ตอนที่ 391 ดวงตา!
นักพรตเฒ่าเป็นคนมองโลกในแง่ดี ชอบหาเรื่องใส่ตัว ชอบเสี่ยงเป็นที่หนึ่ง เป็นพวกอยากรู้อยากเห็นและปัญญาอ่อน คนอายุเจ็ดสิบเอ็ดปีแล้ว เจออุปสรรคและเรื่องราวมากมายเข้ามาในชีวิตไม่รู้ตั้งเท่าไร ต่อให้เขาไม่เคยเห็นยมทูตหรือผี ไม่เคยโดนเหตุการณ์เหนือธรรมชาติล้างสมอง ตอนนี้เขาก็ไม่ควรมีสภาพเป็นเช่นนี้ หน้าตาเหม่อลอย สายตาพร่าเลือน ผมเผ้าและหนวดเครารกรุงรัง ดูแล้วเหมือนคนเสียขวัญ
โจวเจ๋อมองไปที่จางเยี่ยนเฟิง เถ้าแก่โจวต้องการคำอธิบาย เขาสามารถสั่งให้นักพรตเฒ่านั่งเก้าอี้รถเข็นที่ร้องเพลงได้ออกไปกินลมข้างนอกได้ แต่เขาไม่อนุญาตให้คนอื่นมารังแกนักพรตเฒ่าเด็ดขาด
“คุณเข้าใจผิดแล้ว ตอนที่เจอในที่เกิดเหตุ เขานั่งอยู่หน้าประตู ถือมีดอยู่ในมือด้วยสภาพที่เป็นแบบนี้ ไม่มีการทารุณและบังคับให้รับสารภาพในสถานีตำรวจ ตรงจุดนี้ คุณสามารถวางใจได้ครับ”
โจวเจ๋อพยักหน้า
“นี่คือคำให้การก่อนหน้านั้น คุณลองดู” เหล่าจางยื่นบันทึกคำให้การให้โจวเจ๋อแล้วพูดต่อว่า “ตอนที่สอบสวนตำรวจถามอะไร เขาก็ตอบและให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี อธิบายรูปคดีได้อย่างชัดเจน ผู้ตายเป็นคนชราที่อาศัยอยู่ที่นั่นอายุหกสิบห้าปี ศพถูกพบอยู่ในตู้แช่เย็น ถูกตัดเฉือนตามร่างกายหลายจุด พวกเรายังเจอกับข้าวปรุงสุกที่เหลืออยู่ในถังขยะตรงห้องครัว จากการตรวจสอบ ยืนยันว่าเป็นเนื้อคนแน่นอน และเป็นเนื้อของผู้ตายด้วย”
โจวเจ๋อเปิดดูบันทึกคำให้การ บนบันทึกคำให้การ นักพรตเฒ่าเล่าขั้นตอนการก่อคดีของตัวเองทั้งหมด รวมทั้งการฆ่าคนอย่างไร จัดการศพอย่างไร ทำกับข้าวอย่างไร บอกออกมาเป็นฉากๆ อย่างละเอียด รวมถึงตอนที่กินข้าวดื่มเหล้าอะไรก็ยังพูด
“เขาพูดด้วยตัวเองทั้งหมดเหรอ” โจวเจ๋อถือบันทึกคำให้การแล้วถาม เหล่าจางพยักหน้า โจวเจ๋อโยนบันทึกคำให้การไปบนโต๊ะ โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย มองนักพรตเฒ่าแล้วพูดเบาๆ “นักพรตเฒ่า ยังจำได้ไหมว่าผมเป็นใคร”
นักพรตเฒ่าเงยหน้า มองซ้ายแลขวา แล้วจึงเงยหน้าและก้มหน้าอีกครั้ง สุดท้ายจึงแสยะยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “เจ้าเป็นเถ้าแก่” ขณะที่พูด นักพรตเฒ่ายิ้มมุมปาก แต่กลับมีน้ำลายไหลย้อยออกมา
“สติของเขามีปัญหา” โจวเจ๋อกล่าว
“เบื้องบนคิดว่าเขาพยายามใช้วิธีเช่นนี้เพื่อเอาตัวรอด”
“ถ้าหากเขาอยากเอาตัวรอด ทำไมต้องเล่าขั้นตอนการก่อคดีอย่างละเอียดยิบ” โจวเจ๋อย้อนถาม
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” เหล่าจางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า “ดังนั้นผมถึงร้อนใจรีบไปหาคุณ ผมรู้สึกว่าเกิดเรื่องที่ไม่ธรรมดากับตัวของนักพรตเฒ่า”
เมื่อได้ยินดังนั้น โจวเจ๋อจึงหลับตา พลางใช้นิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ “ช่วยปิดกล้องได้ไหม” โจวเจ๋อลืมตา มองไปที่กล้องที่อยู่เหนือศีรษะของเขา
“ไม่ได้ ตอนนี้ผมไม่ได้รับผิดชอบคดีนี้ครับ ผมจึงทำอะไรไม่สะดวก ถ้าหากปิดกล้องแล้ว จะมีคนของทีมสืบสวนเฉพาะกิจเข้ามาทันที”
นักพรตเฒ่ายังคงนั่งเหมือนคนโง่ เขาในเวลานี้ดูเหมือนคนแก่อายุเจ็ดสิบกว่าปีอย่างแท้จริง คนแก่อายุเจ็ดสิบกว่าปีที่เป็นโรคอัลไซเมอร์
“นักพรตเฒ่า เกิดเรื่องอะไรกันแน่ คุณไปเจอใคร บอกผมมา” โจวเจ๋อถามอีกครั้ง ขณะเดียวกันโจวเจ๋อก็กำหมัดแน่นอยู่ใต้โต๊ะ พลางคิดว่าเป็นสารเลวตัวไหนที่ทำให้นักพรตเฒ่าเป็นแบบนี้!
“หืม?” นักพรตเฒ่าเงยหน้าอย่างสงสัยอยู่บ้างแล้วหัวเราะ จากนั้นพูดด้วยความจริงใจ “ข้าฆ่าคน กินเนื้อคน ข้าทำผิดกฎหมาย ข้าอยากกินลูกปืน ข้าชอบกินลูกปืนมากที่สุด ลูกปืนอร่อย”
โจวเจ๋อมองนัยน์ตาของนักพรตเฒ่าอย่างละเอียด แต่มองไม่เห็นอะไรจากแววตาของนักพรตเฒ่า แต่มีสิ่งหนึ่งที่สามารถยืนยันได้ นักพรตเฒ่าไม่ได้ฆ่าคน
ถ้าหากเขาฆ่าคนคงไม่กล้าแสร้งเป็นคนบ้าใบ้ต่อหน้าโจวเจ๋อ เพราะนักพรตเฒ่ารู้ดี ถึงแม้เขาจะกินลูกปืนไปแล้วท้ายที่สุดเขาก็ต้องมารายงานตัวกับโจวเจ๋ออยู่ดี!
โจวเจ๋อรีบตัดสินใจโดยพลันแล้วเอ่ยว่า “คุณจัดการหน่อย เรียกทนายอันมาเจอกับนักพรตเฒ่า” สำหรับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับทางด้านจิตใจ อย่างเช่น การสะกดจิต ภาพลวงตาอะไรพวกนี้ โจวเจ๋อพอรู้บ้าง แต่ไม่ถนัดนำมาใช้งานและทำความเข้าใจ ดูจากสภาพของนักพรตเฒ่าในเวลานี้แล้ว ต้องให้ทนายอันออกโรงเท่านั้น
“จัดการยากหน่อยครับ” เหล่าจางพูด
“เหล่าจาง” โจวเจ๋อตะโกน
“อืม”
“เขาเป็นคนเป็น” โจวเจ๋อชี้ไปที่นักพรตเฒ่า “ในร้านหนังสือ คนที่ไม่ใช่คนไม่ใช่ผีมีเยอะมาก แต่นักพรตเฒ่ายังเป็นคนอยู่”
“ผมรู้”
“เขาเป็นประชาชนในสายตาของคุณ”
“ผมรู้”
“ผมจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับฐานะ แต่ให้มองว่าคุณเป็นคุณเมื่อก่อนนี้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าคนดีถูกใส่ร้ายต้องแบกรับความผิด คุณในฐานะตำรวจที่ยึดมั่นในความถูกต้อง คุณจะทำยังไง”
“เถ้าแก่ คุณไม่ต้องพูดเรื่องพวกนี้กับผม” เหล่าจางพูดอย่างขมขื่น “ผมรู้ว่าผมควรทำอะไร แต่ที่ผมลังเลคือผมพาคุณเข้ามาถือว่าผิดกฎระเบียบแล้ว แต่ยังพอให้เหตุผลได้ว่าคุณเป็นที่ปรึกษา ทำให้ทีมสืบสวนเฉพาะกิจว่าอะไรไม่ได้ แต่ถ้าพาทนายอันเข้ามา ผมอาจจะถูกทีมสืบสวนเฉพาะกิจปิดกั้น ถึงตอนนั้นฐานะของผมจะช่วยอะไรพวกคุณไม่ได้อีก”
“พาทนายอันเข้ามาพบเขา เรื่องนี้อยู่เหนือขอบเขตการจัดการของตำรวจอย่างพวกคุณแล้ว”
“ครับ” ในเมื่อเถ้าแก่ตัดสินใจแล้ว เหล่าจางจึงไม่พูดมากอีก
…
หลังจากสิบห้านาทีผ่านไป ทนายอันเดินเข้ามาในห้องสอบสวน จางเยี่ยนเฟิงกลับยืนอยู่หน้าประตูห้องสอบสวนคอยดูต้นทาง เพราะอีกไม่นานเบื้องบนก็จะรู้ตัว ดังนั้นจึงให้เวลาด้านในนานมากไม่ได้
ทนายอันเดินเข้ามามองนักพรตเฒ่าหนึ่งที ตอนแรกยังยิ้มอยู่ แต่จากนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาเริ่มหายไปอย่างช้าๆ กลายเป็นสีหน้าเคร่งขรึมเข้ามาแทนที่
ทนายอันนั่งลงยื่นมือโบกไปมาต่อหน้านักพรตเฒ่า “รู้จักผมไหม”
นักพรตเฒ่าพยักหน้า เอ่ยว่า “ทนายลามก”
ทนายอันขมวดคิ้ว
“โดนสะกดจิตหรือว่าโดนของ” โจวเจ๋อถาม
“โดนสะกดจิต” ทนายอันตอบ
“ตอนนี้แก้ไขได้ไหม” โจวเจ๋อชี้ไปที่สำเนาบันทึกคำให้การที่อยู่บนโต๊ะแล้วพูดว่า “ถ้าแก้ไม่ได้ เขาจะเป็นผู้ต้องหาในคดีนี้จริงๆ”
ทนายอันวางสองมือลงบนโต๊ะสอบสวนแล้วประสานมือไปมาไม่หยุด “เขาจำคุณได้ใช่ไหม”
โจวเจ๋อพยักหน้า
“โดยทั่วไปแล้ว การสะกดจิตจะมีผลกระทบต่อการตัดสินใจของบุคคลโดยผ่านการเปลี่ยนแปลงจากจิตใต้สำนึกนี่คือวิธีการขั้นสูง ถ้าเป็นวิธีการขั้นต่ำ จะใช้วิธีการครอบคลุม ครอบคลุมแนวความคิดเดิมของบุคคล แล้วแทนที่ด้วยแนวความคิดของคนใหม่ อย่างเช่น สะกดจิตให้คนกลายเป็นไก่ แต่ตอนนี้ความคิดความอ่านของเขาชัดเจนมาก สามารถจดจำผมกับคุณได้ แต่เขากลับเล่าเหตุการณ์ขณะที่ก่อคดี…” ทนายอันเปิดสมุดบันทึกคำให้การแล้วมองสองสามที
“นี่คือการพิสูจน์ว่า คนที่สะกดจิตเขา มีฝีมือที่ยอดเยี่ยมมาก”
“เป็นคนหรือผี” โจวเจ๋ออยากรู้จุดนี้มากที่สุด
“พูดยาก มีความเป็นไปได้สูงว่าไม่ใช่คน แต่ก็อาจจะเป็นคน คนที่เก่งแบบนี้ บางครั้งมีวิธีการสะกดจิตที่แปลกพิสดารจริงๆ ตอนนี้จึงวิเคราะห์ยาก ผมขอลองดูก่อน ดูว่าจะช่วยแก้อาการสะกดจิตของเขาได้ไหม” ทนายอันที่ชอบเก๊กหล่อและอวดเก่งมาตลอด ครั้งนี้กลับพูดจาถ่อมตัวเป็นอย่างมาก และยังพูดเน้นคำว่า ‘ลองดูก่อน’ อีกด้วย แสดงให้เห็นถึงสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงได้มากพอ กระทั่งอยู่เหนือการคาดการณ์ล่วงหน้าของโจวเจ๋อ
ทนายอันวางมือลง เอามือซ้ายของตัวเองซ่อนไว้ในแขนเสื้อ อย่างไรก็ตามที่นี่คือสถานีตำรวจและยังมีกล้องอีกด้วย จะทำอะไรต้องระวังหน่อย เนื้อมือซ้ายของเขาเริ่มหายไปช้าๆ กลายเป็นกระดูกสีขาวแทน จากนั้นหมอกสีชมพูที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าเริ่มฟุ้งกระจายออกมา ปกคลุมนักพรตเฒ่าช้าๆ มุดเข้าไปในตา หู จมูก และปากของนักพรตเฒ่า
นักพรตเฒ่าที่เดิมทีนั่งเหมือนคนโง่พลันตกตะลึงทันที จากนั้นเขาจึงนั่งตัวตรง อ้าปากแล้วหลับตา ทนายอันก็ค่อยๆ หลับตาเหมือนกัน แล้วเอ่ยว่า “นักพรตเฒ่า ลืมตา…”
…
“นักพรตเฒ่า ลืมตา!” ทนายอันก็ลืมตาเช่นกัน เขากำลังอยู่ในที่มืด แต่ไม่ช้าทุกอย่างที่อยู่โดยรอบเริ่มปรากฏออกมาช้าๆ ภายในทางเดินที่คับแคบ มีกำแพงที่เป็นคราบเก่าสกปรกอยู่รอบๆ
ทนายอันขมวดคิ้ว โดยทั่วไปแล้วเวลาที่เขาสะกดจิต จะชอบสร้างฉากเหมือนอยู่ในห้องส่วนตัวของคลับ เพราะที่นั่นทำให้คนรู้สึกสุขใจและสบาย แน่นอนว่า มีนักสะกดจิตบางคนชอบออกแบบให้อยู่ตามริมชายหาด จึงได้แต่พูดว่าความชอบของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ครั้งนี้ตัวเขากลับไม่ได้เป็นคนออกแบบเอง ซึ่งหมายความว่า คนที่ลงมือกับนักพรตเฒ่ามีความแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งถึงขั้นที่ทนายอันไม่สามารถดึงสติของนักพรตเฒ่าออกมา
เบื้องหน้าเป็นประตูบานหนึ่ง ทนายอันผลักประตูบานนั้น เขามองเห็นนักพรตเฒ่ากำลังนั่งขดตัวอยู่ตรงมุมห้อง ตัวสั่นงันงกไม่หยุด เขามีสีหน้าซีดขาว พ่นควันขาวออกจากปากไม่หยุด ตัวสั่นเทิ้ม
“นักพรตเฒ่า นักพรตเฒ่า!” ทนายอันร้องเรียก แต่นักพรตเฒ่ากลับไม่สนใจเขาและขดตัวอยู่ตรงนั้นต่อไป ต่อจากนั้นทนายอันจึงมองเห็นโต๊ะกินข้าวในห้องรับแขก มีนักพรตเฒ่านั่งอยู่ตรงนั้นเหมือนกัน นักพรตเฒ่าคนนั้นกำลังดื่มเหล้าพร้อมกับกินกับแกล้มไปด้วย และกำลังนั่งคุยกับอากาศที่อยู่ตรงข้ามตัวเอง พูดคุยอย่างสนุกสนานเป็นอย่างมาก ส่วนในห้องครัว นักพรตเฒ่าใส่ผ้ากันเปื้อน กำลังผัดผักกลิ่นหอมโชยไปทั่ว
ทนายอันเดินเข้าไปข้างใน ผลักประตูห้องห้องหนึ่ง ในนั้นเขาเห็นนักพรตเฒ่ายืนอยู่ข้างตู้แช่เย็น ถือมีดอยู่ในมือเหมือนกำลังหั่นอะไรอยู่แล้วพูดพึมพำกับตัวเองไปด้วย “เนื้อชิ้นนี้มันน้อยเกินไป ชิ้นนี้ไขมันเยอะกว่า ชิ้นนี้โอเค…” ทนายอันเดินไปข้างในต่อไป เดินมาข้างตู้แช่เย็น เขาก้มหน้ามองพบว่าคนที่นอนอยู่ในตู้แช่เย็น ที่แท้ก็คือนักพรตเฒ่า
“นักพรตเฒ่า คุณตื่นเร็วหน่อยได้ไหม” ทนายอันตะโกน พูดจริงๆ นะ ตอนนี้ทนายอันลนลานเล็กน้อย วิธีการสะกดจิตแบบนี้เขาเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก
นักพรตเฒ่าที่ยืนอยู่ข้างตู้แช่เย็นได้ยินดังนั้น จึงมองไปที่ทนายอันในทันใด ขณะเดียวกันได้ทำมือบอกให้ทนายอัน ‘เงียบ’ แล้วพูดด้วยความตื่นเต้นว่า “ชู่ เบาๆ หน่อย มันกำลังมองอยู่”
“ใครกำลังมองอยู่” ทนายอันถาม
นักพรตเฒ่าชี้ไปที่เหนือศีรษะ ทนายอันจึงเงยหน้ามองเพดานที่อยู่ด้านบนห้อง มีดวงตาเรียงรายกันแน่นขนัดโผล่พรวดออกมา ซึ่งเป็นฉากที่ทำให้คนเป็นโรคกลัวรูรู้สึกพังทลายได้เลยทีเดียว ดวงตาส่วนใหญ่ที่อยู่ในนี้ยังคงหลับตาอยู่เหมือนกำลังงีบหลับ มีเพียงดวงตาส่วนน้อยสองสามคู่ที่ปิดตาไม่สนิท…
………………………………………………………………………..