ตอนที่ 345 กัดโดนแล้ว
นวนิยายของภรรยามีคนอ่านน้อยมาก เพราะภรรยาชอบแนวสยองขวัญแบบนี้มาตลอด อันที่จริงเมื่อก่อนภรรยาเคยเขียนแนวรักโรแมนติกมาก่อน อย่างเช่น ‘เจ้านายเผด็จการ คุณหนีไม่พ้นกำมือฉันหรอก!’ แบบนั้น
แต่ว่า บางทีมันอาจจะเป็นเพราะภาวะซึมเศร้าหลังคลอดละมั้ง ทำให้ผลงานช่วงหลังๆ ของภรรยาเริ่มเบนเข็มไปแนวสยองขวัญและสิ่งเหนือธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม ปัญหาของภรรยาไม่ได้ร้ายแรงอะไร นิสัยอาจจะเย็นชากว่าเมื่อก่อนไปสักหน่อย ไม่ค่อยยอมออกไปข้างนอก และไม่ชอบติดต่อกับคนแปลกหน้า แต่ยังคงดูแลเอาใจใส่เขาและลูกๆ เหมือนเดิม
เขาจับปากกาเขียนคำต่อคำ นั่งคัดลอกอยู่อย่างนั้น
อันที่จริงในตอนแรก ภรรยาไม่ค่อยเข้าใจความหลงใหลได้ปลื้มนี้ของเขามากนัก ต่อมาเขาได้อธิบายว่าเพราะมันเป็นหนังสือของเธอ เรื่องราวของเธอ ดังนั้นการที่เขาใช้ปากกาบรรจงเขียนลงไปแล้วค่อยอ่าน มันสามารถเข้าถึงจิตใจเธอได้มากขึ้น
ภรรยารู้สึกซาบซึ้งใจมาก สำหรับนักเขียนแล้ว คำหวานที่ไม่เสียเงินแบบนี้เยอะเสียจนสามารถโละขายล้างสต๊อกได้เลย แต่สาวๆ ก็ดูจะชอบลูกไม้แบบนี้เสียด้วย
ด้วยเหตุนี้ ทุกครั้งที่ภรรยาตีพิมพ์หนังสือเล่มใหม่เขาก็จะหาเวลาคัดลอกมัน ตอนที่คัดลอกภรรยาก็ชอบนั่งดูอยู่ข้างๆ เขา หากเหนื่อยก็พิงตัวเขา มองเขาคัดลอกไปเรื่อยๆ เพลิดเพลินไปกับความรู้สึกนี้
ปลายปากกายังคงจรดเขียนคำต่อคำบนกระดาษไปเรื่อยๆ เขาไม่เหลียวหลัง และไม่มองไปรอบๆ เลย เพราะเขามีความรู้สึกว่าภรรยาคอยอยู่เป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ เขาแล้ว ภรรยาอยู่ข้างๆ เขานี่เอง ใช่แล้ว เธออยู่ข้างกายเขา
ศพทั้งสามยังคงวางอยู่บนโซฟาอย่างเงียบๆ ในห้องนั่งเล่น ส่วนบนชั้นสองนั้น สามีของผู้ตาย (พ่อ) กำลังนั่งจับปากกาเขียนอักษรอย่างเอาเป็นเอาตายในห้องหนังสือ
มันเหมือนกับฉากสยองขวัญในภาพยนตร์ขาวดำ แฝงไปด้วยตรรกะทำให้คนเข้าใจยากแต่น่าหวาดกลัวจนทำให้ขนหัวลุก มันคล้ายกับศิลปะการแสดงนิดหน่อย ศิลปะการแสดงที่แท้จริง ไม่ควรไปศึกษาตรรกะของมันเอง แต่ให้หาความหมายของทุกอย่างที่ต้องแสดงจากในความโกลาหลนั้น
วันนี้เขาไม่ได้ไปทำงาน หลังเทศกาลไหว้พระจันทร์เป็นวันหยุดอยู่แล้ว หลังจากพนักงานเร่งทำงานล่วงเวลามาหลายวันก็ต้องการเวลาพักผ่อนเช่นกัน อีกทั้งช่วงเวลาที่งานรัดตัวที่สุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว และโรงงานในช่วงระยะนี้ก็ไม่ได้ยุ่งขนาดนั้น
พ่อตาแม่ยายไปเที่ยวต่างประเทศ สาเหตุเป็นเพราะนิสัยที่เปลี่ยนเป็นเย็นชาของภรรยา ทำให้เริ่มพูดคุยสื่อสารทางโทรศัพท์กับพวกเขาน้อยลง พ่อตาแม่ยายก็ไม่ค่อยมารบกวนชีวิตของพวกเขา
ส่วนพี่ชายของภรรยาที่เป็นตำรวจคนนั้น เขาบ้างานเสียจน ‘ครอบครัวแตกแยก’ ไปแล้ว เป็นธรรมดาที่ไม่มีเวลามาเยี่ยมมาเที่ยวเล่นอะไรแบบนี้หรอก
เขาคัดลอกงานและคัดลอกงานอย่างตั้งใจตลอดทั้งวัน ทุกเส้นทุกขีดที่ออกมาจากปลายปากกาล้วนเขียนอย่างประณีตและทุ่มเทให้กับมันอย่างเต็มที่
ไม่กินไม่ดื่มตลอดทั้งวัน กระทั่งนั่งอยู่อย่างนั้นไม่ขยับเขยื้อน เขาเอาแต่เขียน เขียนไม่หยุด เขียนจนตะวันลับขอบฟ้า เขียนจนพระจันทร์ขึ้นมา เขียนตั้งแต่เช้ายันมืด…
เขามึนงง เขาไม่รู้สึกถึงการไหลของเวลา ราวกับว่ามีเพียงการคัดลอกต่อไปไม่หยุดแบบนี้ถึงจะทำให้เขาลืมในสิ่งที่เขาไม่อยากจดจำ ถึงจะทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและความผูกพันที่ตัวเองอยากจะสัมผัสมัน
สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดคือปากกา แม้แต่หมึกก็ไม่ต้องเปลี่ยน ราวกับว่ามันเขียนต่อไปได้ไม่รู้จบ หมึกในที่นี้ใช้ได้ตลอดไม่มีวันหมด
ตรงกันข้ามกับฝ่ามือที่จับปากกาแน่นจนเส้นเลือดเริ่มปูดโปนออกมา แสดงให้เห็นถึงสภาวะที่นางพยาบาลฝึกหัดชอบมากที่สุด
‘ฮู่ว…’
เมื่อถึงกลางดึก ในที่สุดก็คัดลอกเรื่องราวสยองขวัญ ‘ฉันรักครอบครัวของฉัน’ ที่หน้าปกเป็นตัวหนังสือสีเลือดเล่มนี้จบแล้ว เขาเอนหลังและบิดขี้เกียจ รู้สึกได้ถึงความคมชัดของเสียงกระดูกข้อต่อของเขาที่ดังลั่นออกมา ราวกับว่าไม่รู้สึกถึงความอ่อนล้าทางร่างกาย แต่ทางด้านจิตใจกลับรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
‘แอ๊ด!’
ประตูห้องถูกผลักออก เผยให้เห็นหัวสุนัขตัวใหญ่ มันคือสุนัขพันธุ์อลาสกัน แต่ในบ้านไม่ได้เลี้ยงสุนัขนี่นา
จำได้ว่าตอนที่เพิ่งแต่งงานในตอนนั้น เขากับภรรยาได้เลี้ยงสุนัขอลาสกันตัวน้อยหนึ่งตัว แต่ภายหลังเป็นเพราะภรรยาตั้งครรภ์จึงมอบสุนัขตัวนั้นให้คนอื่นไป
พอหลังจากลูกทั้งสองคนโตขึ้น เพราะสาเหตุที่นิสัยของภรรยาเปลี่ยนไปจึงไม่มีแรงจูงใจหยิบยกเรื่องการเลี้ยงสุนัขขึ้นมาเอ่ยอีก เพราะสุนัขหนึ่งตัวก็คือหนึ่งชีวิต คุณซื้อมันกลับมาเลี้ยงที่บ้าน การดูแลเรื่องกินดื่มขับถ่ายไม่น้อยไปกว่าการดูแลเด็กเลย
แต่ภายในใจของภรรยาก็ยังชอบสุนัขอยู่ดี ในหนังสือเล่มนี้ที่เขาเพิ่งคัดลอกเสร็จ ในเรื่องมีสุนัขอยู่หนึ่งตัว เป็นสุนัขอลาสกันโตเต็มวัย มันชอบกินไส้กรอกแฮม มันฉลาดมาก นั่งลงก็เป็น ขอมือก็ได้ แถมยังสามารถพาเด็กๆ ไปเดินเล่นอีกด้วย
เจ้าอลาสกันเดินเข้ามา วางหัวของมันแนบชิดกับเข่าของเขาและถูเบาๆ เขาเอื้อมมือไปลูบหัวสุนัข จากนั้นค่อยๆ ลุกขึ้น แต่สุนัขกลับขวางเขาเอาไว้ ไม่ให้เขาออกไป มันแหงนหน้ามองเขา น้ำลายไหลออกจากปาก มันหิวและขออาหาร
ในนวนิยายของภรรยา สุนัขตัวนี้น่ารักมาก ฉลาดและเชื่อฟังมาก มันชอบกินไส้กรอกแฮม แต่สิ่งที่ต้องกินทุกวันจริงๆ ไม่ใช่ไส้กรอกแฮมหรืออาหารสุนัข แต่เป็นเลือดสดๆ ของคนเป็นๆ
ตามเนื้อเรื่อง ในทุกๆ คืนมันจะหายออกไปช่วงหนึ่ง เพื่อล่าหาอาหาร มันจะออกไปกัดคน หลังจากดูดเลือดสดๆ แล้วค่อยกลับมา คนที่ถูกดูดเลือดจะรู้สึกมึนงงชั่วขณะ สติไม่ครบถ้วน จะได้ไม่เกิดปัญหาอื่นๆ หรือแม้กระทั่งไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่าเพิ่งเกิดอะไรขึ้น
ปริมาณเลือดที่มันดูดออกไป จริงๆ แล้วมันคือบาปกรรมบนตัวเป้าหมาย หากก่อกรรมทำเข็ญไว้น้อย คนที่ทำเรื่องชั่วน้อยก็ถูกดูดกินเล็กน้อย หากเป็นคนชั่วก่อกรรมทำเข็ญมาก อาจจะถูกดูดกินเลือดจนตายได้ แน่นอนว่าถ้าเป็นคนดีละก็ มันก็จะไม่ไปหาคุณ
จำได้ว่าตอนนั้นภรรยาเคยพูดไว้ เจ้าอลาสกันในต้นฉบับของเธอไม่ได้ออกแบบให้เป็นแบบนี้ เธออยากเขียนถึงสุนัขที่หิวโหยแล้วออกไปดูดกินเลือดคนโดยที่เทพไม่รู้ผีไม่เห็น อยู่ข้างนอกมันเป็นปีศาจร้าย แต่เมื่ออยู่ในบ้านเป็นสัตว์เลี้ยงแสนเชื่อง และเป็นเพื่อนที่ดีของเด็กๆ
นี่มันถึงจะเป็นความรู้สึกที่เธออยากให้เป็น แต่ด้วยเหตุผลด้านนโยบายการเผยแพร่และการหลีกเลี่ยงจึงต้องแก้ไขเป็นแบบนี้
“หิวหรือยัง”
เขาใช้ปากกาแทงฝ่ามือของตัวเอง แล้วมองเลือดที่ไหลหยดลงมา แต่เจ้าอลาสกันแค่ส่ายหน้า ไม่สนใจเลือดของเขา
“ถ้าหิวแล้ว ก็ออกไปหาอะไรกินเถอะ”
เขาเอื้อมมือไปปลดสายจูงที่คอของเจ้าอลาสกัน เจ้าอลาสกันกระดิกหางอย่างมีความสุขและวิ่งออกไป
เขาสูดหายใจลึกๆ แล้วเดินออกจากห้องหนังสือ เป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้วที่เขาไม่ได้ลงไปข้างล่างเลย แถมยังไม่กล้าลงไปข้างล่างด้วย แม้ว่าจะมองเห็นสุนัขก็ตาม
เขายืนลังเลและเป็นกังวลอยู่ตรงบันไดนานมาก จนแล้วจนรอดก็ไม่กล้าก้าวลงบันไดขั้นแรกอยู่ดี จนกระทั่ง เขาได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของเด็กๆ ดังมาจากข้างล่าง
“ฮ่าๆๆ…พี่ชาย…หนูอยากกิน…หนูก็อยากกินด้วย…”
“ไม่ให้ๆ…แม่บอกว่ากินลูกอมเยอะแล้วฟันจะผุเอานะ…น้องห้ามกิน…พี่จะกิน…และฟันผุแทนน้องเอง…”
“พี่ชายใจร้าย…แม่คะ…พี่ชายใจร้ายมาก…”
พวกเด็กๆ วิ่งไล่กันอยู่ข้างล่าง แม้ว่าเขาและภรรยามักจะดุลูกชายอยู่บ่อยๆ ว่าต้องดูแลน้องสาว แต่ตอนนี้พี่ชายที่ยังเด็กอยู่กลับจงใจแกล้งน้องสาวของตัวเองอยู่บ่อยๆ
ฉับพลันนั้นความกล้าผุดขึ้นในใจ เขาเดินลงไปชั้นล่าง
เด็กๆ วิ่งไล่จับเสียงดัง น้องสาวไล่ตามพี่ชายไม่ทัน ยืนโมโหอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นเขาลงมาก็รีบวิ่งมาข้างๆ เขา แล้วกอดต้นขาของเขาพลางตะโกนว่า “พ่อคะ พี่ชายใจร้าย ตีตูดพี่ชายเลยนะ!”
เขาเอื้อมมือไปลูบหัวลูกสาว ทันใดนั้นเขาก็เริ่มรู้สึกแสบจมูกขึ้นมาและอยากจะร้องไห้มาก
“ผมไม่ได้ทำนะ ผมไม่ได้ทำ พ่อครับ อย่าไปฟังน้องพูดจาเลอะเทอะ น้องกินลูกอมของตัวเองหมดแล้ว แล้วยังอยากกินของผมด้วย” พี่ชายรีบวิ่งเข้ามาอธิบาย
ทั้งลูกชายและลูกสาวต่างก็มารวมตัวกันข้างๆ เขา พวกเขากำลังทะเลาะกัน พวกเขาแย่งกันฟ้องอยู่รอบๆ ตัวเขา ความรู้สึกแบบนี้ไม่น่ารำคาญเลยสักนิด ตรงกันข้ามมันกลับให้ความรู้สึกที่สวยงามมาก
‘ครืด!’
ภรรยาผลักประตูห้องครัว เธอสวมผ้ากันเปื้อนเดินออกมาจากข้างใน ยืนพิงขอบประตูและบ่นด้วยความไม่พอใจ
“วันนี้คุณน้าขอลากลับบ้านน่ะ ฉันทำกับข้าวง่ายๆ คุณก็กินง่ายๆ แล้วกันนะคะ ภรรยาของคุณทำกับข้าวไม่เป็น เรื่องนี้คุณน่าจะรู้ตั้งแต่จีบฉันแล้วนี่”
“กินหมดเกลี้ยงแน่นอน” เขาพูดอย่างตื่นเต้น
ภรรยายิ้มและพูดเร่งเร้า “พาลูกๆ ไปล้างมือแล้วเตรียมกินข้าวค่ะ”
เขาพาเด็กๆ เข้าไปล้างมือในห้องน้ำ ทั้งสองคนเป็นเด็กดีมาก บีบสบู่และถูตรงมือเล็กๆ ของตัวเองอย่างตั้งอกตั้งใจ
เขาหันหน้ามองตัวเองในกระจก ใบหน้าซูบตอบ ผอมแห้งมาก สีหน้าซีดเซียว แทบไม่มีสีเลือดฝาดเลย
น่าจะเหนื่อยเกินไปละมั้ง ช่วงนี้งานยุ่งจนไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้จริงๆ ดูเหมือนว่าต้องพักผ่อนให้มากขึ้นหน่อยแล้ว
หลังจากพาเด็กๆ ออกมา ภรรยาของเขาก็วางชามและตะเกียบไว้บนโต๊ะอาหารในห้องนั่งเล่นเรียบร้อยแล้ว ทุกคนนั่งลงประจำที่
“เจ้าไข่แดงยังไม่กลับมาเหรอคะ” ลูกสาวถาม
ไข่แดงเป็นชื่อของสุนัขอลาสกันตัวนั้น
“หนูต้องกินข้าว เจ้าไข่แดงก็ต้องกินข้าวเหมือนกันจ้ะ มันหาอะไรกินข้างนอกบ้านนู่นน่ะ” ภรรยาพูด
ลูกสาวพยักหน้า “หวังว่าวันนี้เจ้าไข่แดงจะกินจนอิ่มแปล้ คืนนี้จะได้มาเล่นกับหนู”
“หนูก็ต้องกินให้อิ่มๆ จะได้มีแรงเล่นกับเจ้าไข่แดงนะ”
เขากินข้าวไปหนึ่งคำ ข้าวหุงนิ่มไปนิด เติมน้ำเยอะไปหน่อย แต่เขากลับรู้สึกว่ามันอร่อยมาก หอมหวานมาก
เขาลุกขึ้นยืน หยิบรีโมตบนโต๊ะรับแขกแล้วเปิดโทรทัศน์ ในโทรทัศน์กำลังฉายข่าวสดทงเฉิง
“สถานีของเราเพิ่งได้รับรายงานข่าวว่า เมื่อช่วงเย็นมีผู้หญิงคนหนึ่งถูกสุนัขตัวใหญ่กัดตายตรงหน้าทางเข้าประตูธนาคารที่ถนนเจี้ยนเซ่อทางตะวันตกเขตฉงชวน ตอนนี้สุนัขตัวใหญ่อันตรธานหายไปแล้ว
ปัญหาพาสุนัขเดินเล่นโดยไม่ใส่สายจูงในเมืองเริ่มร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ สถานีของเราวอนขอต่อสังคมให้คนเลี้ยงสุนัขเลี้ยงสุนัขอย่างมีอารยธรรม ไม่สร้างความเดือดร้อนและทำร้ายผู้อื่น พวกเราหวังว่าโศกนาฏกรรมแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก
ในขณะเดียวกันก็หวังว่าเทศบาลจะเสริมสร้างการจัดการและการกำกับดูแลในด้านนี้อย่างแข็งขัน และปรับปรุงกฎระเบียบการจัดการสัตว์เลี้ยงในเมืองให้ดีขึ้น
จากการรายงานมีสิ่งที่น่าสังเกตว่า ผู้หญิงที่ถูกกัดตายเป็นพี่เลี้ยงเด็กในบ้าน อายุสี่สิบปี ไม่ใช่ชาวทงเฉิง ตำรวจตรวจสอบข้อมูลในบัตรประจำตัวของเธอ และพบว่าไม่สอดคล้องกับตัวจริง
แต่ปัจจุบันรู้ตัวตนที่แท้จริงของหญิงสาวและได้รับการยืนยันแล้ว ภายใต้ชื่อของเธอมีประวัติหนี้ก้อนโตมากมาย เป็นคดีหลบหนีหนี้และแอบอ้างใช้บัตรประชาชนของคนอื่นเพื่อลงทะเบียนกับบริษัทจัดหางาน
ก่อนเกิดเรื่อง เธอเพิ่งเลิกงานกลับมาจากบ้านพักระดับไฮเอนด์ที่เธอทำงานอยู่…”
…………………………………….………………