ตอนที่ 363 สถานที่เกิดเหตุ
“เรื่องใหญ่ก็คือ ทำไมไอดีชาติที่แล้วของคุณ ยังสามารถล็อกอินเข้าไปได้” เถ้าแก่โจวจำได้ว่าหลังจากที่ตัวเองกลับชาติมาเกิด เขายุ่งตลอดช่วงบ่ายเพื่อล็อกอินเข้าโซเชียลมีเดียในอดีตของตัวเอง แต่ก็ไม่สำเร็จ
ถ้าตัวเองไม่ซื้อซิมการ์ดลงทะเบียนใหม่ก็วานให้เพื่อนช่วยยืนยันตัวตน แต่ก็ยังไม่ได้ ตอนนี้เหล่าจางกลับใช้วีแชตในอดีตของตัวเองได้โดยตรง ทำให้เถ้าแก่โจวรู้สึกไม่ยุติธรรมเป็นอย่างมาก
“เอ่อ ผมหาเจอจากของใช้ผู้ตายของผม” จางเยี่ยนเฟิงตอบ
“ของใช้ผู้ตาย”
“ใช่ ผมกลับไปที่บ้าน หลังจากลูกชายมาที่ร้านเมื่อวานซืน เขาก็กลับไปโรงเรียน ผมจึงกลับบ้านแล้วหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมา”
โจวเจ๋อพยักหน้า ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้ แต่ในใจยังรู้สึกไม่พอใจเท่าไร
“เหตุการณ์นี้ ต้องไปดูไหม” จางเยี่ยนเฟิงถาม
ชีวิตในตอนนี้ สถานการณ์ที่อยู่เวลานี้ ทำให้เหล่าจางไม่ค่อยชินเท่าไร แต่ขอแค่มีคดีให้สืบให้ทำ เขาจะเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นทันที แม้แต่ชีวิตก็เปลี่ยนเป็นมีความหวังเพิ่มขึ้น
“ช่างเถอะ เมื่อวานคุณบอกว่าจะหาเวลากลับไปเยี่ยมบ้านที่เหยียนเฉิงไม่ใช่เหรอ เจ้าของศพนี้ถึงแม้จะไม่มีลูกแต่ก็ยังมีแม่อยู่ ในเมื่อคุณใช้ร่างกายนี้ ก็ต้องช่วยแสดงความกตัญญูอย่างเต็มที่ เขาเป็นตำรวจที่ดี พวกคุณต่างก็ไม่ง่าย”
เหล่าจางได้ยินดังนั้นจึงเงียบไป จากนั้นพยักหน้า ตำรวจยิ่งเข้าใจตำรวจด้วยกันเอง ทำอาชีพตำรวจอาชญากรรมมายี่สิบปี เพื่อนร่วมรบของเขาที่พลีชีพไปก็มีไม่น้อย ความเศร้าเช่นนี้ เขารู้ดี
“อืม อย่างนั้นตอนบ่ายเตรียมตัวเดินทาง” เหล่าจางตัดสินใจแล้ว
“ไปรับเงินที่เคาน์เตอร์ หยิบเงินกระดาษไปเยอะหน่อย ถ้าเจอเรื่องยุ่งยากอะไร ก็นำมาเผาได้”
“โอเค รู้แล้ว”
“เรื่องนี้ ผมจะหาเวลาไปดูที่มหาวิทยาลัยช่วงบ่าย”
“ครับ”
เหล่าจางนั่งลงอีกครั้ง กลับไปต่อสู้กับอาหารเช้าอย่างตั้งใจ
โจวเจ๋อหยิบโทรศัพท์ของเหล่าจางมาดูรูปสองสามรูปนั้นซ้ำไปซ้ำมา เป็นภาพที่น่าสยดสยองและทารุณเป็นอย่างมาก ไม่แปลกใจเลยที่แม้แต่หนังสือพิมพ์ก็ไม่กล้าลงภาพเหล่านี้
นักศึกษาสองคนตายติดต่อกันภายในวันเดียว น่าจะเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก เจตนาเดิมของโจวเจ๋อคือไปดูก่อน และดูว่าพวกตำรวจมีข้อสรุปอย่างไร
ถ้าหากทางตำรวจระบุตัวผู้ต้องสงสัยแล้ว มั่นใจได้ว่าเป็นฝีมือของคน ตัวเขาก็สามารถพักผ่อนได้ไม่ต้องออกแรง
แต่เถ้าแก่โจวเป็นห่วงว่าจะเป็นฝีมือของผี ถ้าหากตัวเขาปล่อยปละละเลยไม่สนใจเกิดมีคนตายเป็นรายต่อไปอย่างนั้นตัวเขาก็มีส่วนเกี่ยวข้องแน่นอน บวกกับกรณีที่ผีหลบหนีครั้งที่แล้ว โจวเจ๋อทำผลงานได้ไม่น้อย ขาดอีกสามร้อยคะแนนก็จะผ่านด่านทำคะแนนหนึ่งพันเต็ม หลังจากจับผีร้ายอีกสองสามตัวได้ เขาค่อยหายมทูตที่คล้ายหลิวฉู่อวี่อีกสองสามคน แบบนี้ตัวเขาก็สามารถเลื่อนขั้นเป็นผู้จับกุมได้แล้ว
โดยทั่วไปจับได้ตัวเล็กตัวน้อยทำผลงานได้ไม่มากเท่าไร มีแต่คดีที่ใหญ่ขนาดนี้ ถึงจะสามารถดึงดูดให้ปลาเค็มโจวเจ๋อเป็นฝ่ายเริ่มก่อนได้
หลังจากตอนกลางวัน เหล่าจางขับรถนิสสันของสวี่ชิงหล่างไปเมืองเหยียนเฉิงแล้ว เมื่อเห็นรถลับตาไปแล้ว โจวเจ๋อรู้สึกอิจฉาเหล่าจางเล็กน้อย หรือบางทีนี่คงเป็นผลแห่งกรรม ผลแห่งกรรมในที่นี้ไม่ได้มีความหมายในแง่ลบ
วีรบุรุษในชาติที่แล้ว แค่หาศพมาใช้วิชายืมศพคืนชีพ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นร่างของวีรบุรุษเหมือนเดิม
ต่างกับตัวเขาเองที่อยู่ในร่างของสวีเล่อ โจวเจ๋อไม่รู้สึกละอายใจต่อสวีเล่อเลยสักนิด ได้แทนที่ฐานะของเขา ได้แทนที่ชีวิตของเขา คงจะเป็นผลของกรรมอย่างหนึ่ง
แต่เหล่าจางมีความรู้สึกดีและมีความเคารพเป็นพิเศษต่อร่างกายนี้ อีกฝ่ายเป็นสายลับถึงสามปี ในที่สุดก็ส่งข่าวออกมาทำให้จับตัวคนร้ายได้สำเร็จและตัวเองต้องเสียชีวิตเพราะเหตุนี้ ผู้กล้าที่ไร้ชื่อเสียงแบบนี้ เป็นที่น่าเคารพยกย่องอย่างยิ่ง
ในเมื่อใช้ร่างต่อจากเขาแล้ว ก็ต้องรับผิดชอบครอบครัวของเขาต่อไป สิ่งที่น่ายินดีเพียงอย่างเดียวก็คือ อีกฝ่ายไม่ได้แต่งงานและไม่มีลูก จึงลดความยุ่งยากได้เป็นอย่างมาก
ข้างนอกเริ่มมีลมพัด โจวเจ๋อหาวหวอด และเพื่อทำให้ตัวเองหลุดพ้นจากภวังค์ความคิด เขาจึงหันมามองสาวน้อยโลลิที่กำลังศึกษาลิ้นอยู่ตรงนั้นแล้วตะโกนว่า “หลินเข่อ หยุดเล่นลิ้นได้แล้ว ออกไปข้างนอกกับผม”
…
มหาวิทยาลัยทงเฉิงไม่ใช่มหาวิทยาลัยชื่อดังอะไร ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับโครงการสองหนึ่งหนึ่งหรือเก้าแปดห้า[1] แต่ก็ถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยท้องถิ่นที่ดีที่สุดในทงเฉิง และศักยภาพโดยรวมของคณะแพทย์ศาสตร์ในนั้นก็ถือว่าดีมากเช่นกัน
หลังจากเข้าไปในมหาวิทยาลัยแล้ว โจวเจ๋อลองหาหอพักที่เกิดเหตุ เดินวนอยู่สองรอบถึงได้หาเจอ เพราะอยู่ในเขตที่ค่อนข้างลับตาคน ไม่ได้อยู่ในเขตหอพักเดิม
ได้ยินว่าเพื่อเหลือที่ไว้ให้นักศึกษาต่างชาติ นักศึกษาท้องถิ่นที่อยู่ที่นี่แต่เดิมถูกจัดให้ไปอยู่ที่เขตหอพักเก่า และเหตุการณ์ทั้งสองนี้ก็เกิดขึ้นที่เขตหอพักเก่าเช่นกัน
โจวเจ๋อสั่งหลินเข่อไปดูสถานการณ์ที่หอพักหญิง ส่วนตัวโจวเจ๋อเข้าไปดูที่หอพักชาย ถึงแม้จะเกิดคดี แต่มากสุดก็ไม่จัดคนเข้าไปพักที่ห้องนั้นอีกในปีนี้ ส่วนห้องที่เหลือของหอพักยังมีคนอยู่เป็นปกติ มิฉะนั้นคนตั้งมากมาย อยากจะจัดหอพักใหม่ชั่วคราวไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
แน่นอนว่าถึงแม้จะมีคนตาย แต่ผ่านไปอีกหนึ่งหรือสองปี ก็จะมีพวกน้องๆ นักศึกษาที่ไม่รู้เรื่องเข้ามาพักอยู่แล้วเพราะถ้าปล่อยห้องทิ้งไว้จะฟุ่มเฟือยทรัพยากรไปเปล่าๆ ไม่ใช่เหรอ
หน้าประตูห้องพักถูกแปะด้วยสายกั้นของทางตำรวจ และมักจะมีนักศึกษาแถวนี้เดินถืออ่างล้างหน้าล้างเท้าเดินผ่านเป็นพักๆ แต่ตอนที่ผ่านสายกั้นนั้นทุกคนจะรีบเดินอย่างเห็นได้ชัด
เถ้าแก่โจวดึงสายกั้นออกแล้วเดินเข้าไป ข้างๆ มีนักศึกษามองเห็นแล้ว แต่คิดว่าเป็นตำรวจหรือคนที่ทางมหาวิทยาลัยส่งเข้ามาตรวจสอบ จึงไม่มีใครเข้ามาถาม
เขาปิดประตูตรวจสอบห้องพักอย่างละเอียด เนื่องจากศพถูกเคลื่อนย้ายออกไปแล้ว สิ่งของมากมายที่อยู่ด้านในจึงถูกเก็บไปเป็นหลักฐาน ส่วนที่เหลือคือสัมภาระของเพื่อนร่วมหอ ก็ถูกเก็บไปด้วยเช่นกัน เหลือเพียงหมอนผ้าห่มและข้าวของเครื่องใช้ของผู้ตายที่ยังวางอยู่ที่เดิม
ห้องพักห้องนี้อยู่ฝั่งที่หันหน้าเข้าหาพระอาทิตย์ อากาศโปร่งสบาย และด้านในนั้นโจวเจ๋อสัมผัสไม่ได้ถึงกลิ่นอายของวิญญาณหรือร่องรอยความแค้นใดๆ
หลังจากเขามั่นใจว่าไม่พบอะไรแล้ว โจวเจ๋อจึงผลักประตูห้องพัก แปะสายกั้นกลับไปอีกครั้ง ตอนที่เขากำลังหมุนตัว เขาเห็นเด็กหนุ่มใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้นถือลูกบาสเกตบอลอยู่ในมือมองเขาด้วยสายตาเหมือนสอบถาม
“คุณเป็นใคร” อีกฝ่ายถาม
โจวเจ๋อไม่สนใจ หมุนตัวเตรียมตัวเดินออกไป ทว่าอีกฝ่ายกลับทุ่มลูกบาสเกตบอลมาทางโจวเจ๋อทันที โจวเจ๋อมีการตอบสนองที่ไวกว่าอีกฝ่าย เมื่อก่อนเขาใช้วิชาอู๋ซวงหลายครั้งทำให้ร่างกายแทบทรุด อันที่จริงมีความคล้ายคลึงกับ‘ระดับพลังกาย’ ที่พูดถึงในนิยายกำลังภายในมากกว่า อย่างน้อยเมื่อเทียบกับสวีเล่อที่ป่วยออดแอดเมื่อก่อน คุณสมบัติของร่างกายมีการพัฒนาขึ้นมากกว่าเดิมมากแล้ว
เขาหมุนตัว แล้วโบกมือตบลูกบาสเกตบอลออกไป แต่เด็กหนุ่มคนนั้นกลับกระโจนเข้ามากระแทกโจวเจ๋อโดยตรง เล็บของโจวเจ๋อยาวออกมาเล็กน้อย อยากจะทิ่มเข้าไปในร่างกายของอีกฝ่ายตามสัญชาตญาณ แต่เขากลับลังเลเล็กน้อย และความลังเลนี้ ก็ทำให้โจวเจ๋อถูกเด็กหนุ่มคนนี้กระแทกล้มไปกองที่พื้นโดยตรง
อีกฝ่ายยื่นมือจับคอเสื้อของโจวเจ๋อแล้วตะคอกว่า “คุณเป็นใคร!”
“ตำรวจ” โจวเจ๋อตอบ
“ไร้สาระ ผมโตมากับสถานีตำรวจ แต่ไม่เห็นรู้จักคุณเลย!”
โจวเจ๋อจนปัญญาเพราะเจอทายาทตำรวจเข้าแล้ว ความเคลื่อนไหวทางนี้ส่งผลกระทบต่อนักศึกษาคนอื่นแถวนี้เมื่อเห็นคนชกต่อยกัน พวกเขาจึงรีบเข้ามามุงล้อมอยากเผือก (เสือก) ทันที
“ขอโทษนะ คนร้ายมากมายเคยชินที่จะกลับมาตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุที่ตัวเองก่อคดีไว้ ผมจะแจ้งความตอนนี้ส่งคุณไปโรงพัก ถ้าหากคุณโดนใส่ร้าย ผมก็จะขอโทษและจะชดเชยเงินให้คุณในขณะเดียวกัน!”
เนื่องจากโจวเจ๋อบอกว่าตัวเองเป็นตำรวจ ดังนั้นจึงยิ่งเพิ่มความสงสัยให้เด็กหนุ่มคนนี้มากขึ้น เขาส่งสายตาให้เพื่อนนักศึกษาคนอื่นสองสามคนคอยจับตาดูโจวเจ๋อพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วกดโทรออก
…
สาวน้อยโลลิเดินออกมาจากหอพักหญิง เธอเข้าไปในหอพักนั้นแล้วแต่ไม่พบความผิดปกติอะไร ตอนที่เธอกำลังรอโจวเจ๋อ เธอเห็นโจวเจ๋อถูกนักศึกษากลุ่มหนึ่งคุมตัวเดินออกมาจากหอพัก
สาวน้อยโลลิตกตะลึงเมื่อเห็นฉากนี้ กระทั่งโบกมือและแลบลิ้นให้เถ้าแก่อย่างซุกซน โจวเจ๋อเหลือบตามองสาวน้อยโลลิที่สะใจกับความโชคร้ายของคนอื่น รถตำรวจมาถึงอย่างรวดเร็ว ตอนที่โจวเจ๋อถูกคุมตัวไปหน้าประตูมหาวิทยาลัยนั้น รถตำรวจคันหนึ่งหยุดอยู่ตรงนั้นแล้ว
“เสี่ยวเฟิง มีอะไร” ตำรวจหญิงคนหนึ่งลงมาจากรถตำรวจ เธอตัวผอมสูงชะลูด
“พี่ ผมจับคนที่ฉีกสายกั้นแล้วแอบเข้าไปในที่เกิดเหตุได้คนหนึ่ง แถมยังหลอกผมว่าเป็นตำรวจอีกด้วย”
ตำรวจหญิงมองไปที่โจวเจ๋อทันที จากนั้นจึงพูดด้วยความตกตะลึง “คุณสวี”
…
“ขอโทษด้วยนะครับ คุณสวี ผมไม่ดีเองที่วู่วามเกินไป” นักศึกษาหนุ่มที่ชื่อโจวเฟิงลุกขึ้นยืนจากที่นั่งแล้วโค้งคำนับให้โจวเจ๋อ โจวเจ๋อโบกมือเพื่อบอกว่าไม่เป็นไร เพราะตำรวจหญิงที่รีบมาถึงก็เป็นคนรู้จักกัน
ตอนแรกที่เหล่าจางมาหาโจวเจ๋อให้ช่วยทำคดี เขาเคยสั่งให้ตำรวจหญิงคนนี้ขับรถมาส่งโจวเจ๋อมากกว่าหนึ่งครั้งแล้ว และแท้จริงแล้วโจวเจ๋อยังมีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาของสถานีตำรวจในนามอีกด้วย แต่เหล่าจางที่เชิญโจวเจ๋อในตอนแรกกลับเสียชีวิตไปแล้ว แต่อย่างน้อยก็ล้างความสงสัยว่าโจวเจ๋อเป็นคนร้ายได้ชั่วคราว
“คุณสวีสนใจคดีนี้เหรอคะ” ตำรวจหญิงถามโจวเจ๋อ
“ครับ เหล่าจางมาเข้าฝันผม ร้องไห้กระซิกอยากให้ผมมาดูที่เกิดเหตุ ผมจึงต้องมาครับ”
ตำรวจหญิงกับเด็กหนุ่มไม่คิดว่าโจวเจ๋อกำลังล้อเล่นหรือแสดงละคร พวกเขารู้สึกว่าโจวเจ๋อเสียใจต่อการพลีชีพของเหล่าจางเป็นอย่างมาก จึงจงใจใช้น้ำเสียงแบบนี้เพื่อกลบเกลื่อนความเศร้าโศกของตัวเอง
“ผมอยากช่วยสืบคดีนี้ได้ไหมครับ” โจวเจ๋อถาม
“เอ่อ ก็ได้อยู่ค่ะ แต่ฉันต้องรายงานหัวหน้าก่อน เพราะคดีนี้ยุ่งยากมากจริงๆ และจากที่ดูในตอนนี้ยังไม่มีเบาะแสอะไรเลยสักนิดค่ะ”
โจวเจ๋อพยักหน้าเอ่ยว่า “พอจะเล่ารายละเอียดของผู้ตายให้ผมฟังได้ไหมครับ อย่างเช่นนิสัยกับการใช้ชีวิตประจำวันรวมทั้งความเปลี่ยนแปลงในช่วงนี้ การสืบเบาะแสของหน่วยงานภายในอะไร ไม่ต้องบอกผมก็ได้ครับ ผมรู้ว่าคุณไม่สะดวก”
เมื่อก่อนตอนที่เหล่าจางยังมีชีวิตอยู่ ไม่มีอะไรที่ไม่สะดวกเลย เหล่าจางอยากจะให้ยมทูตโจวเจ๋อเป็นนักสืบจิ๋วโคนันคอยช่วยเขาสืบคดีอยู่ข้างเขาตลอดเวลาด้วยซ้ำ เอกสารลับมีกฎห้ามเปิดเผยต่อบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้อง แต่ไม่ได้กำหนดว่าห้ามเปิดเผยกับผีที่ไม่เกี่ยวข้องเสียหน่อย
“คุณสวี ถ้าหากคุณอยากรู้ ผมจะบอกคุณครับ” โจวเฟิงพูด
“เอ่อ?”
“เพราะว่า ผู้ตายหลิวเฮ่าหนาน เป็นเพื่อนร่วมหอของผม และผมก็ย้ายออกมาจากห้องนั้นหลังจากที่เขาตายครับหลิวเฮ่าหนานยังเป็นเพื่อนรักของผมด้วยครับ”
…………………………………………………………………………
[1] โครงการสองหนึ่งหนึ่งหรือเก้าแปดห้า เป็นโครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัยชั้นนำของจีน