ตอนที่ 360 จุดเปลี่ยน!
‘ตึก…’ เมื่อเปิดโคมไฟ จางเยี่ยนเฟิงนั่งลงบนโต๊ะสอบสวน ฉากที่คุ้นเคย จังหวะที่คุ้นชิน บทเกริ่นนำที่ได้ยินเป็นประจำ แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตร
เหล่าจางหรี่ตามองตำรวจสองคนที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะตัวเอง รวมทั้งกล้องที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้อง เขารู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง และในความเป็นจริง ตลอดเวลาสี่สิบแปดชั่วโมง เขาอยู่ในบรรยากาศที่ยากแก่การเข้าใจ
อ้อ ฉันฟื้นแล้ว อ้อ ฉันตายแล้ว อ้อ ฉันมีชีวิตแล้ว อ้อ ฉันได้เป็นยมทูต อ้อ ฉันไปดื่มเหล้า อ้อ ที่แท้ฉันก็เป็นผู้ร้ายคนหนึ่ง เหล่าจางมีคำพูดจังไรนับหมื่นประโยคที่พรั่งพรูออกมาจากใจ
เขาเกิดในครอบครัวตำรวจ และตัวเองก็เป็นตำรวจเก่าคนหนึ่ง มีอะไรบ้างที่ไม่เคยเจอ แต่เขารู้สึกมหัศจรรย์อย่างยิ่งกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองตลอดสี่สิบแปดชั่วโมงนี้! บทภาพยนตร์ก็ยังไม่กล้าเขียนแบบนี้ใช่ไหม
“ชื่อแซ่” เพื่อนตำรวจถาม
จางเยี่ยนเฟิงมองตำรวจสองคนที่อยู่ตรงหน้า มองชุดเครื่องแบบของพวกเขา มองตราสัญลักษณ์ที่หน้าอกของพวกเขา ชั่วเวลาเดียวเขากลับเม้มปากด้วยความอาลัยอาวรณ์อย่างไม่น่าเชื่อ
“ชื่อแซ่!” ตำรวจตบโต๊ะถาม
เสี่ยวซุน เสี่ยวหลี่ พวกแกกล้าตะคอกใส่ฉันเหรอ ตอนแรกพวกแกเข้ามาในทีมตำรวจเป็นลูกน้องใคร! ใครเป็นคนพาพวกแกไขคดี จางเยี่ยนเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพ่นออกมาอย่างแรง จากนั้นหลับตาลงอย่างช้าๆ
ที่น่าลำบากใจก็คือ จางเยี่ยนเฟิงไม่ได้ถามโจวเจ๋อว่าตัวเองชื่ออะไร และเรื่องจริงนั้น ถึงแม้จางเยี่ยนเฟิงจะถาม เถ้าแก่โจวก็ไม่รู้หรอกว่าเขาชื่ออะไร
แต่การตอบสนองของเขาเช่นนี้ ในสายตาของเพื่อนตำรวจในห้องสอบสวน คือจงใจไม่พูดความจริง ปฏิเสธการให้ความร่วมมือ!
“ถ้าสารภาพก็จะได้ลดโทษ ผ่อนหนักให้เป็นเบา! อู๋จิ่งเจ๋อ ผมจะบอกคุณให้นะ พวกเรามีหลักฐานความผิดของคุณอยู่ในมือหมดแล้ว คุณต้องสารภาพในสิ่งที่คุณรู้ออกมาทั้งหมด ถึงจะได้รับการลดโทษจากรัฐบาลและประชาชน!”
จางเยี่ยนเฟิงพยักหน้า
“ชื่อแซ่!” เพื่อนตำรวจคนนี้ถามอีกครั้ง
“อู๋จิ่งเจ๋อ” จางเยี่ยนเฟิงตอบ ในที่สุดก็รู้ชื่อของตัวเองเสียที
“เพศ”
“…” จางเยี่ยนเฟิง
จางเยี่ยนเฟิงตอนนี้พลันรู้สึกว่า เมื่อก่อนตอนที่ตัวเองใช้ขั้นตอนเหล่านี้สอบสวนผู้ร้าย ทำไมเขาไม่รู้สึกว่าเป็นคำถามที่ตลกล่ะ
“เพศ”
“ชาย”
“อายุ”
อายุ? ฉันอายุเท่าไร
“สี่สิบหก” จางเยี่ยนเฟิงบอกอายุของตัวเองในชาติที่แล้วออกมา
“บ้านแกสิ ปีนี้แกเพิ่งอายุสามสิบสามปี!” ตำรวจที่อยู่ข้างๆ อีกคนหนึ่งยื่นมือสะกิดเพื่อนร่วมงานของตัวเองเพื่อบอกให้เขาระวังคำพูด
เขาสามสิบสามปีเหรอ ยังหนุ่มอยู่เลย ต่อจากนี้ก็คือให้จางเยี่ยนเฟิงสารภาพความผิดที่ผ่านมาของตัวเอง จางเยี่ยนเฟิงจะไปรู้ความผิดของตัวเองได้อย่างไร แต่การถามตอบเช่นนี้กลับทำให้เข้าใจได้บางส่วนว่า ไอ้หมอนี่ที่ตัวเองมาสิงร่าง แม่งกลับเป็นพ่อค้ายาเสพติดรายเล็กคนหนึ่ง ไม่ได้เป็นผู้ค้ายาตัวเอ้แบบนั้น แต่แบ่งขายรายเล็กในตลาดใต้ดิน
การสอบสวนใช้เวลานานมาก ประเด็นสำคัญที่สุดคือในสายตาของเพื่อนตำรวจ จางเยี่ยนเฟิงปฏิเสธการให้ความร่วมมือ ปากแข็ง จากนั้นจางเยี่ยนเฟิงจึงถูกจับเข้าห้องขัง
เขามองกรงขังที่อยู่ตรงหน้าตัวเอง จางเยี่ยนเฟิงรู้สึกเหม่อเล็กน้อย โชคชะตาของคนเราช่างมหัศจรรย์แบบนี้เองเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เขายังเป็นฮีโร่ในวงการตำรวจ สัปดาห์ต่อมาเขากลายเป็นผู้ร้าย
จางเยี่ยนเฟิงลูบศีรษะ อยากได้บุหรี่สักมวนแต่ไม่มี เขาจำได้ว่าในกระเป๋าของเจ้าลิงดูเหมือนจะมีบุหรี่ แต่หลังจากที่เขาโดนตำรวจบุกเข้าจับในร้านเหล้า ก็ไม่เห็นเจ้าลิงแล้ว
เขาไม่คาดหวังให้โจวเจ๋อมาช่วยตัวเอง และได้แต่ตกอยู่ในความเคว้งคว้างเลือนราง
ทันใดนั้นจางเยี่ยนเฟิงรู้สึกว่า หากตัวเองลงนรกตอนนี้น่าจะดีกว่าต้องมาเจอเรื่องพวกนี้ใช่ไหม แน่นอนว่าเขาไม่ได้ตำหนิติโทษโจวเจ๋อ เพราะอีกฝ่ายอยากให้ตัวเขาฟื้นขึ้นมาก็ไม่ง่าย และตัวเขาเองก็ไม่ใช่คนโหดเหี้ยมเยี่ยงสุนัขและหมาป่า
สถานีตำรวจมีโทรทัศน์ติดผนังเครื่องหนึ่ง ปกติจะเปิดให้ดูข่าวหรือรายการจำพวกส่งเสริมการศึกษา รายการบันเทิงเหรออย่าไปคิด และในสถานีตำรวจคงไม่ให้คุณดู ‘Friends เรารักกันฉันเพื่อน’ หรือ ‘อพาร์ตเมนต์แห่งรัก’ หรอก
ทว่าภาพที่กำลังออกอากาศอยู่ในโทรทัศน์ได้ดึงดูดสายตาของเหล่าจาง ในนั้นมีสารคดีเรื่องหนึ่ง และตัวเอกของเรื่องก็คือตัวของเขาเอง นอกจากนี้ยังมีโลโก้ของสถานีโทรทัศน์ซีซีทีวีติดอยู่บนนั้นด้วย ซึ่งหมายความว่านี่คือสารคดีที่ถ่ายทำโดยสถานีโทรทัศน์ซีซีทีวี ในนั้นได้บรรยายถึงตำรวจคนหนึ่ง เป็นเรื่องราวที่น่าประทับใจมาก เพื่อช่วยเหลือเด็กนักเรียนและคุณครูในโรงเรียนอนุบาล เขาลุยเดี่ยวต่อสู้กับคนร้ายสุดท้ายต้องพลีชีพตัวเองเพื่อช่วยเหลือตัวประกัน
นอกจากนี้ยังมีการแคปภาพหน้าจอการแสดงความคิดเห็นของชาวเน็ตจากเวยป๋อ ได้ยินว่าเมื่อสองสามวันก่อนเวยป๋อของ ‘ทงเฉิงสงบสุข’ ได้โพสต์เกี่ยวกับตัวเขาที่สละชีวิตรวมทั้งรายงานเหตุการณ์เข้าช่วยชีวิตตัวประกัน ผลปรากฏว่าได้รับการแชร์หลายแสนครั้ง เบียดพวกดาราวัยรุ่นที่โพสต์ว่าตัดเล็บวันนี้หรือสุนัขที่บ้านหายให้ตกอันดับไป กลายเป็นพาดหัวข่าวดังติดต่อกันสองสามวัน
การถ่ายทำสารคดีทำได้ดีและน่าซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ตัวของจางเยี่ยนเฟิงที่ได้ดูก็ยังรู้สึกประทับใจไปด้วย ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ยิ่งใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ
เขารู้สึกว่าเป็นหลักการเดียวกันกับการวิเคราะห์สิ่งที่ผู้แต่งบทกวีโบราณในหนังสือเรียนภาษาจีนชั้นมัธยมต้นต้องการสื่ออารมณ์และความคิดออกมา ถ้าหากผู้แต่งเหล่านั้นได้มาเห็นพวกครูสอนภาษาจีนกำลังวิเคราะห์สิ่งเหล่านี้อย่างขะมักเขม้นก็คงตกอยู่ในภวังค์ความคิดเหมือนกัน แม่งเอ๊ย ตอนที่ฉันแต่งบทกลอนนี้ได้แฝงความหมายที่ซับซ้อนยิ่งใหญ่ไว้ขนาดนี้เชียวเหรอ ทั้งๆ ที่ฉันแค่อยากจะเขียนถึงต้นไม้ภูเขาดอกไม้ใบหญ้าเท่านั้น แต่พวกคุณกลับมองว่าฉันรักชาติรักประชาชนหรือหดหู่รู้สึกไม่สมความปรารถนาได้อย่างไร
เขาเงยหน้าดูสารคดีนี้มาครึ่งชั่วโมงแล้ว สถานีโทรทัศน์ซีซีทีวีได้ปล่อยภาพที่ผ่านการตัดต่อมาแล้ว ออกอากาศเพียงห้านาทีเท่านั้น แต่ตอนที่ออกอากาศในสถานีข่าวท้องถิ่นโดยเฉพาะในสถานีตำรวจ จะต้องออกอากาศฉบับเต็มแน่นอน
เมื่อนานมาแล้วก่อนหน้านี้ นักพรตเฒ่าเคยพูดว่า อิจฉาที่โจวเจ๋อสามารถตามหาศัตรูที่ขโมยอัฐิของตัวเองได้ เพราะคนทั่วไปไม่มีโอกาสแบบนี้จริงๆ คุณกลายเป็นเถ้ากระดูกไปแล้ว จะไปตามหาศัตรูได้อย่างไร
ครั้งนี้เหล่าจางดูสารคดีของตัวเอง ดูวิดีโอไว้อาลัย ชั่วเวลาหนึ่งความรู้สึกทอดถอนใจพรั่งพรูออกมามากมาย คนทั่วไปคงไม่มีโอกาสได้เห็นวิดีโอการไว้อาลัยของตัวเองใช่ไหมล่ะ ปมที่ติดอยู่ในใจได้หายไปพอสมควรโดยเฉพาะตอนที่เห็นพวกคุณครูและนักเรียนมอบดอกไม้ร่วมไว้อาลัยเขา ดวงตาของเหล่าจางน้ำตาซึมเล็กน้อย
เขาจริงๆ แล้วเป็นคนที่เรียบง่ายมาก และเป็นคนธรรมดามากคนหนึ่ง เขาแค่รักในงานของตัวเอง และทุ่มเททำงานของตัวเองให้เสร็จสิ้น
ถ้าหากความลำบากและปัญหาที่ตัวเองเผชิญอยู่ในตอนนี้ เป็นค่าตอบแทนที่ต้องแลกเพื่อช่วยเหลือเด็กน่ารักพวกนี้ละก็ เขาจางเยี่ยนเฟิงไม่เสียใจ!
เมื่อถึงเวลากินข้าว ตำรวจผู้คุมห้องขังนำข้าวมาส่ง จางเยี่ยนเฟิงหยิบกล่องข้าวขึ้นมา เขากินแล้วดูการออกอากาศซ้ำของสารคดีไปด้วย
หลังจากเขากินไปได้สองสามคำ เขาได้คายออกมาทันที เขารู้สึกสะอิดสะเอียดกินไม่ลง กินไม่ได้! เหมือนตอนที่เขากินถั่วลิสงในร้านเหล้า เขาจึงได้แต่เคี้ยวเล็กน้อยเพื่อสัมผัสกลิ่นหอมของมัน จากนั้นจึงคายออกมาเพราะกลืนลงไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิง
“เหอะ” ตำรวจที่เฝ้าห้องขังเห็นฉากนี้แล้วจึงทำเสียงฮึดฮัดดูถูกออกมา เป็นพ่อค้ายาหาเงินได้เยอะใช่ไหม ใช้ชีวิตอิสระมากใช่ไหม ถึงกินข้าวกล่องไม่ลง กระแดะจริงๆ นะแก ข้าวในคุกกินยากกว่านี้อีก
จางเยี่ยนเฟิงวางกล่องข้าวลงแล้วพิงกรงขัง เขาหิวมากแต่กลับกินไม่ลง ความรู้สึกแบบนี้ทำให้เขาทรมานไม่สบายใจอยู่บ้าง และเวลานี้จางเยี่ยนเฟิงไม่รู้ว่า โจวเจ๋อกับทนายอันได้อยู่ด้านนอกสถานีตำรวจแล้ว
…
“คิดดีแล้วนะว่าจะปล้นคุก” ทนายอันถาม “ถึงแม้คุณจะเป็นยมทูต แต่ก็เป็นคนที่อยู่ในโลกหลังความตาย ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกลไกของโลกมนุษย์โดยเฉพาะการบุกเขาไปต่อสู้ซึ่งๆ หน้าแบบนี้”
เมื่อก่อนโจวเจ๋อเคยเข้าสถานีตำรวจสองสามครั้ง แต่เต็มไปด้วยความสงบ ไม่กล้าทำตัวกำเริบเสิบสาน เพราะเวลาที่เข้าใกล้ที่นี่ หลังจากเข้าไปอยู่ใกล้ตราแผ่นดินแล้ว ในฐานะที่เป็นสิ่งอัปมงคล คุณจะสามารถสัมผัสได้ถึงความกดดันบางอย่าง แต่ตอนนี้โจวเจ๋อรู้สึกว่าตัวเองต้องลองเอาหัวชนฝาสักครั้ง ไม่มีทางอื่นแล้ว เขาต้องลุยอย่างเดียว
เขาลำบากมากมายขนาดนี้เพื่อทำให้เหล่าจางฟื้นขึ้นมา ถ้าหากฟื้นมาแล้วต้องให้เหล่าจางไปรับโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือไม่ก็กินลูกปืน อย่างนั้นเขาได้ช่วยเหล่าจางหรือทำร้ายเหล่าจางกันแน่
ทนายอันลูบปลายจมูกของตัวเอง อันที่จริงปัญหานี้เขาก็มีส่วนครึ่งหนึ่ง ตอนนั้นดูเหมือนเขาจะใส่ใจเรื่องนี้ แต่ในความเป็นจริงก็ไม่ได้ใส่ใจมากเท่าไร ไม่อย่างนั้นคงไม่หาร่างของนักโทษมาใช้งาน
“รออีกสักพัก ผมจะรับผิดชอบอำพรางตา คุณรับผิดชอบไขกุญแจ พยายามอย่าทำร้ายใคร หลังจากช่วยออกมาแล้วก็เอาเงินกระดาษออกมาเผาเยอะหน่อย น่าจะไม่มีปัญญาใหญ่มาก ไม่ว่ายังไงผู้ร้ายคนนั้นก็ตายไปแล้ว เหล่าจางกลายเป็นวิญญาณผู้กล้า จึงไม่มีความผิด” ทนายอันพูดโดยไม่รู้ว่าเขากำลังปลอบใจตัวเองหรือเปล่า
โจวเจ๋อพยักหน้า และรอให้ถึงเวลาค่ำ
…
ไม่ช้าความมืดก็มาเยือน เหล่าจางอยากจะนอนหลับเสียหน่อย แต่ไม่ว่าจะนอนอย่างไรก็นอนไม่หลับ ทั้งๆ ที่เขาง่วงมาก ทั้งๆ ที่เขาเหน็ดเหนื่อยมาก ทั้งๆ ที่เขาอิดโรยมาก แต่กลับนอนไม่หลับ น่าแปลก กินข้าวไม่ได้ก็ยังพอไหว แต่แม้แต่นอนหลับก็นอนไม่ได้เนี่ยนะ
เวลานี้เสียงฝีเท้าเร่งรีบดังเข้ามาจากด้านนอก ไม่ช้าเสียงฝีเท้าก็มาถึงหน้าประตูห้องขังของตัวเอง จางเยี่ยนเฟิงลืมตา สิ่งที่เข้าตาคือชายชราในชุดตำรวจคนหนึ่ง ชายชราผมสีเทาเงินทั้งศีรษะ ด้านข้างยังมีตำรวจวัยกลางคนอีกสองคน
“เปิดประตู รีบเปิดประตู!!!” ชายชราตะโกน
จางเยี่ยนเฟิงตกตะลึง ดูเหมือนเขาจะเคยเจอชายชราคนนี้ เขาน่าจะเป็นหัวหน้าของสถานีตำรวจเมืองข้างๆ ที่ไหนสักแห่ง เมื่อก่อนเขาเคยเจอเวลาประชุมใหญ่ ทุกคนเคยดื่มชนแก้วกันในงานเลี้ยงฉลองทีมตำรวจอาชญากรรมที่จัดโดยสถานีตำรวจสองสามแห่ง มีตำรวจสูงอายุคนหนึ่งเดินตามหลังชายชรามาทันที เขาเป็นหัวหน้าของสถานีตำรวจทงเฉิง เป็นคนสนิทมักคุ้นของเหล่าจาง!
เมื่อเปิดประตูแล้ว ตำรวจชรารีบวิ่งเข้ามาทันที จับสองมือของจางเยี่ยนเฟิงอย่างแน่น น้ำตาร่วงเผาะมาพร้อมกับน้ำเสียงสะอื้นไห้ “เสี่ยวอู๋ คุณยังไม่ตาย คุณยังมีชีวิตอยู่!!!” ตำรวจชราร้องไห้พร้อมกับกอดจางเยี่ยนเฟิงเอาไว้แน่น
จางเยี่ยนเฟิงทำสีหน้ามึนงง
“พวกเราคิดว่าคุณพลีชีพแล้ว เพราะหลังจากที่คุณส่งข่าวการทำผิดของกลุ่มอาชญากรมาให้ พวกเราจึงบุกเข้าจับได้สำเร็จ แต่นักโทษที่โดนจับกลับบอกว่าคุณถูกพวกเขาฆ่าตายแล้ว พวกเราหาศพของคุณไม่เจอ จึงกังวลว่าคุณยังแอบซ่อนตัวอยู่ และอาจจะอยู่กับนักโทษที่หนีรอดไปได้ ดังนั้นพวกเราจึงไม่กล้ายืนยันตัวตนของคุณ และไม่กล้ารายงานเรื่องที่คุณเป็นสายลับ ตอนนี้โอเคแล้ว คุณยังมีชีวิตอยู่ คุณยังไม่ตายจริงๆ เสี่ยวอู๋!!!” ตำรวจชราตบหลังของจางเยี่ยนเฟิงอย่างแรง
“ผมกับพ่อของคุณเป็นสหายร่วมรบมาด้วยกัน ผมกลัวจริงๆ กลัวว่าคุณจะตายจากภารกิจในครั้งนี้ ถึงตอนนั้นผมลงนรกแล้วจะบอกกับพ่อของคุณยังไง!”
เหล่าจางอ้าปากค้าง ความตื่นเต้นดีใจบุกโจมตีเข้ามา ฉันเป็นสายลับ ฉันยังเป็นตำรวจ!
…………………………………………………………………………