ตอนที่ 375 เมื่อลมพัด
เจิ้งเฉียงรู้สึกว่าตัวเองนอนฝันนานมาก ในความฝัน เขาเหมือนได้กลับไปในอดีต กลับไปในช่วงที่ตัวเองอิสระหลงระเริง ชาติที่แล้วเขาคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด พ่อเริ่มจากทำฟาร์มหมู ต่อมาคว้าโอกาสได้ตอนที่กระแสราคาบ้านภายในประเทศพุ่งสูงขึ้น พ่อหยิบทรัพย์สินของบ้านทั้งหมดมาค้ำประกันเพื่อยืมเงินจากชาวบ้านมากมาย ถือว่าเป็นหนึ่งในคนกลุ่มแรกที่ปั่นราคาบ้าน หลังจากนั้นพอออกตัวแล้วก็ไม่อาจถอยกลับ
เจิ้งเฉียงจำได้ว่าตอนเด็กตัวเองยังวิ่งเล่นไปมาอยู่ในฟาร์มหมู และยังชอบพูดกับหมูน้อยเหล่านั้น เขาไม่รังเกียจกลิ่นเหม็นตุของพวกมัน เพราะเขารู้สึกชินแล้ว
แต่หลังจากที่เจิ้งเฉียงเข้าเรียนชั้นประถมศึกษา ที่บ้านก็ไม่เลี้ยงหมูอีก หากจะใช้คำพูดของพ่อ ก็คือปั่นราคาบ้านถึงจะทำเงินได้มากที่สุด มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ลำบากเลี้ยงหมู
เจิ้งเฉียงไม่ใช่นักเรียนดีเด่นอะไร เขาเป็นคนธรรมดามากคนหนึ่ง บ้านมีเงิน เงินค่าขนมของเขาก็เยอะ เขาเรียนชั้นมัธยมต้นไม่จบก็ออกมาใช้ชีวิตในสังคมแล้ว
คนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขายังคงถือเอ็มพีสี่แอบดูภาพยนตร์เพื่อศึกษาหาความรู้อยู่ในหอพัก แต่เขากลับได้ลงสนามจริงแล้ว
ต่อมาหลังจากนั้นเขาก็เที่ยวผู้หญิงจนเบื่อ แล้วจึงเริ่มเล่นสนุกกับผู้ชาย ต่อจากนั้นเขาก็เริ่มเสพยาไปโดยปริยาย
เขามีเพื่อนดื่มเพื่อนกินเป็นกอง จัดงานเลี้ยง เล่นสนุกกับสาวสวย ดื่มเหล้ารสเลิศ บวกกับตะเกียงแอลกอฮอล์กับขวดบีกเกอร์ ชีวิตคนเหมือนดั่งฝัน ใช้ชีวิตอยู่ในความฝันดีจริงๆ แต่เจิ้งเฉียงไม่ได้เสพยาเกินขนาดจนเสียชีวิต
สวรรค์ยังมอบโอกาสให้เขาอีกครั้ง ตอนที่เขาร่วมงานฉลองอย่างสนุกสานได้ออกมาเดินเล่นบนถนนคนเดียว เขาถือโทรศัพท์พร้อมกับโยกย้ายส่ายสะโพกเต้นไปตามจังหวะเพลงไม่หยุด เพื่อระบายฤทธิ์ยาที่เหลือ ผลปรากฏว่าเขาเจอโจรกำลังลักทรัพย์และ ‘ข่มขืน’ บนท้องถนนในยามดึก
เจิ้งเฉียงเคยเล่นสนุกกับทั้งผู้หญิงและผู้ชายมาไม่น้อย แต่ก็ขึ้นอยู่กับการยินยอมของทั้งสองฝ่าย คุณไม่ยอมผมก็เอาเงินฟาดจนคุณยอมแบบนั้น ดังนั้นเมื่อเขาเห็นไอ้หมอนั่นไม่เดินตามแนวทางปกติ เจิ้งเฉียงที่ฤทธิ์ยายังไม่หมดจึงกล้ายืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง
จากนั้นเขาจึงถูกแทงด้วยมีด จากนั้นเขาก็ตาย อย่างไรก็ตามคุณจะให้ไอ้หนุ่มขี้เหล้าแถมยังเสพยาหาเรื่องใส่ตัวไปแสดงบทวีรบุรุษช่วยสาวงาม เป็นงานลำบากของคนเขียนบทจริงๆ เขาเอามือปิดแผลแล้วล้มลง ส่วนผู้หญิงที่ถูกเขาช่วยเหลือไม่โทรเรียกหนึ่งสองศูนย์ให้รถพยาบาลมารับเขาก็วิ่ง ‘ตึกๆๆ’ หนีไปแล้ว
เจิ้งเฉียงก็ไม่ได้โกรธอะไรและไม่รู้สึกว่าไม่คุ้มค่า เขาแค่คิดว่าตายไปแบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน เรื่องราวของชาติที่แล้ว เริ่มปรากฏขึ้นมาไม่หยุด เหตุการณ์ในชาติที่แล้วตัดสลับกันอยู่ในหัวของเขา กระทั่งฉากจบชีวิตสุดท้ายของตัวเองยังวนเวียนกลับมาเล่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ตอนที่เจิ้งเฉียงรู้สึกอยากอาเจียนเวลานึกถึงเรื่องในอดีต เขารู้สึกขอบคุณฟ้าดินที่เขาตื่นขึ้นมาในที่สุด เขาลืมตาเห็นตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียง โทนสีหลักของบริเวณโดยรอบล้วนเป็นสีขาว
เขาถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก ที่ตัวเองไม่ตายเป็นครั้งที่สอง เพราะในนรกไม่มีห้องคนไข้แบบนี้ เขายังรู้สึกหนักศีรษะ และรู้สึกคันตามร่างกายเป็นอย่างมาก
เขาพลิกตัวขึ้นมาแต่กลับร่วงลงจากเตียง เจิ้งเฉียงเม้มปากพยายามยันผนังยืนขึ้นมาด้วยความยากลำบาก เขาคอแห้งมากอยากดื่มน้ำ ถึงแม้จะให้น้ำเกลือตลอด แต่ก็ยังไม่พอ เขาต้องการดื่มน้ำ เขาต้องการน้ำมากกว่าผู้ชายทั่วไปที่เป็นผู้ใหญ่แล้วถึงสามเท่าในแต่ละวัน
เนื่องจากหนามที่ผุดขึ้นมาขณะที่ต่อสู้ ปกติจะเหมือนเนื้ออ่อนเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ภายในร่างกายของเขา และสิ่งเหล่านั้นต้องการสัดส่วนของน้ำที่มากขึ้นเพื่อให้พวกมันได้ดูดซึม เขาผลักประตูห้องคนไข้ เดินประคองตัวไปตามผนัง เขาอยากหาน้ำดื่ม เขากระหายน้ำเป็นอย่างมาก จากนั้นเจิ้งเฉียงเดินผ่านห้องครัว
การตกแต่งของร้านขายยาเป็นแบบนี้ ด้านหน้าเป็นร้านค้า ด้านหลังฝั่งซ้ายมือแบ่งเป็นห้องคนไข้สองห้องกับห้องผ่าตัดหนึ่งห้อง ด้านขวาคือห้องน้ำและห้องครัว ส่วนชั้นบนเป็นห้องพักของพนักงานในร้านขายยา
‘ปังๆๆๆ!’
‘ปังๆๆๆ!’
‘ปังๆๆๆ!’
เสียงกระแทกอย่างรุนแรง เจิ้งเฉียงหันหน้ามองเข้าไปด้านใน เขาเห็นภูเขาลูกหนึ่ง ภูเขาที่ตั้งสูงตระหง่านแต่เหมือนจะเป็น…ภูเขาเนื้อ
พยาบาลฟางฟางกำลังถือมีดสับกระดูกหมู เศษเนื้อกับกระดูกจึงกระเด็นออกมา ทำให้เจิ้งเฉียงที่อยู่ด้านหลังกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว เขาไม่กล้าเรียก ‘พยาบาลสาว’ คนนี้ แต่ตัวเองกลับเดินโซเซไปข้างหน้าไปเขตร้านขายยาที่ปิดร้านแล้ว จากนั้นเขาจึงดื่มน้ำที่อยู่ตรงเครื่องกดน้ำตรงนั้น
เขาดื่มรวดเดียวหมดไปครึ่งถังถึงได้พอใจ จากนั้นจึงพิงอยู่หลังเคาน์เตอร์ร้านยา เขากำลังจัดระเบียบความคิดของตัวเอง ดูเหมือนเขาจะจำได้ว่า ยมทูตทงเฉิงคนนั้นช่วยชีวิตตัวเองกลับมา และสมุดยมทูตของตัวเองก็ยังอยู่บนตัวของเขาเอง
เขาจึงอยากหนีไปโดยสัญชาตญาณ ประตูร้านขายยาถูกล็อก ฝ่ามือของเจิ้งเฉียงมีหนามแหลมงอกยาวออกมา จากนั้นขยับสองสามที กุญแจนิรภัยจึงถูกไขออก
เจิ้งเฉียงแง้มประตูเล็กน้อยแล้วแอบเดินออกไป อากาศสดชื่น อากาศของความเป็นอิสระ รอให้เขากลับไปที่ไหวอันก่อน เขาก็จะกลายเป็นผู้ชายที่เข้มแข็ง ยามที่อยู่ในพื้นที่ของคนอื่น ต่อให้เป็นการหายใจ ก็ยังรู้สึกไม่เป็นอิสระเลยสักนิด
โดยเฉพาะตอนที่เผชิญหน้ากับวิกฤต สุดท้ายโจวเจ๋อรอดตายแถมยังช่วยพวกเขาออกมา ซึ่งหมายความว่าโจวเจ๋อยังมีแผนอย่างอื่น
อย่างมากก็แค่หลังจากกลับไปถึงไหวอัน เขาจะส่งขาหมูของไหวอันมาเป็นของขวัญขอบคุณโจวเจ๋อ เขาเพิ่งเดินออกไปไม่กี่ก้าว ท้องฟ้ายังไม่สว่าง แต่กลับมีรถยนต์คันหนึ่งจอดอยู่ข้างทาง ตอนที่เดินผ่าน เจิ้งเฉียงเห็นคนสองคนนั่งอยู่ในรถ
คนที่นั่งเบาะหลังเป็นผู้หญิง เขาเห็นหน้าตาของผู้หญิงคนนั้นชัดเจน เธอคือเยวี่ยหยา แต่ผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งคนขับรถ เขากลับไม่รู้จัก จากนั้นเขาก็รู้สึกถึงความอันตรายโดยสัญชาตญาณ เขาจึงเดินกลับเพื่อเตรียมตัวหนี
‘ปึง!’ ประตูรถเปิดออก จากนั้นก็ถูกปิดอย่างแรง ทนายอันในชุดสูทสีแดงแสนโดดเด่นใส่แว่นกันแดดตอนกลางคืน คีบบุหรี่หนึ่งมวนอยู่ในมือของเขา เขายืนพิงรถแล้วใช้นิ้วเคาะหลังคารถเบาๆ เจิ้งเฉียงหยุดเดิน
“จะไปแล้วเหรอ” ทนายอันถาม
“หา” เจิ้งเฉียงขานรับหนึ่งที
ทนายอันพยักหน้า “ให้ผมไปส่งคุณไหมครับ”
“ไม่ต้องครับ ผมนั่งรถไฟได้”
“เหอะๆ” ทนายอันหัวเราะ จากนั้นจึงโยนก้นบุหรี่ที่อยู่ในมือทิ้งไป บางครั้งทนายอันก็รู้สึกจนใจ ด้วยนิสัยขี้เกียจของเถ้าแก่โจว จึงทำงานหละหลวม ถึงแม้หมอนี่จะก่อเรื่องวุ่นวายไม่น้อย แต่ก็ได้ของดีกลับมาไม่น้อยเช่นกัน ทว่าหลายครั้งที่เขาต้องช่วยเก็บตกและคอยดูแล
เถ้าแก่พาสหายทั้งสองที่บาดเจ็บหนักกลับมารักษาเมื่อคืน ผลปรากฏว่าผ่าตัดช่วยชีวิตพวกเขาเสร็จแล้วก็กลับไปกอดสาวใช้นอนหลับแล้ว พวกเขาสองคนไม่ใช่หมูน้อยสองตัวที่ถือกลับมาบ้านเสียหน่อย พวกเขาวิ่งหนีเป็น
“กลับมา เข้าไปนั่งในรถดีๆ” ทนายอันโบกมือให้เจิ้งเฉียง
เจิ้งเฉียงหันหน้ามองไปที่ทนายอัน แล้วยิ้มพูดว่า “คุณเป็นใคร”
“คุณถามเยอะเกินไป” ทนายอันโยนก้นบุหรี่ในมือทิ้งไป “รีบเข้าไปนั่ง”
“ถ้าผมพูดว่าไม่ล่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้นทนายอันจึงยิ้ม เขาขยี้ก้นบุหรี่ใต้ฝ่าเท้า จากนั้นเดินเข้าไปหาเจิ้งเฉียงด้วยความตื่นเต้นดีใจ ดูท่าทางแล้วเขาคงดีใจมาก
หลังจากห้านาทีผ่านไป จากเดิมที่บาดเจ็บอยู่แล้ว ตอนนี้กลับมีแผลเพิ่มอีก บวกกับเจิ้งเฉียงที่โดนซัดจนบวมเป็นหมูไปทั้งตัวถูกยัดเข้าไปนั่งตรงเบาะด้านหลังที่อยู่ติดกับเยวี่ยหยา
ทนายอันเหมือนผู้หญิงปากร้ายโดนทิ้งมานาน ในที่สุดก็ได้รับการปลดปล่อย เขากลับไปนั่งตรงตำแหน่งคนขับของตัวเอง เปิดเครื่องเสียงติดรถยนต์แล้วเริ่มเปิดเพลง
เจิ้งเฉียงเลือดกำเดาไหล แต่ทนายอันเป็นห่วงว่าจะสกปรกรถของตัวเอง จึงหาสำลีสองก้อนอุดจมูกของเขาล่วงหน้า
เวลานี้เจิ้งเฉียงเงยหน้าด้วยความประหลาดใจ แล้วมองเยวี่ยหยาที่อยู่ข้างๆ ดูเหมือนว่าเธอจะอ่อนแอเป็นอย่างมาก แต่ไม่มีแผล
“ทำไม…” เจิ้งเฉียงถาม เขาพูดไม่ชัดเพราะฟันหน้าหักไปสองซี่
“ฉันฟื้นก่อนคุณและอยากหนีเหมือนกัน จากนั้นก็จะส่งขนมโก๋แผ่นเมฆเจ้าเก่าของซูโจวมาให้เขา” เยวี่ยหยาพูดพร้อมกับมองทนายอันที่อยู่ข้างหน้าหนึ่งที แล้วพูดต่อว่า “จากนั้นเขาก็เรียกฉันขึ้นรถ”
“จากนั้นล่ะ”
“จากนั้นฉันก็นั่งบนรถ”
“…” เจิ้งเฉียง
เยวี่ยหยาเบ้ปาก พูดตามความจริง เจิ้งเฉียงโดนต่อยน่าสงสารเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านั้นทนายอันเรียกให้เธอขึ้นรถ เธอรู้โดยสัญชาตญาณว่าอีกฝ่ายหวังให้เธอปฏิเสธ แต่เธอก็ยังตกลงแต่โดยดี จากนั้นเธอมองออกว่าอีกฝ่ายรู้สึกผิดหวังกับความรู้จักประมาณตนของเธอเป็นอย่างมาก
เยวี่ยหยาไม่เข้าใจว่าอารมณ์ประหลาดเหล่านี้ได้มาจากที่ไหน อันที่จริงเหตุผลนั้นง่ายมาก เถ้าแก่กำลังนอนหลับสบายกับสาวสวยสองคนอยู่ข้างบน แต่ตัวเองต้องคอยเฝ้าอยู่ที่นี่ ถ้าไม่โมโหก็คงแปลก จึงอยากหาคนมาต่อยเพื่อระบายอารมณ์ของตัวเองเสียหน่อย หลังจากซัดคนไปหนึ่งยกแล้ว เขาจึงสบายใจเยอะขึ้น
“ไม่ฆ่าพวกเรา แล้วก็ไม่ปล่อยพวกเรา เขาคิดจะทำอะไร” เยวี่ยหยาถาม จากนั้นดูเหมือนเธอจะนึกอะไรออก “หรือว่าอยากจะบังคับพวกเราให้เป็นลูกน้อง”
“คุณพูดถูกแล้ว การได้พบเจอคือวาสนา คุณยอมรับเสียเถอะ”
อันที่จริงยมทูตที่มีพลังในระดับหนึ่ง และทำผลงานที่ยอดเยี่ยมได้ในระดับหนึ่งถ้าอยากจะเป็นผู้จับกุมนั้น ต้องหายมทูตห้าคนมายอมรับตัวเอง ยอมเป็นลูกน้องของตัวเอง
รูปแบบเช่นนี้ คล้ายกับบทบาทในการ์ตูนที่ต้องออกไปจับโปเกมอน ยมทูตน่ารัก คุณถูกฉันปราบแล้ว!
ส่วนกู่เหอที่ส่งสัญญาณเรียกรวมตัว เรียกยมทูตคนอื่นมาช่วยผู้จับกุม หากมองอีกแง่มุมหนึ่ง ก็หมายความว่าเขาใช้ชีวิตไม่ค่อยเป็นไปดั่งหวัง ลูกน้องที่มีแต่เดิม ถ้าไม่แยกย้ายกันก็ต้องตาย
“คุณกำลังช่วยเขา” เยวี่ยหยาหรี่ตา ถึงแม้เจิ้งเฉียงจะบาดเจ็บ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะบดขยี้และต่อยเจิ้งเฉียงได้โดยตรง
ทนายอันพยักหน้า
“ฉันสงสัยมาก ทำไมคุณต้องช่วยเขา แล้วก็ สิ่งที่ฉันสงสัยยิ่งกว่าก็คือ ทำไมฉันต้องถูกคุณกดหัว ยอมรับเขาเป็นผู้จับกุมของฉัน”
ทนายอันปิดเครื่องเสียงติดรถยนต์ ภายในรถจึงเงียบลงทันที ทนายอันถอนหายใจยาวแล้วหัวเราะ “คำพูดข่มขู่ผมขี้เกียจพูด ผมรู้ว่าคุณไม่อยากฟังเรื่องพวกนี้ พวกคุณลองคิดดูเองก็แล้วกัน คิดว่าผมเอาคำพูดข่มขู่ของตัวร้ายในละครทีวีมาพูดกับพวกคุณห้าชั่วโมง”
จากนั้นทนายอันจึงหยุดชะงักแล้วพูดต่อว่า “เมื่อลมพัด ทุกคนต้องสามัคคีกัน ถึงจะไม่ถูกลมพัดกระจายออกไป”
…………………………………………………………………………