ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล – ตอนที่ 367 จุดพลิกกลับของผู้ล่ากับเหยื่อ!

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

ตอนที่ 367 จุดพลิกกลับของผู้ล่ากับเหยื่อ!

“เบิกเนตร!” ลูกตาดำของเยวี่ยหยาถูกปกคลุมไปด้วยสีขาวชั่วเวลาหนึ่ง จากนั้นท่าทีจึงเปลี่ยนไปทันที แน่นอนว่าเวลานี้นานไม่ถึงสิบวินาที จากนั้นร่างกายของเธอจึงเริ่มโซเซ แต่ครั้งนี้เธอฉลาดแล้ว เป็นฝ่ายเข้าใกล้โจวเจ๋อก่อน ตอนนี้เธอหมดแรงชั่วคราว ต้องการให้โจวเจ๋อประคองเธอ

โจวเจ๋อกลับก้าวไปข้างๆ หนึ่งก้าว ‘ตุบ…’ เยวี่ยหยาล้มไปบนพื้น ชั่วขณะหนึ่งเธอรู้สึกสะอึกจนพูดไม่ออก

“เห็นอะไรเหรอ” ความสามารถของผู้หญิงคนนี้น่าจะใช้ดวงตามองเห็นภาพเสมือนจริงได้ เพราะวินาทีที่เธอตะโกนว่า ‘เบิกเนตร’ โจวเจ๋อรู้สึกว่าไพ่ที่อยู่ใต้ร่มผ้าของตัวเองสั่นเล็กน้อย ลมหายใจของตัวเองที่ปิดซ่อนเอาไว้เกือบจะถูกทำลาย

เยวี่ยหยาขมวดคิ้วคลานขึ้นมาจากพื้น เธอกวาดตามองโจวเจ๋อด้วยความแค้นเคืองหนึ่งที แล้วพูดเสียงเข้มว่า“ห้องเรียนที่อยู่ทางซ้ายมือข้างหน้า มีผู้ชายที่ไม่รู้จักกำลังช่วยตัวเอง ตอนนี้สิ่งที่พุ่งออกมาไม่ใช่สีขาวแล้ว แต่เป็นเลือดที่ไหลไม่หยุด”

เมื่อก่อนโจวเจ๋อเคยอ่านนิยายเล่มหนึ่งเกี่ยวกับการไหลออกมาเป็นเลือดเช่นนี้ โดยเล่าว่าในยุคชุนชิวจ้านกั๋วมีกษัตริย์องค์ไหนที่ลุ่มหลงในกามเป็นพิเศษ ยาปลุกเซ็กส์รุ่นเก่าเมื่อใช้มากเกินไปจึงควบคุมพระองค์ไม่อยู่ เลือดเริ่มไหล จากนั้นเลือดไหลเยอะมากจนพระองค์สิ้นพระชนม์

“ในห้องเรียนทางขวามือข้างหน้า เจิ้งเฉียงนั่งอยู่ในนั้น ร่างกายเริ่มเหี่ยวแห้ง เบ้าตาโหลเหมือน…” เยวี่ยหยากัดริมฝีปากแต่ก็ยังพูดในสิ่งที่ตัวเองคาดเดา “เสพยาเกินขนาด”

โจวเจ๋อขมวดคิ้ว ยมทูตก็หลงกลเหรอ

“ตนงทางเดินอีกฟากของตึก หลี่เซินยืนอยู่ที่นั่น ตอนนี้ร่างกายโดนเผาเป็นวงกว้างแล้ว”

“กู่เหอล่ะ” ผู้จับกุมคนนั้นเรียกทุกคนเข้ามาเพื่อทำผลงานด้วยกัน

“หาไม่เจอ” เยวี่ยหยาส่ายหน้า

เถ้าแก่โจวพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง รู้อย่างนี้เขาน่าจะหน้าด้านอีกนิด สั่งให้สาวน้อยโลลิมาร่วมกิจกรรมนี้แทนตัวเอง

แน่นอนว่าก่อนที่เรื่องจะเกิด ใครก็คาดคิดไม่ถึง นับตั้งแต่ที่เถ้าแก่โจวเป็นยมทูตเป็นต้นมาเพิ่งจะได้รับการเรียกรวมตัวเป็นครั้งแรก ผลปรากฏว่ากลับเจอหัวหน้าที่เป็นคนหลอกลวง

ตอนนี้ยมทูตทั้งสี่คนตกหลุมพรางไปสองคน ดังนั้นจึงมีสามตัวเลือกต่อหน้าเขา ข้อหนึ่งไปช่วยพวกเขา ข้อสองตามหา ‘ผี’ ตัวนั้นแล้วจัดการทิ้ง ข้อสามคือหันหลังกลับบ้าน

โจวเจ๋อจริงๆ แล้วอยากจะเลือกข้อสามมากกว่า แต่เขายากที่จะเลือกข้อสามเหมือนกัน เพราะที่นี่เป็นเมืองทงเฉิงถ้าตัวเขาไม่รู้ก็ไม่เป็นไร ถ้าหากรู้แล้วแต่ยังแสร้งทำเป็นหลบมองไม่เห็นไม่ทำอะไรเลย หาก ‘ผี’ ตัวนั้นก่อเรื่องทำร้ายคนอีกผลเสียก็จะตกมาที่ตัวของโจวเจ๋อ

ทว่าเยวี่ยหยาเหมือนจะใจตรงกัน เธอรีบพูดทันที “ฉันจะกลับแล้ว สถานการณ์ที่นี่มีการเปลี่ยนแปลง ผู้จับกุมก็หายไป ผิดปกติ” เธอกลับบ้านได้ เพราะเธอไม่ใช่ยมทูตทงเฉิง

“คุณจะกลับได้เหรอ” โจวเจ๋อถาม

“อะไรนะ” เพิ่งจะสิ้นเสียงของเยวี่ยหยา เธอก็เห็นเงาดำแปลกประหลาดกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นมาข้างตัวแล้วบุกโจมตีเธอ

เธอสะบัดฝ่ามือของตัวเองทันที เข็มเงินนับสิบยึดเธอเป็นจุดศูนย์กลางปกคลุมพื้นที่ในส่วนที่อยู่ใต้เท้าของตัวเธอเอง ทว่าเงาดำกลุ่มนั้นยังคงวนเวียนสำรวจอยู่รอบๆ อย่างต่อเนื่อง แต่ไม่สามารถเข้าไปได้

ใต้เท้าของโจวเจ๋อก็มีเงาดำโจมตีเข้ามา เล็บของเถ้าแก่โจวงอกยาวออกมาแล้วทิ่มเข้าไปบนพื้นโดยตรง หมอกสีดำกระจายตัวกลายเป็นม่านค่ายกล กั้นเงาดำไว้ข้างนอก

ทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากันอยู่นาน สุดท้ายเงาดำจึงถอยไป เยวี่ยหยาโน้มตัว โบกมือเก็บเข็มที่ปักอยู่บนพื้นกลับมา โจวเจ๋อก็ดึงเล็บของตัวเองกลับมาเช่นกัน ถ้าหากเจ้าสิ่งนั้นมีลูกไม้แค่นี้เท่านั้น พวกเขาทั้งสองระวังนิดหน่อยก็ไม่เป็นปัญหาใหญ่มาก แต่ที่น่าเศร้าน่าเบื่อมากก็คือ เถ้าแก่โจวไม่ใช่คนที่รู้สึกลำบากแทนประเทศชาติก่อนใคร ขอเพียงทำให้เขาดื่มกาแฟนอนอาบแดดบนโซฟาได้ทุกวัน ถึงแม้น้ำจะท่วมนอกหน้าต่างเขาก็รู้สึกเฉยๆ แต่เรื่องนี้กลับมีผลดีและผลเสียกับเขาโดยตรง โจวเจ๋อจึงปล่อยไปไม่ได้

โจวเจ๋อเดินไปข้างหน้าก่อนระยะหนึ่งแล้วจึงเลี้ยวเข้าห้องเรียนที่อยู่ทางด้านขวา เจิ้งเฉียงนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าที่เคลิบเคลิ้ม ซึ่งเหมือนกับที่เยวี่ยหยาบอกทุกประการ โจวเจ๋อยื่นมือแตะเจิ้งเฉียงเล็กน้อย วินาทีนั้นตรงหน้าของโจวเจ๋อพลันปรากฏกลุ่มหมอกขึ้นมา

ท่ามกลางหมอกควัน โจวเจ๋อเห็นเจิ้งเฉียงกำลังนั่งอยู่บนโซฟา สาวงามล้อมรอบกระโดดเต้นรำอย่างเมามัน ส่วนเจิ้งเฉียงกำลังถือขวดบีกเกอร์สูดควันสีขาวที่อยู่ในนั้นไม่หยุด

การสูดดมแบบนี้ ต่อให้เป็นช้างตัวหนึ่งก็ทนรับไม่ไหว และอาจจะเป็นเพราะคนนอกเกมมักจะมองสถานการณ์ทะลุปรุโปร่ง โจวเจ๋อเห็นผู้ชายผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ เจิ้งเฉียงเหลือแต่โครงกระดูก บริเวณศีรษะของพวกเขาเหมือนโดนแมลงชอนไชเป็นหลุมเป็นบ่ออยู่ทุกหนแห่ง น่ากลัวยิ่งกว่ารังผึ้ง

โจวเจ๋อเป็นหมอในชาติที่แล้ว เขารู้ว่ามียาเสพติดที่มีลักษณะเฉพาะตัว ถ้าหากสูดดมเข้าไปแล้วจะทำให้สมองเกิดความเสียหายอย่างมาก ทั้งยังเสียหายแบบไม่สามารถย้อนกลับคืนมาได้

และยิ่งเป็นยาเสพติดที่ติดง่าย ยิ่งสร้างความเสียหายต่อร่างกายของมนุษย์อย่างใหญ่หลวง ไอ้คนที่สูดดมเยอะเกินไปจนกลายเป็นมนุษย์ผักก็มีมากมายนับไม่ถ้วน ส่วนคนที่เสพยาแล้วมีโอกาสส่งไปสถานบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดกลับเป็นคนที่โชคดีมาก

แต่เจิ้งเฉียงยังคงลุ่มหลงมัวเมา กระทั่งไม่รู้ถึงการปรากฏตัวของโจวเจ๋อ ยังคงเคลิบเคลิ้มต่อไป

ไม่ผิดไปจากที่คิด ยมทูตริมทางถ้าหากสามารถเชื่อใจได้ แม่หมูก็คงปีนต้นไม้ได้แล้วมั้ง ถึงแม้ตัวเองจะเป็นแค่ยมทูต แต่โจวเจ๋อรู้สึกว่าตัวเองมาทำภารกิจรวมกับยมทูตตัวเล็กๆ กลุ่มนี้เป็นการลดตัวอย่างมาก

ถึงแม้ตัวเองจะไม่เข้าร่วมในเหตุการณ์นี้ กลับไปแล้วค่อยปรึกษากับสาวน้อยโลลิและทนายอัน เพื่อวางแผนระยะยาวเดินทีละก้าว ก็ยังดีกว่าถูกเพื่อนร่วมทีมขี้โกงกลุ่มนี้หลอกลวงให้ไปตายทีละคน แต่ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้ มีเพื่อนร่วมทีมโง่เหมือนหมูอย่างนี้ คุณต้องช่วยเขา ถึงแม้ข้างกายจะมีทหารไร้ค่าสองสามคน แต่อย่างน้อยก็พอจะทำคุณประโยชน์ได้บ้าง

เล็บของโจวเจ๋อยาวออกมาแล้วหวดไปมาไม่หยุด โครงกระดูกที่อยู่ตรงหน้าถูกโจวเจ๋อโจมตีทีละตัว แต่เจิ้งเฉียงยังคงไม่เห็นเหมือนเดิม ยังคงลุ่มหลงอยู่กับสิ่งที่ตัวเองติดใจเมื่อชาติที่แล้ว โจวเจ๋อเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ทุบขวดบีกเกอร์ที่อยู่ในมือของเจิ้งเฉียงจนแตกละเอียด

เจิ้งเฉียงตกตะลึงไปทั้งตัว พร้อมกับมองโจวเจ๋อด้วยแววตาสีเลือด เขาแผดเสียงคำรามด้วยความโกรธ จากนั้นเกิดหนามแหลมขึ้นมาบนตัวของเขาเหมือนกับเม่นตัวหนึ่ง จากนั้นพุ่งคำรามเข้ามาหาโจวเจ๋อโดยตรง

สำหรับคนติดยา ถ้าหากใครมาขวางการเสพยาของตัวเอง ถึงแม้จะเป็นพ่อแม่ภรรยาและลูก ล้วนเป็นศัตรูของตัวเองทั้งสิ้น!

เล็บของโจวเจ๋อวาดไปที่หนามบนตัวของอีกฝ่าย เกิดเสียงกระทบเหมือนเหล็กปะทะกัน ชั่วเวลาเพียงครู่เดียวหนามของอีกฝ่ายทิ่มเข้าไปในร่างกายของโจวเจ๋ออยู่ไม่น้อย

โจวเจ๋อเจ็บจนตัวสั่นระริก แต่คำว่า ‘ผนึก’ สีเลือดขนาดใหญ่ภายในร่างกายของโจวเจ๋อได้เริ่มสั่นเบาๆ ในตอนนี้“มาเถอะ…ปลดผนึกออก…เจ้าต้องการพลังของข้า!” จิตสำนึกนั่นกำลังเรียกหาโจวเจ๋อ “ยมทูต…เป็นแค่…อาหาร…ของข้าเท่านั้น!”

“ไสหัวไป!” โจวเจ๋อตวาด วินาทีต่อมา เล็บทั้งสิบของเถ้าแก่โจวงอกยาวออกมาอย่างรวดเร็ว โค้งมนกลายเป็นเคียว สองมือประสานกันวางอยู่ตรงหน้าพร้อมกับเอนไปข้างหน้า สามารถกันเจิ้งเฉียงออกไปได้ในที่สุด ต่อจากนั้นเล็บทั้งสิบนิ้วของโจวเจ๋อจึงแทงไปข้างหน้าพร้อมกัน โจวเจ๋อไม่เลือกแทงเข้าไปตรงหน้าอกของไอ้หมอนี่ แต่เลือกแทงไปที่แขนทั้งสองข้างของอีกฝ่าย

‘ฉึก!’ ความเจ็บปวดทรมานถาโถมเข้ามา ควันรอบด้านเริ่มกระจายออก โจวเจ๋อก้มหน้ามองหนึ่งที พบว่าตัวเองมีรูเลือดเหมือนถูกเข็มทิ่มหลายจุด ถึงแม้อาการจะไม่รุนแรงมาก แต่ก็เจ็บมากเหมือนกัน

ส่วนเจิ้งเฉียงที่นั่งอยู่กับที่กำลังมีเลือดไหลออกจากแขนทั้งสองข้าง เขามองโจวเจ๋อด้วยความงุนงง แล้วมองไปรอบๆ เขาลองห้ามเลือดพร้อมกับถามว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

เยวี่ยหยาไม่ได้ตามโจวเจ๋อเข้าไป ทุกคนต่างเป็นคนที่เคยตายมาแล้วครั้งหนึ่ง ดังนั้นจึงยิ่งเห็นคุณค่าของชีวิตขณะเดียวกันการมุ่งหาผลประโยชน์หลีกเลี่ยงอันตรายเป็นสัญชาตญาณที่ฝังเข้ากระดูกไปนานแล้ว

ไม่ใช่เพราะเธอรู้จักการใช้ชีวิตถึงได้ทะนุถนอมชีวิต แต่เป็นเพราะนรกมันน่ากลัวเกินไป ดังนั้นอยู่ในโลกมนุษย์จึงดีกว่า! นี่ไม่ใช่ความขี้ขลาด เดิมทีการรวมตัวกันแบบนี้ก็คือการหาผลประโยชน์ร่วมกัน และเหตุการณ์นี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นในเขตของเธอ ทำไมต้องทุ่มเทขนาดนั้นด้วย อีกอย่างคนเลวจากทงเฉิงคนนั้นได้ทำให้เธอล้มถึงสองครั้ง เธอจึงยิ่งไม่อยากช่วยเหลือเขา!

เพียงแต่ตอนที่เยวี่ยหยาเพิ่งจะวิ่งลงบันไดมาถึงชั้นสาม ได้ปรากฏเงาคนที่คุ้นเคยอยู่ตรงหน้าบันไดของชั้นสาม คนคนนั้นก็คือกู่เหอ

“คุณจะไปไหน” กู่เหอเงยหน้า มองเยวี่ยหยาที่อยู่ข้างบน

“ถ้าไม่จัดการผีตัวนี้ จะเป็นภัยไม่สิ้นสุด” ขณะที่พูด กู่เหอเริ่มเดินมาที่บันได

“ท่านผู้จับกุม ท่าน” เยวี่ยหยาไม่รู้ว่าทำไม ในใจพลันเกิดอารมณ์ตกใจกลัว และเริ่มเดินถอยหลังโดยไม่รู้ตัว

ก่อนหน้านั้น โจวเจ๋อได้พูดกับเธอว่า คุณคิดว่าจะได้กลับบ้านเหรอ แต่เธอไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ตอนนี้เธอพลันรู้สึกว่าคำพูดของโจวเจ๋ออาจจะมีความหมายลึกซึ้งแฝงอยู่

“นี่คือหน้าที่ยมทูตอย่างพวกเรา ผมไล่จับมันตั้งแต่หางโจวมาถึงอู๋ซี ซูโจว แล้วก็มาที่ไหวอันจนถึงทงเฉิง ครั้งนี้จะไม่ยอมปล่อยมันให้หนีไปได้อีก คุณดูสิ มันทำร้ายคนไปเท่าไรแล้ว” กู่เหอเดินไปข้างบน เยวี่ยหยาเดินถอยหลัง

“ไม่ใช่ ทำไมคุณถึงอยู่ที่นี่ เป็นไปไม่ได้ที่คุณจะมาช้าขนาดนี้! คุณมีแผนอะไรกันแน่ ท่านผู้จับกุม!”

ไม่มีใครเป็นคนโง่ ก่อนหน้านั้นเจิ้งเฉียงสามารถวิเคราะห์ได้ว่ากู่เหอกำลังใช้ประสบการณ์ขั้นสูง จงใจปล่อยผีตัวนั้นเพื่อให้ตัวเองได้ทำผลงานที่ดี

“ไม่มี ไม่มีจริงๆ” กู่เหอเดินขึ้นไปข้างบนทีละก้าว จากนั้นเขาก็หยุดเดิน เยวี่ยหยาตกตะลึง วินาทีต่อมา กู่เหอได้ปรากฏอยู่ข้างหลังของเธอ มือข้างหนึ่งบีบคอของเธอโดยตรง แล้วยกเธอขึ้นมาทั้งตัว

เยวี่ยหยาอ้าปาก แต่กู่เหอใช้มืออีกข้างหนึ่งปิดปากของเยวี่ยหยา จากนั้นกู่เหอจึงชักมือกลับมา เพราะมีเข็มเหล็กทิ่มเต็มฝ่ามือของเขา

“ผมแค่อยากให้ผีตัวนี้ทำความชั่วเยอะขึ้นแล้วค่อยจับตัวส่งลงนรกก็เท่านั้นเอง ในเมื่อส่งคนธรรมดาไปแล้วทำไมจะส่งยมทูตลงไปไม่ได้ล่ะ ถึงตอนนั้นเมื่อจัดการมัน ผมก็จะได้รางวัลและผลงานที่ยิ่งใหญ่ขึ้น” กู่เหอแลบลิ้นเลียติ่งหูของเยวี่ยหยา “ดังนั้น ขอความกรุณาคุณอย่าหนี คอยอยู่เป็นเพื่อนผม ไม่แน่ผมอาจจะให้ส่วนแบ่งกับคุณ เพราะข้างบนมีคนหนึ่งที่หลุดรอดไปได้ เป็นลูกน้องที่ไม่รู้จักเคารพหัวหน้า ไม่เข้าใจความลำบากของหัวหน้าเลยใช่ไหม”

“เบิกเนตร!” ตาซ้ายของเยวี่ยหยาถูกปกคลุมไปด้วยสีขาวในชั่วพริบตา จากนั้นหน้าของเธอก็ซีดเผือด เพราะถ้าหากกู่เหออยากจะทำเพื่อผลงานจริง เธอมั่นใจว่ายังพอที่จะแก้ไขสถานการณ์กลับมาได้ อย่างมากก็แค่แลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันก็เท่านั้น ยังเอาสิ่งอื่นมาแลกเปลี่ยนกับกู่เหอได้

แต่เมื่อครู่เธอเห็นว่า บนหน้าผากของกู่เหอปรากฏคำว่า ‘โลภ’ สีดำออกมาอย่างชัดเจน! ผู้จับกุมที่เป็นคนส่งสัญญาณรวมตัวกันเพื่อภารกิจนี้ กลับโดนผีตัวนี้ควบคุมตั้งแต่อยู่ที่หางโจวแล้ว!

…………………………………………………………………………

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

Status: Ongoing
หลังจากการตายที่ไม่คาดคิด สิ่งที่เขาได้รับคือ ตัวตนใหม่ ร้านหนังสือใกล้เจ๊ง และตำแหน่งยมทูตจำเป็น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท