดูปกติดี ภายนอกหน้าต่างรถมีเสียงจักจั่นที่น่ารำคาญส่งเสียงร้องดังไม่หยุดไม่หย่อน เถ้าแก่โจวที่ง่วงนอนแต่ก็นอนไม่หลับ เมื่อสูบบุหรี่จนหมดเกลี้ยงแล้ว รู้สึกเบื่อเลยทำได้แค่เปิดวิทยุฟังในรถ
“เอาละ ล้อเล่นนะครับทุกคน ขอย้ำกับทุกคนไว้ ณ ที่นี้ว่า ‘อพาร์ตเมนต์รักอลวน’ ฉบับภาพยนตร์ใกล้จะเข้าฉายในเร็วๆ นี้แล้ว เพื่อนๆ ที่ชอบดูภาพยนตร์เรื่องนี้ เมื่อถึงเวลาสามารถเข้าไปรับชมภาพยนตร์กันได้เลยนะครับ
นอกจากนี้ เรื่องราวที่พวกเรานำมาให้คุณผู้ฟังในคืนนี้ก็คือ ‘เที่ยวนรกหนึ่งวันของฉัน’ ที่เขียนโดยซย่าเซี่ยนักเขียนวัยเยาว์ร่วมสมัยชื่อดัง
ในเรื่องนี้เพื่อให้ให้ผู้อ่านอย่างเราเห็นภาพ ทางซย่าเซี่ยได้ลงรายละเอียดของนรกในรูปแบบที่เขาคิด ทำให้คนหลงใหล
ซย่าเซี่ยกล่าวในงานแถลงข่าวเปิดตัวหนังสือเล่มใหม่ว่า เมื่อตอนที่เขายังเด็กเคยประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์และหมดสติไปสองสามวัน ในช่วงสองสามวันนั้นเขาฝันไปยาวนานมาก เขาบอกว่าเขาอาจจะไปนรกแล้วกลับมาก็ได้ ดังนั้นเมื่อเขาโตขึ้น เขาจึงตัดสินใจว่าจะใช้ปากกาของตัวเองเขียนสภาพเหตุการณ์ที่เขาได้ ‘เจอ’ ในนรกทั้งหมดมาให้ทุกคนเห็นให้จงได้
ต่อไป พวกเราจะเล่าเรื่องนี้ให้บรรดาคุณผู้ฟังได้รับฟังกันนะครับ
เส้นทางน้ำพุเหลืองมองไม่เห็นที่สิ้นสุด ทั้งสองข้างทางประดับประดาไปด้วยดอกพลับพลึงแดงสวยงามบานสะพรั่งสุดลูกหูลูกตา ลำต้นของพวกมันพลิ้วไหว
เหล่าดวงวิญญาณหลากหลายรูปแบบกำลังเดินอยู่บนเส้นทางน้ำพุเหลือง
บางคนก็ร้องเพลง
บางคนก็เต้นรำ
บางคนก็ร้องไห้
บางคนก็มองย้อนกลับไป
ผู้คนแต่ละสีผิว แต่ละเชื้อชาติ แต่ละวัฒนธรรมต่างรวมกันอยู่ ณ ที่แห่งนี้ เสื้อผ้าอาภรณ์ภายนอกถูกเปลื้องออก กลับคืนสู่สภาพดั้งเดิมที่สุดของพวกเขา มีเพียงในเวลานี้เท่านั้นที่ความเย่อหยิ่งและอคติจะไม่มีอีกต่อไป ไม่มีเส้นแบ่งชนชั้นวรรณะระหว่างคนรวยและคนจน…”
พอฟังถึงตรงนี้ เถ้าแก่โจวกลอกตามองบน ถอนหายใจและพูดว่า “ประสาทกลับไปแล้วมั้ง”
มีร้องรำทำเพลงด้วยเนี่ยนะ ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณไม่ลองให้ยมทูตพาพวกคุณเปิดงานแสดงโชว์ไปด้วยเลยล่ะ
โจวเจ๋อปิดวิทยุ เอื้อมมือไปค้นข้างใต้ และเขาก็เจอบุหรี่อยู่ด้านล่างจริงๆ น่าจะเป็นของคนขับรถที่โชคร้ายคนนั้น
เขาคนนั้นน่าจะยังนอนหลับเคลิบเคลิ้มอยู่ริมถนนละมั้ง ไม่รู้ว่าจะเป็นหวัดด้วยหรือเปล่า
หลังจากแกะบุหรี่หนึ่งซองยังไม่ทันจะได้สูบ จู่ๆ โจวเจ๋อก็ชะงักไป ทันใดนั้นก็รู้สึกใจสั่นหวิว เกิดเรื่องอะไรขึ้นในคุก
…
ในห้องสมุด นักโทษและหญิงสาว นักโทษยังนั่งอยู่บนเก้าอี้เหมือนเดิม ส่วนหญิงสาวถอยกรูดด้วยความตกใจ และยังเอ่ยถามต่ออย่างหวาดกลัว
“ทำไมกัน เป็นไปได้ยังไง มันเป็นไปได้ยังไง…”
รอยยิ้มผุดขึ้นมุมปากของนักโทษ แต่ในแววตากลับหวนรำลึกอย่างสุดซึ้ง
…
วันนั้นฝนตกหนักและฟ้าร้อง ฟ้าแลบเป็นระยะ ตามด้วยเสียงฟ้าร้องดังสนั่น
เขาไม่ได้กลับบ้านมาสามวันแล้ว เพราะเขางานยุ่งมากจนไม่มีเวลากลับบ้าน
มันเป็นช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์พอดี มีคำสั่งซื้อมากมายที่ต้องรับผิดชอบในโรงงานอุตสาหกรรมอาหาร ไม่สามารถละทิ้งคำสั่งซื้อเหล่านี้ไปได้เลย เพราะว่าคำสั่งซื้อในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์เทียบได้มากกว่าหนึ่งในสามของคำสั่งซื้อตลอดทั้งปีของโรงงาน
แม่ยายมอบโรงงานแห่งนี้ให้ลูกเขยอย่างเขาดูแล มันเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของเขา
จากคำพูดของแม่ยาย พ่อตาและพี่ชายของภรรยาของเขาหัวดื้อมาก นอกจากเป็นตำรวจแล้วก็ทำอย่างอื่นไม่เป็น ในชีวิตของเธอไม่คาดหวังว่าพวกเขาจะรู้จักปรับตัวและสามารถทำประโยชน์ให้ครอบครัวได้ ดั้งนั้นเธอจึงทำได้เพียงหาเงินมาจุนเจือครอบครัวด้วยตัวเองเท่านั้น
ตอนนี้โรงงานแห่งนี้ทำได้เพียงส่งต่อให้กับลูกเขยของเธอคนนี้เข้ามาดูแลแทน
เขาใส่ใจและตั้งใจมากจริงๆ ทั้งยังพยายามอย่างถึงที่สุด
ครอบครัวของพ่อตารวมถึงพี่ชายของภรรยาดีต่อเขามาก ไม่เคยดูถูกตัวตนของเขาเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ตอนที่ภรรยาของเขาคุยเรื่องแต่งงาน พวกเขาก็ไม่ได้กำหนดเกณฑ์หรือเรียกร้องใดๆ
ดังนั้นเขาจึงหมดเวลาไปกับการตั้งใจทำงานอย่างสุดความสามารถ ขยันทำงาน แม้ว่าเพราะเหตุนี้จะทำให้เขาไม่มีเวลาเขียนนวนิยาย ไม่มีแรงกำลังที่จะทำความฝันให้เป็นจริงแล้ว ทั้งที่เขากับภรรยาได้เจอกันนั้น ทั้งหมดเป็นเพราะมีความสนใจและชื่นชอบการเขียนนวนิยายเหมือนกัน
แต่เขาก็ไม่เสียใจ ไม่เคยคิดเสียใจเลยสักนิด ผู้ชายต้องเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบ และต้องเรียนรู้การปล่อยวางด้วยเช่นกัน
ลากสังขารที่อ่อนล้าขับรถกลับถึงบ้าน นี่คือบ้านพักของครอบครัวเขาเอง เขาไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งเขาจะได้อาศัยอยู่ในบ้านหรู ไม่ใช่บ้านที่สร้างกันเองตามชนบท แต่เป็นบ้านพักระดับไฮเอนด์
ชีวิตที่สวยงามไม่ได้อยู่แค่ตรงหน้าตัวเองเท่านั้น แต่อยู่ในกำมือตัวเองแล้ว
ภรรยา ลูกชาย ลูกสาว บ้าน และหน้าที่การงาน มีครบครันทั้งหมดแล้ว
เมื่อจอดรถและเดินไปถึงประตูเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าลืมคีย์การ์ดเข้าบ้านทิ้งไว้ในรถ หลังจากกดกริ่งแล้วรออยู่นานพอสมควรก็ไม่มีใครมาเปิดประตูให้
มันตั้งกี่โมงแล้ว พวกเด็กๆ น่าจะนอนหลับกันไปหมดแล้ว ถ้าภรรยากำลังเขียนงานอยู่ก็จะขังตัวเองอยู่ในห้องหนังสืออาจจะไม่ได้ยิน เพราะในตอนแรกที่ออกแบบห้องหนังสือนั้นตั้งใจกั้นเสียงรบกวนโดยเฉพาะ
แต่พี่เลี้ยงที่อยู่ในบ้านก็น่าจะมาเปิดประตูให้ถึงจะถูก
หลังจากกดกริ่งประตูอีกสองสามครั้ง ก็ยังไม่มีใครมาเปิดประตูให้ ช่วยไม่ได้ ทำได้เพียงกลับไปหยิบคีย์การ์ดในรถ แล้วเดินกลับมาใช้คีย์การ์ดเปิดประตูอีกครั้ง
เมื่อผลักประตูออกและเข้าไปในห้องนั่งเล่น เขาอึ้งไปทั้งตัว ภรรยาและลูกทั้งสองคนของเขาถูกมัดไว้บนพื้นห้องนั่งเล่น เขารีบกระโจนเข้าไปเหมือนคนบ้า พยายามจะปลุกภรรยาและลูกๆ ของเขาให้ตื่นขึ้น แต่พวกเขากลับไม่ตอบสนองใดๆ เลย
เนื้อตัวของภรรยาและลูกๆ ยังมีรอยฟกช้ำราวกับถูกทรมานด้วยการเฆี่ยนตี และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ ทั้งสามคนหมดลมหายใจไปแล้ว พี่เลี้ยงไม่อยู่ในบ้าน ไม่รู้ว่าไปที่ไหน
มันคือความฝัน จะต้องเป็นฝันไปแน่ๆ ฝันไปแน่ๆ มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
เขาไม่ได้โทรแจ้งตำรวจ เพียงแค่ค่อยๆ ปลดเชือกที่มัดบนตัวภรรยาและลูกๆ ออกไปอย่างเงียบๆ และอุ้มพวกเขาไปวางไว้บนโซฟา
เมื่อคนเราได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ก็มักจะมีอาการตอบสนองทางประสาท
แจ้งตำรวจ มีประโยชน์งั้นเหรอ ภรรยาและลูกๆ ของเขาเสียชีวิตไปแล้วนี่
เขาไม่ได้ร้องไห้และไม่ได้ตะโกนร้อง เพียงแค่มองดูภรรยาและลูกทั้งสองคนนอนอยู่บนโซฟาเงียบๆ หลังจากมองอยู่นาน มองดูจนในหัวขาวโพลน มองดูจนตัวเองงุนงงสับสนไปทั้งตัว เขาเดินขึ้นไปชั้นบน เข้าไปในห้องนอน เขาล้มตัวนอนลง ห่มผ้าและหนุนหมอนนอน
มันเป็นความฝันใช่ไหม เหนื่อยจังเลย เมื่อตื่นขึ้นมาน่าจะหายไปหมดใช่ไหม
เขาผล็อยหลับไป เขาผล็อยหลับไปภายใต้สถานการณ์แบบนี้จริงๆ อีกทั้งหลับไปจนถึงรุ่งสาง
เมื่อตื่นขึ้นมาเขาก็พบว่าภรรยาไม่ได้นอนอยู่ข้างกายเขา เขาเดินไปที่ห้องของลูกๆ ตอนนี้เป็นช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อน พวกเด็กๆ ไม่ต้องไปโรงเรียน และเขาก็ไม่ชอบให้ลูกๆ ไปโรงเรียนกวดวิชาอะไรพวกนั้นเร็วเกินไป ปล่อยให้เด็กๆ เล่นอยู่ที่บ้านให้หนำใจก็พอแล้ว พวกเขายังอยู่ในวัยที่กำลังเล่นซน
ห้องนอนของเด็กๆ ก็ไม่มีคนอยู่เช่นกัน
ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงฉากที่กลับบ้านมาเมื่อคืนนี้ เขาเอามือปิดปากข้างหนึ่งและเบิกตากว้าง เขาไม่กล้าลงไปข้างล่าง เขาจำได้ว่าเมื่อคืนเขาวางศพภรรยาและลูกไว้ที่โซฟาในห้องนั่งเล่น เขาไม่กล้าลงไป กลัวจะได้เห็นฉากนี้อีก
แจ้งตำรวจเหรอ
ขอโทษที ไม่ได้นึกถึงเลยจริงๆ และไม่เคยคิดด้วย
ทำไมต้องแจ้งตำรวจ จับฆาตกรงั้นเหรอ
มีฆาตรกรอะไรที่ไหนกัน ภรรยาและลูกๆ ของผมยังมีชีวิตอยู่ต่างหาก
ใช่แล้ว พวกเขายังมีชีวิตอยู่ชัดๆ ผมจะโทรไปแจ้งความได้ยังไง
…
เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วในโอซาก้าประเทศญี่ปุ่น มีศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งใช้ชีวิตอยู่กับศพภรรยาของเขาเป็นระยะเวลาสามปีหลังจากเสียชีวิตขณะนอนหลับด้วยอาการหัวใจวายกะทันหัน
ในช่วงเวลานั้นเขาคิดอยู่เสมอว่าภรรยาของเขาแค่นอนหลับไปไม่ได้เสียชีวิต เขายังจัดซื้อตู้แช่เอาไว้สำหรับวางศพภรรยาของเขาด้วย ในตอนแรกเขาประกาศให้โลกภายนอกรับรู้ว่าภรรยาของเขาขาหัก ออกไปไหนไม่สะดวก ต่อมาก็บอกว่าภรรยาของเขาไปเรียนต่อที่ต่างประเทศแล้ว
เพราะอย่างนี้นี่เอง เขาได้ใช้ข้ออ้างต่างๆ นานาเพื่อปกปิดข่าวการเสียชีวิตของภรรยามานานถึงสามปี รอจนกระทั่งพ่อบังเกิดเกล้าของภรรยาล้มป่วยเข้าโรงพยาบาล ครอบครัวของภรรยารบเร้าอย่างหนักเพื่อให้ภรรยากลับมาพบหน้าพ่อ จนสุดท้ายคำโกหกของศาสตราจารย์ถึงได้ถูกเปิดโปง
ตำรวจและผู้คนรีบบุกเข้าไปในบ้านของศาสตราจารย์ ได้พบกับศพในตู้แช่แข็ง ในตอนแรกทุกคนสงสัยว่าศาสตราจารย์ฆ่าภรรยาของเขาและอำพรางศพเพื่อทำลายหลักฐาน
แต่ศาสตราจารย์ยืนกรานตลอดเวลาว่าภรรยาของเขายังไม่ตาย ยังกินอาหารเช้าและอาหารเย็นกับเขา อีกทั้งยังนอนกับเขาทุกวันอยู่เลย
เมื่อคนรอบข้างคอยบอกเขาไปเรื่อยๆ ว่าภรรยาของเขาเสียชีวิตและเสียไปนานกว่าสามปีแล้ว ราวกับว่าความฝันในก้นบึ้งหัวใจของเขาถูกทิ่มแทงให้แตกสลาย
ศาสตราจารย์คุกเข่าลงข้างศพของภรรยาและร้องไห้เสียงดัง ในชั่วขณะเขาถึงได้รู้สึกตัวว่าภรรยาของเขาเสียชีวิตแล้ว
ต่อมาหลังผ่านการสืบสวนของทางตำรวจ เนื่องจากศพถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี สาเหตุการเสียชีวิตก็ได้รับการยืนยัน ศาสตราจารย์ถูกตัดออกจากการตกเป็นที่ต้องสงสัยในเหตุฆาตกรรม
…
เขาไม่กล้าลงบันได ทำไมถึงไม่กล้าล่ะ
เขาไม่เข้าใจ แต่เขาแค่ไม่อยากลงไป
เขาเดินเข้าไปที่ห้องหนังสืออย่างเงียบๆ ปกติแล้วภรรยามักจะเขียนงานในนี้ สมุดบันทึกของภรรยายังวางอยู่บนโต๊ะทำงาน
ภรรยามักจะล้อเขา บอกว่าเมื่อก่อนที่เขาเขียนงานไม่ชอบใช้คอมพิวเตอร์ แต่ชอบใช้ปากกามากกว่า ทั้งยังเคยส่งต้นฉบับที่ใช้ปากกาเขียนไปให้สำนักพิมพ์และนิตยสารด้วย จนสุดท้ายถูกตีกลับมาและทำเครื่องหมายว่าให้ส่งเรื่องที่เขียนไปทางอีเมล ไม่รับต้นฉบับปากกา
แต่เขาก็ยังยืนกรานที่จะใช้ปากกาเขียนเรื่องราว แม้ว่าเขียนเสร็จแล้วต้องพิมพ์ลงในคอมพิวเตอร์อีกทีก็ตาม เพราะเขารู้สึกว่าถ้อยคำและเรื่องราวที่ใช้ปากกาเขียนออกมา มีความรู้สึก มีความอบอุ่น ไม่เย็นชา และมีชีวิตชีวามากกว่า
ปากกาของเขา เป็นปากกาที่ซื้อมาจากแผงลอยขายของริมถนนตอนที่เขายังเป็นเด็ก นั่นเป็นปากกาด้ามแรกของเขา มันไม่เคยพัง ไม่มียี่ห้อและไม่มีเครื่องหมายการค้า แต่ใช้งานได้ตลอด คุณภาพดีมาก
แต่ว่า นับตั้งแต่แต่งงานและรับช่วงต่อโรงงานอุตสาหกรรมอาหารของแม่ยาย เขาก็แทบไม่ได้ใช้ปากกาด้ามนั้นเขียนงานของตัวเองเลย
แต่เขาจะใช้ปากกาคัดลอกหนังสือที่ภรรยาของเขาตีพิมพ์อีกครั้ง หลังจากคัดลอกเสร็จก็ค่อยๆ อ่านมันอย่างละเอียดอีกรอบ เขาสนุกกับความรู้สึกแบบนี้ และชอบความรู้สึกแบบนี้ด้วย
เขาหยิบปากกาด้ามนั้นขึ้นมา เปิดสมุดเปล่าของตัวเอง และหยิบหนังสือ ‘ฉันรักครอบครัวของฉัน’ ที่ภรรยาเพิ่งตีพิมพ์เมื่อไม่นานมานี้ขึ้นมาวางบนโต๊ะ
เรื่องสยองขวัญนี้ ภรรยาแต่งมันขึ้นมาโดยใช้บ้านของตัวเองเป็นต้นแบบ
ตัวอักษรสีเลือดที่หน้าปก บ่งบอกว่านี่คือนวนิยายสยองขวัญ
เมื่อเปิดไปหน้าแรก เขาก็เริ่มคัดลอกจากชื่อเรื่องไปทีละประโยค ทีละประโยค…
…………………………………………………