ตอนที่ 361 ศิลปะ
จางเยี่ยนเฟิงผลักประตูร้านหนังสือเดินเข้ามา เขาไม่ได้ปิดประตู ถึงอย่างไรตอนนี้ก็เป็นเวลาเปิดร้านแล้ว
สาวน้อยโลลินั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ ถือช้อนอยู่ในมือกำลังกดลิ้นของตัวเองไปมา เธอเล่นกับลิ้นพร้อมกับครุ่นคิดไปด้วย เมื่อก่อนเธอเคยพูดกับโจวเจ๋อว่า ยมทูตไม่สามารถฝึกวิชาได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าความสามารถของตัวเองจะไม่ได้รับการพัฒนาและค้นพบสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านี้ ด้วยเหตุนี้ เธอจึงอยากสัมผัสด้วยตัวเอง
เมืองหรงเฉิงเมื่อครึ่งปีก่อน เดิมทีพวกเขากลุ่มยมทูตไล่ล่าคนคนนั้นที่รีบหลบหนีไป แต่เวลาไม่ถึงเดือนเขากลับพาแมวขาวกลับมาต่อสู้ ฉากนั้นเธอยังจำได้จนถึงวันนี้
ดังนั้นสาวน้อยโลลิที่กำลังสู้กับลิ้นของตัวเองจึงไม่ได้สนใจว่าเหล่าจางกลับมาแล้ว แต่จิตสำนึกของเธอรู้แล้ว ทว่าพนักงานร้านหนังสือกลับมาไม่ใช่คนแปลกหน้าเสียหน่อย ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจ
นักพรตเฒ่านั่งอยู่บนโซฟา กำลังจับเข็มเย็บผ้าให้เจ้าลิง เนื่องจากเจ้าลิงซนมาก ชอบกระโดดไปทั่ว ดังนั้นเสื้อผ้าจึงพังเป็นรูหรือเสียง่าย หากสามารถซ่อมแซมได้นักพรตเฒ่าก็จะเย็บปะ
เมื่อก่อนนักพรตเฒ่ารู้จักสาวใหญ่คนหนึ่ง เปิดร้านทำผมในเขตกั่งจ๋าของทงเฉิง นักพรตเฒ่ามักจะแวะเวียนไปหาเป็นประจำ เธอมีความประณีต ช่วยเย็บชุดนักพรตให้นักพรตเฒ่าสองครั้ง
ลูกชายของเธอปัญญาอ่อนเล็กน้อย สามีของเธอก็ขี้เกียจสันหลังยาว ขี้เกียจทำไร่ทำนา เธอจึงไม่มีทางอื่น เพื่อปากท้องและหาเงินมาจุนเจือครอบครัว เธอจึงทำอาชีพนี้
ต่อมาสามีของเธอพาลูกชายของเธอลงไปอาบน้ำในแม่น้ำ แต่เจอกระแสน้ำขึ้นพอดีเป็นผลทำให้ทั้งสองคนจมน้ำตาย ตอนที่นักพรตเฒ่าไปหาสาวใหญ่คนนี้อีกครั้ง เพื่อนร่วมงานบอกว่าหลังจากที่สาวใหญ่คนนั้นรู้ข่าวก็ร้องไห้ทั้งคืน เช้าวันต่อมาจึงปิดร้านกลับบ้านแม่ของเธอ
เขาเย็บผ้าในมือพลางนึกถึงสาวใหญ่คนนั้น บางทีมันอาจจะเป็นวัยหนุ่มสาว บางทีมันอาจจะเป็นชีวิตของคนเรา
เขามีอายุเจ็ดสิบเอ็ดปีแล้ว ถึงแม้จะไม่มีลูกชายหรือลูกเขย แต่ความรู้สึกของการใช้ชีวิตของนักพรตเฒ่ากลับไม่เหี่ยวเฉา เขาไม่ชอบคนสวยเท่าไร และสิ่งที่เรียกว่าสาวน้อยขายบริการตามคลับ นักพรตเฒ่าก็ไม่เคยแตะต้อง
เขากลับชอบสาวใหญ่ที่ทำงานเงินเดือนน้อยมากกว่า ทุกคนพูดภาษาเดียวกัน เป็นคนเร่ร่อนเหมือนกัน ดังนั้นจึงช่วยปลอบใจซึ่งกันและกันได้
จางเยี่ยนเฟิงเดินมาอยู่ตรงหน้านักพรตเฒ่า เขาอยากถามนักพรตเฒ่าว่าตัวเองควรจะกินอะไร เพราะอาหารของคนทั่วไป เขากินไม่ได้
เขายังอยากถามนักพรตเฒ่าว่า เขาควรจะนอนที่ไหน เพราะเขาตระหนักได้ว่าตัวเองไม่สามารถนอนหลับได้เลยเขาปฏิเสธการร่วมงานเลี้ยง เพื่ออยากให้ตัวเองมีเวลาส่วนตัว หลังจากออกมาจากสถานีตำรวจแล้ว จึงบอกว่าอยากมาสูดอากาศ
หัวหน้าตำรวจเหล่านั้นก็เข้าใจ สร้างตัวตนปลอมแฝงเข้าไปอยู่ในแก๊งคนร้าย เท่ากับว่าต้องเผชิญกับชีวิตที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ตอนนี้หน้าที่สายลับสำเร็จและสิ้นสุดลงแล้ว เมื่อหลุดพ้นออกมากลับเคว้งคว้างเลือนรางอีกครั้ง นี่เป็นหลักการเดียวกันกับในสมัยราชวงศ์ชิงตอนต้นช่วงที่มีนโยบายไว้ผมไม่ไว้หัว คนกลุ่มหนึ่งต่อต้านอย่างเต็มที่เพื่อมวยผมของตัวเอง ตำรวจและทหารในยุคสาธารณรัฐจีนบังคับให้ตัดผมเปีย มีคนกลุ่มหนึ่งยังคงร้องไห้เอาศีรษะโขกพื้นเพื่อเรื่องนี้
เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ถูกกำหนดเป็นพิเศษเป็นเวลานาน มนุษย์เราจะเกิดความเคยชิน แน่นอนว่าเหล่าผู้นำของสถานีตำรวจก็คิดแบบนี้ แต่ในความเป็นจริง จางเยี่ยนเฟิงอย่างมากก็แค่อยากกลับมาถามรายละเอียดที่ร้านหนังสืออีกที และอยากมาหาโจวเจ๋อเพื่อแบ่งปันความดีใจในเวลานี้ของตัวเอง ฉันกลับมาเกิดอีกครั้งในร่างของตำรวจ เป็นข่าวดีที่หาไม่ได้อีกแล้ว
“นักพรตเฒ่า โจวเจ๋อล่ะ” จางเยี่ยนเฟิงถาม เขาเดิมทีอยากจะถามว่าเถ้าแก่ล่ะ แต่พอคิดอีกที ‘เถ้าแก่’ สองคำนี้ยังพูดไม่ออก อย่างไรก็ตามเขาไม่ค่อยชิน ถึงแม้คนอื่นในร้านหนังสือจะเรียกโจวเจ๋อว่า ‘เถ้าแก่’ แต่จางเยี่ยนเฟิงเป็นคนหน้าบาง
“อ้อ เขากับทนายอันไปที่สถานีตำรวจ” นักพรตเฒ่าตอบโดยไม่เงยหน้า
“ไปทำอะไรที่สถานีตำรวจ” จางเยี่ยนเฟิงถาม
“ไปช่วยเจ้าไง”
“ช่วยผม”
“ใช่แล้ว เจ้าโดนจับไม่ใช่เหรอ พวกเรากะว่าจะปล้นคุก…” เมื่อพูดถึงตรงนี้ นักพรตเฒ่าจึงเงยหน้าทันที มองจางเยี่ยนเฟิงที่อยู่ตรงหน้าจากนั้นร้องเสียงสูง “เฮ้ยยยย!!!!! เจ้ากลับมาได้ยังไง!!!”
“ผม…”
“รีบโทรหาเถ้าแก่เลย เร็วๆ!” นักพรตเฒ่าตะโกนบอกสาวน้อยโลลิที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์ แต่หารู้ไม่ว่าเสียงร้องนี้ของนักพรตเฒ่าได้ทำให้สาวน้อยโลลิที่กำลังตั้งใจฝึกลิ้นของตัวเองกับช้อนตัวสั่นทันที เพราะช้อนไหลลงคอ
สาวน้อยโลลิพยายามใช้มือข้างหนึ่งตบเคาน์เตอร์แล้วใช้มืออีกข้างหนึ่งดึงช้อนออกมา เธอหายใจไม่ออกจนหน้าแดงก่ำ
‘ปึก!’ สุดท้ายกว่าตัวเองจะดึงช้อนออกมาได้ไม่ง่ายเลยจริงๆ สาวน้อยโลลิมองนักพรตเฒ่าด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแล้วพูดเสียงทุ้มหนักว่า “อยากรีบไปเกิดใหม่ใช่ไหม!”
“…” นักพรตเฒ่า
ถึงแม้จะเห็นว่าสาวน้อยโลลิโกรธ แต่นักพรตเฒ่าก็ได้แต่หัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน รีบหยิบโทรศัพท์ของตัวเองแล้วโทรหาเถ้าแก่ เมื่อโทรติดเขาจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมด แล้วฝั่งนั้นก็วางสายไป
นักพรตเฒ่าถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก สงสัยพวกเถ้าแก่ยังไม่ได้เริ่มปล้นคุก ใช่แล้ว เถ้าแก่โจวกับทนายอันโดนถ่วงเวลาเพราะเรื่องอื่น ดูเหมือนว่าจะมีกิจกรรมบางอย่างจัดขึ้นตอนเย็นและสิ้นสุดลงในเวลากลางคืน สถานีตำรวจบริเวณใกล้เคียงจึงนำกำลังตำรวจเข้ามาไม่น้อย เป็นผลทำให้เวลาดึกแบบนี้มีรถวิ่งไปมาภายในสถานีตำรวจทงเฉิงตลอดเวลา และกำลังตำรวจก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
โจวเจ๋อกับทนายอันจึงได้แต่อดทนรอ การใช้วิชาอำพรางตาไม่ใช่ทนายอันคนเดียวที่ทำได้ โจวเจ๋อก็ทำได้เหมือนกัน แต่เรื่องนี้ต้องมีคนน้อยถึงจะปลอดภัย ถ้าหากเจอตำรวจเก่าที่มีพลังอำมหิตเยอะ อาจจะโดนจับได้ ถึงอย่างไรเถ้าแก่โจวกับทนายอันก็อยากจะปล้นคุกอย่างมีวัฒนธรรม หากกระทำการอย่างเงียบๆ ได้ทางที่ดีก็อย่าให้ใครรู้ ไม่เคยคิดที่จะสู้กับหน่วยงานที่ใช้ความรุนแรงของชาติแบบนี้
พวกเขารอไปเรื่อยๆ จากนั้นนักพรตเฒ่าก็โทรมาหา เมื่อได้ยินว่าจางเยี่ยนเฟิงกลับร้านหนังสืออย่างปลอดภัยแล้ว โจวเจ๋อกับอันปู้ฉี่สบตากัน แล้วจึงเห็นความโล่งใจของอีกฝ่าย
เมื่อกลับมาถึงร้านหนังสือก็เป็นเวลาตีสามตีสี่แล้ว จางเยี่ยนเฟิงนั่งอยู่บนโซฟา เขาหลับตา แต่เห็นได้ชัดว่านอนไม่หลับ
โจวเจ๋อเดินเข้ามา สั่งอิงอิงรินกาแฟให้ตัวเอง จากนั้นจึงนั่งลงตรงหน้าเหล่าจาง เหล่าจางลืมตามองโจวเจ๋อ จากนั้นจึงยิ้มขึ้นมา
“ผมเป็นสายลับ จริงๆ แล้วผมยังเป็นตำรวจอยู่”
“คุณยังเป็นตำรวจ”
“ใช่ แต่ไม่ใช่ทงเฉิง เป็นเมืองเหยียนเฉิงที่อยู่ข้างๆ ผมเป็นสายลับมาสามปีแล้ว”
“ยินดีด้วย” โจวเจ๋อมองไปทางทนายอันทันที “ดังนั้น ร่างที่คุณเก็บมาได้เป็นศพของตำรวจสายลับ พวกเขาไม่ได้ทะเลาะกันภายใน แต่จับได้ว่ามีสายลับ จึงถูกฆ่า”
ทนายอันยักไหล่ “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่คิดดูแล้วก็สนุกดี ตำรวจคนหนึ่งตาย ใช้วิชายืมศพคืนชีพกลับมาอยู่ในร่างของตำรวจอีกคน ถือว่าเป็นพรหมลิขิตอย่างหนึ่ง” ขณะที่พูด ทนายอันได้ตบไหล่ของเหล่าจาง “เกิดเป็นคนทั้งสองชาติ ล้วนเป็นตำรวจ อย่างนั้นคุณก็เป็นตำรวจของคุณต่อไปเถอะ”
“ผมจะลองทำเรื่องขอย้ายมาที่ทงเฉิง แต่ต้องใช้เวลาสักพักหนึ่ง” เหล่าจางพูด “และผมยังได้วันหยุดยาวช่วงหนึ่ง ดังนั้นช่วงนี้ผมจึงอยู่ที่ร้านหนังสือได้”
“อืม ลองปรับตัวกับการใช้ชีวิตก่อน คืนนี้จะให้ทนายอันสอนคุณทำสมาธิ คนที่พวกเรามาสิงร่างอยู่จะนอนไม่หลับ และยากที่จะยอมรับอาหารทั่วไปได้ ถ้าหากคุณไม่อยากโดนให้กลูโคสทุกวัน ก็สั่งเหล่าสวี่ทำน้ำบ๊วยให้คุณวันพรุ่งนี้ ดื่มน้ำบ๊วยหนึ่งคำใหญ่ก่อนกินข้าว จะช่วยยับยั้งอาการสะอิดสะเอียนเวลากลืนของลงไปได้”
เหล่าจางพยักหน้า ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้
“โอเค เรื่องในวันนี้ก็จบเพียงเท่านี้ ปิดร้านพักผ่อนได้” เถ้าแก่โจวหาวแล้วเตรียมไปอาบน้ำเข้านอน แต่ใครจะคิดว่าจะมีลูกค้าคนหนึ่งเข้ามาเวลานี้ แถมยังเป็นคนรู้จักอีกด้วย ลูกค้าคนนั้นก็คือจางเฟิง
เหล่าจางเห็นลูกชายของตัวเองเดินเข้ามา ก็นึกถึงชายชราคนเมื่อวาน เขาจึงรีบลุกขึ้นทันที
“ลูกชายของผม…ลูกชายของผม…”
โจวเจ๋อเหลือบตามองเขาหนึ่งที แล้วพูดปลอบใจว่า “ยังไม่ตาย ยังมีชีวิตอยู่”
เหล่าจางถอนหายใจอย่างโล่งอกเพราะวางใจแล้ว เมื่อครู่เขาเป็นห่วงว่าลูกชายของตัวเองจะมีอันเป็นไปต้องไปเกิดใหม่
“เถ้าแก่โจว อยู่ไหมครับ” จางเฟิงผลักประตูเข้ามาแล้วถาม
เขามาหาถึงที่จริงๆ โจวเจ๋อจำได้จางเฟิงเคยพูดว่า พ่อของเขาได้โทรหาเขาบอกว่ามีสมุดเล่มหนึ่งวางอยู่ในตู้เซฟในบ้าน
“นักพรตเฒ่า ต้อนรับแขก” โจวเจ๋อขี้เกียจสนใจพ่อหนุ่มคนนี้ จึงอาศัยจังหวะตอนที่อีกฝ่ายจำไม่ได้ว่าเขาเป็นหมอคนนั้นดอดหนีขึ้นไปชั้นบน
นักพรตเฒ่ารีบเดินเข้ามาเสิร์ฟน้ำชา ขณะเดียวกันได้อธิบายค่าใช้จ่ายขั้นต่ำสุดในร้านของตัวเอง สำหรับเรื่องนี้จางเฟิงไม่ได้ขี้เหนียว และยังจ่ายเงินก่อน
“เถ้าแก่ไม่อยู่ เจ้ามีธุระอะไร ก็พูดกับเขาได้” นักพรตเฒ่ายื่นมือไปที่จางเยี่ยนเฟิงที่นั่งอยู่ข้างๆ
จางเยี่ยนเฟิงจึงลุกขึ้นในตอนนี้แล้วนั่งลงตรงหน้าลูกชายของตัวเอง ทั้งสองคนนั่งด้วยความเก้ๆ กังๆ อยู่แบบนี้ เสี่ยวจางไม่พูด เหล่าจางก็ไม่พูดเหมือนกัน
เสี่ยวจางกังวลเกี่ยวกับการบรรยายถึงร้านหนังสือที่พ่อของตัวเองเขียนทิ้งไว้ในสมุด ตอนที่อ่านสมุดเล่มนั้น เขายังคิดว่าพ่อของตัวเองจะต้องดูภาพยนตร์ผีหรืออ่านนิยายอะไรมาจึงนึกสนุกอยากแต่งเรื่องเองบ้าง
แต่พอลองคิดอีกทีเขารู้สึกว่าเซลล์ความเป็นศิลปะของพ่อตัวเองน่าจะขี้เกียจทำเรื่องแบบนี้ ดังนั้นเขาจึงมาหาที่ร้านด้วยจิตใจที่กระสับกระส่าย
เหล่าจางไม่แน่ใจว่าตัวเองควรจะแสดงท่าทีกับลูกชายของตัวเองอย่างไร จะบอกความจริงกับเขาหรือปิดบังต่อไป เรื่องนี้เขายังไม่ทันถามโจวเจ๋อ โจวเจ๋อก็เดินหนีไปแล้ว
คนแซ่จางทั้งสองคนต่างจ้องมองกันและกัน มองไปมองมา ดวงตาของเหล่าจางมีน้ำตาซึม เขายื่นมือเช็ดน้ำตาแต่ยิ่งเช็ดกลับยิ่งเยอะ
เสี่ยวจางเห็นเหล่าจางร้องไห้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเขาจึงร้องไห้ตามเหมือนกัน ทั้งสองคนนั่งอยู่ตรงข้ามกันไม่พูดอะไรทั้งสิ้น พยายามเช็ดน้ำตาเต็มที่
เหล่าจางมองเสี่ยวจางด้วยความสงสัย นายร้องไห้ทำไม เสี่ยวจางก็มองเหล่าจางด้วยความสงสัยเหมือนกัน คุณร้องไห้ทำไมล่ะ
สาวน้อยโลลินั่งไขว่ห้างถามนักพรตเฒ่าที่อยู่ข้างๆ เสียงเบา “แสดงตัวตนแล้วเหรอ”
นักพรตเฒ่าส่ายหน้า
“อย่างนั้นร้องไห้ทำไม”
“ศิลปะการแสดงมั้ง ข้าเคยเจอมาก่อน”
…………………………………………………………………………