ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล – ตอนที่ 420 เด็กเลี้ยงแกะ

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

ตอนที่ 420 เด็กเลี้ยงแกะ?

‘ฟิ้ว…ฟิ้ว…ฟิ้ว’

ลมนอกหน้าต่างยังคงพัดผ้าม่านเอื่อยๆ คล้ายกับมีเงาดำเดินเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอก ใครยืนอยู่นอกหน้าต่างในตอนกลางคืนกันแน่นะ บางทีคนส่วนใหญ่อาจมีความคิดแบบนี้ตอนเด็กๆ และสงสัยในสิ่งที่คล้ายๆ กัน

จูเซิ่งหนานนอนลืมตาอยู่บนเตียง เธอมีห้องเป็นของตัวเอง มีเตียงใหญ่ มีตู้เสื้อผ้า มีโต๊ะเครื่องแป้ง เธอเป็นคนหนึ่งที่ฐานะทางครอบครัวเพียบพร้อม

หากทำสถิติตัวเลขของเพศหญิงที่ชื่อว่าเซิ่งหนาน[1]ทั่วทั้งประเทศจีน คงจะมีจำนวนมากจนน่าตกใจ

บรรดาผู้ปกครองเองอาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่ในตัวของชื่อนี้แฝงไปด้วยความเก็บกด แม้แต่เจ้าของชื่อนี้ก็ยังเกลียดชื่อของตัวเองโดยไม่รู้ตัว

ราวกับชาติกำเนิดของตัวเอง ราวกับเพศของตัวเอง สำหรับพ่อแม่และครอบครัวของตัวเองนั้นเป็นเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้ เป็นเรื่องจนปัญญาจำต้องยอมรับ อยากได้ลูกชายแต่กลับให้กำเนิดลูกสาว ตั้งชื่อว่า ‘เซิ่งหนาน’ อย่างไม่มีทางเลือก ถือว่าเป็นการ ‘หลอกตัวเอง’ ของพ่อแม่ผู้ปกครอง

เพราะการสร้างจริยธรรมและศีลธรรมของมนุษย์เรา ทำให้ตัวเองแตกต่างจากสัตว์เดรัจฉาน จึงหลุดพ้นจากลำดับของทุกสรรพสิ่งอย่างช้าๆ แต่ทุกสิ่งย่อมมีสองด้านเสมอ การบิดเบือนจริยธรรมและศีลธรรมมักกลายเป็นผลข้างเคียง และเริ่มทำร้ายตัวมนุษย์ด้วยกันเอง

ตอนนี้เป็นเวลาตีห้า จูเซิ่งหนานตื่นแต่เช้าตรู่ แต่ไม่รู้ว่าจะไปทำอะไรดี

ปีนี้เธออายุหกขวบแล้ว เดิมทีเธออยู่วัยที่ควรเข้าโรงเรียนอนุบาล ทว่าครอบครัวกลับไม่ให้เธอไปโรงเรียนอนุบาล แต่จ้างครูพิเศษมาสอนเธอที่บ้านแทน เธอไม่ได้ต่อต้าน และไม่รู้จะต่อต้านทำไม

เธอนอนไม่หลับ ฟ้าก็ยังไม่สว่าง เธอไม่ส่งเสียงดังเอะอะโวยวาย เธอมีบ้าน แต่แสงไฟในบ้านหลังนี้มืดมนไปหน่อย เธอไม่รู้ว่าเวลานี้ตัวเองจะทำอะไรได้บ้าง

ดูทีวีเหรอ

อ่านการ์ตูนเหรอ

ไปห้องพ่อแม่ของเธอแล้วมุดเข้าผ้าห่มไปอ้อนพวกเขาเหรอ

เธอเพียงแค่พิงหัวเตียงและนั่งอยู่อย่างนั้น นั่งจนฟ้าเริ่มสว่าง

ชั้นล่างมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา น่าจะเป็นคุณย่าของเธอที่ตื่นนอนแล้ว และกำลังเตรียมอาหารเช้าให้กับทุกคนในครอบครัว

เธอก็ลุกจากที่นอนแล้ว สวมเสื้อผ้า ล้างหน้าแปรงฟัน หลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อยก็ค่อยๆ เดินลงมาชั้นล่าง

“เซิ่งหนาน มาสิ กินข้าว”

“ค่ะ คุณย่า”

เซิ่งหนานไม่ได้ไปนั่งที่โต๊ะอาหาร แต่ยืนอยู่หน้าห้องเล็กๆ ตรงหัวมุมห้องนั่งเล่นแทน

คุณย่าเดินยกถาดมาแล้ว บนถาดมีโจ๊ก ชามและตะเกียบ

สิ่งที่เรียกว่าการกินข้าว ไม่ได้เป็นการเรียกให้หลานสาวของเธอมากินอาหารเช้าด้วยกัน ใครจะกินหรือไม่ก็แล้วแต่ ใครจะหิวหรือไม่ก็แล้วแต่ แต่จะติดค้างพระโพธิสัตว์ไม่ได้เด็ดขาด

คุณย่าบรรจงวางอาหารสำหรับถวายลงอย่างระมัดระวัง จัดวางเรียบร้อย จากนั้นก็คุกเข่าลงบนฟูกตรงหน้าก่อนจะก้มหัวกราบไหว้บูชา

เท่าที่จูเซิ่งหนานจำได้ คุณย่าไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ และไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อไรที่เริ่มนับถือ หลังจากคุกเข่ากราบไหว้เสร็จ คุณย่าก็ลุกขึ้น ยื่นมือไปคว้าข้อมือของจูเซิ่งหนานไว้

คุณย่าหยิบเข็มออกมา ปักเข้าไปในต้นแขนของจูเซิ่งหนานแล้วเจาะเลือดออกมาครึ่งหลอด จากนั้นคุณย่าก็ฉีดเลือดของหลานสาวลงในไส้ตะเกียงทันที

จูเซิ่งหนานไม่รู้ว่าคุณย่าไปเรียนรู้วิธีนี้มาจากไหน แต่เธอชอบมันมากเพราะเมื่อเทียบกับการเจาะเลือดแล้ว วิธีอื่นทำให้เธอรู้สึกทรมานมากกว่า

คุณย่าคุกเข่าลงอีกครั้ง เธอเริ่มคุกเข่ากราบไหว้อีกครั้ง แต่ว่าสิ่งที่เธอคุกเข่ากราบไว้ในคราวนี้คือภาพวาดด้านล่างโต๊ะบูชา ในภาพวาดมียมทูตสองตน ส่วนด้านหน้าเป็นเด็กผู้ชาย

ปากคุณย่าสวดมนต์ภาวนาพึมพำ เคร่งครัดในศาสนาเอามากๆ

จูเซิ่งหนานมองภาพวาดแผ่นนั้น เธอเคยเห็นภาพวาดนี้มานับครั้งไม่ถ้วน

ทั้งวันทั้งคืน ถ้าไม่ใช่คุณย่าถือแส้ ก็เป็นคุณพ่อถือก้นบุหรี่ หรือไม่ก็ให้เธอทุบตีตัวเองต่อหน้าภาพวาดแผ่นนี้ จุดประสงค์คือให้ยมทูตสองตนในภาพวาดนี้เห็น บอกว่าตราบใดที่เธอทำแบบนี้ คุณพ่อก็จะได้ลูกชาย

ถูกต้อง คุณพ่ออยากได้ลูกชาย คุณย่าก็อยากได้หลานชาย พวกเขาอยากได้เด็กผู้ชายแบบในภาพวาด ที่มีโครงสร้างท่อนล่างแตกต่างจากเธอ

จูเซิ่งหนานรู้ดีว่าตัวเองเป็นตัวละครส่วนเกินในบ้านหลังนี้โดยสมบูรณ์แบบ นับตั้งแต่เธอเกิดมาก็เป็นส่วนเกินมาตลอดจนถึงตอนนี้ เธอลืมไปแล้วว่าเธอเคยร้องไห้หรือเปล่า และจำไม่ได้ว่าเธอเคยโวยวายบ้างไหม ถ้านี่เป็นเมืองที่ถูกข้าศึกโอบล้อม อย่างนั้นก็คงไม่มีประตูให้คุณได้เข้าหรือออกโดยสิ้นเชิง คนนอกเมืองมองไม่เห็นข้างใน ส่วนคนในเมืองออกไปไม่ได้

มนุษย์เราไม่สามารถกำหนดได้ว่าตัวเองจะเกิดมาในครอบครัวไหน เมื่อได้เกิดมาแล้ว คุณก็จะไม่มีทางเลือก

พระโพธิสัตว์เสวยเสร็จแล้วก็ถึงตาคนกินบ้าง

จูเซิ่งหนานนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร คุณย่าตักโจ๊กให้เธอ บนโต๊ะยังมีพวกซาลาเปาและผักดอง รวมถึงไข่และนมยิ่งขาดไม่ได้

นอกจากในห้องเล็กๆ นั่น คุณย่าก็ดีกับเธอมาก ใส่ใจเรื่องกินของเธอ ใส่ใจเรื่องเสื้อผ้าของเธอ ห่วงใยเธอมาก เอาใจใส่เธอมาก คล้ายกับดูแลเอาใจใส่แก้วตาดวงใจของตัวเองอย่างสุดตัว จูเซิ่งหนานจำได้ คุณย่าเคยทำอาชีพเลี้ยงหมูมาก่อน ถึงส่งคุณพ่อไปเรียนมหาวิทยาลัยและหางานทำได้

คุณพ่อลงมาแล้ว เขานั่งที่โต๊ะ พลางยิ้มให้จูเซิ่งหนานแล้วถามว่า “พระโพธิสัตว์เสวยแล้วเหรอ”

“เสวยเรียบร้อยแล้ว” คุณย่าตอบ

“อืม” คุณพ่อกินอะไรง่ายๆ นิดหน่อย แล้วก็ลุกขึ้นจะออกไปทำงานแล้ว ก่อนจะออกไปคุณพ่อตั้งใจพูดขึ้นมา “คืนนี้ผมไม่กลับมานะ”

“อืม ไม่ต้องกลับมาหรอก”

จูเซิ่งหนานรู้ คืนนี้คุณพ่อจะไปอยู่ที่นั่นกับผู้หญิงคนอื่น เรื่องนี้คุณย่าก็รู้ เขาอยากได้ลูกชาย เธออยากได้หลานชาย สองแม่ลูกคู่นี้มีจุดประสงค์เดียวกัน

ท้องแรกคุณแม่คลอดออกมาก็เป็นเธอ ต่อมาตอนที่ทำอัลตราซาวด์ติดต่อกันสามครั้งก็ได้ลูกสาวและแท้งลูกทั้งหมด อันที่จริงก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว ทางรัฐออกกฎหมายมาว่าตอนที่ทำอัลตราซาวด์ห้ามแพทย์เปิดเผยเพศของทารก

แต่กฎระเบียบนั้นดีมาเสมอ ความตั้งใจเดิมของเบื้องบนดีมาโดยตลอด ทว่าสิ่งที่บังคับใช้กฎไม่ใช่เครื่องจักรแต่เป็นคน แม้ว่าจะออกกฎระเบียบมาเช่นนั้น แต่เมื่อรู้ว่าภรรยาของตัวเองตั้งครรภ์ลูกสาวก็วางแผนทำแท้งทุกปี จนนับครั้งไม่ถ้วนอย่างแน่นอน

บางทีนี่อาจจะเป็นความโชคดีอย่างหนึ่งเช่นกัน หากเด็กทารกเพศหญิงเหล่านั้นเกิดในครอบครัวประเภทที่รู้ว่าเป็นเพศหญิงก็คิดจะทำแท้ง อันที่จริงจากไปตั้งแต่เนิ่นๆ น่าจะดีกว่ามากจริงๆ รอกลับชาติมาเกิดอีกในครั้งต่อไป

ให้จบไปง่ายๆ ตั้งแต่แรก เมื่อเทียบกับความไม่ยุติธรรมและความทุกข์ทรมานที่พวกเธอจะต้องประสบพบเจอหลังจากเกิดมา ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรนัก

แต่จูเซิ่งหนานรู้ดีว่าคุณพ่อมีผู้หญิงมากหน้าหลายตาอยู่ข้างนอกนั่น ผู้หญิงหลายคนต่างก็ตั้งครรภ์แล้ว แต่ก็ยังเป็นลูกสาวอยู่ดี จึงทำแท้งไปหมดแล้ว

คุณพ่อเป็นทันตแพทย์ เขาปล่อยให้ผู้หญิงของตัวเองทำแท้ง เหมือนตัวเองถอนฟันให้คนไข้ออกไปง่ายๆ อย่างนั้น

การไม่มีลูกชาย จะคลอดลูกสาวอีกสักกี่คน มันก็ไม่มีความหมายสำหรับสองแม่ลูกคู่นี้ มันเป็นความหมกมุ่น เป็นความหมกมุ่นชนิดที่คนนอกคาดไม่ถึง

หลังจากคุณพ่อออกไปแล้ว คุณแม่ก็ลงมา ผมเผ้าของคุณแม่ยุ่งเหยิงเล็กน้อย และสภาพจิตใจก็ไม่ค่อยดี จูเซิ่งหนานกลัวแม่ของเธอนิดหน่อย โดยเฉพาะตอนที่เธอกับคุณแม่นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารร่วมกัน

‘เพล้ง!’

“ร้อนชะมัด!”

คุณแม่ถูกโจ๊กลวกปาก จึงปัดชามโจ๊กกระเด็น จนโจ๊กร้อนผ่าวหกใส่ตัวจูเซิ่งหนาน ตัวจูเซิ่งหนานสั่นเล็กน้อย ไม่ได้ตะโกนว่าปวดแสบร้อน กระทั่งไม่สนใจมันด้วยซ้ำ

เธอรู้ว่าคุณแม่ตั้งใจทำ คุณแม่ไม่ชอบเธอและเกลียดเธอ คุณแม่รู้สึกว่าตัวการที่ทำให้ครอบครัวของตัวเองเป็นแบบนี้ก็คือ จูเซิ่งหนาน ถ้าเธอเป็นเด็กผู้ชาย คุณแม่ก็จะยังมีครอบครัวที่แสนสุข

“เจ้าเด็กขยะนี่ เห็นแล้วน่าโมโหชะมัด!” คุณแม่หยิบตะเกียบขึ้นมาและฟาดไปที่จูเซิ่งหนาน จูเซิ่งหนานก็นั่งอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับตัวและยอมให้แม่ประทุษร้ายโดยดี

ฟาดไปเถอะ แม้ถูกตะเกียบฟาดตามเนื้อตัวจะเจ็บปวด แต่มันก็ดีกว่าหยิบก้นบุหรี่มาจี้ หยิบกรรไกรและมีดมากรีดเนื้อตัวเธอ แค่นี้มันเรื่องเล็กน้อย

คุณย่าก็นั่งอยู่ตรงนั้นและเคี้ยวซาลาเปาในปากเงียบๆ คุณย่าในเวลานี้ก็คล้ายกับเจี่ยหมู่จากเรื่องความฝันในหอแดง[2] ทำตัวสูงส่งมองดูการทะเลาะวิวาทด้านล่าง

หลังอาหารเช้าจบลง คุณแม่ก็ขึ้นไปชั้นบนอีกครั้ง การแท้งลูกติดต่อกันสามครั้ง ทำให้เธอไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีก มันกระทบจิตใจของเธออย่างมาก ทำให้เธอเอาแต่ขังตัวเองอยู่ในบ้าน แต่คุณแม่เองก็รู้ว่า สามีของเธอยังอยู่กับผู้หญิงคนอื่นข้างนอกนั่น ตั้งใจทำงานอย่างหนักเพื่อให้ได้ลูกชาย

เมื่อคนดูละครทีวี มักจะรู้สึกว่ามันไร้สาระทั้งเพ และมักจะรู้สึกว่าเรื่องแบบนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นจริงแน่นอน แต่ในความเป็นจริงแล้ว เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงทั้งหมดยิ่งกว่าละครทีวีด้วยซ้ำ ขีดจำกัดหลายๆ อย่างของมนุษย์ บ้าคลั่งและ น่ากลัวยิ่งกว่าศิลปะการแสดงพวกนั้นหลายเท่า

ครูสอนพิเศษมาแล้ว กลางวันก็เอาแต่เรียน รอจนถึงตอนเย็น ครูสอนพิเศษกลับไปแล้ว คุณย่าก็ตะโกนเรียกเธอ “ได้เวลากินข้าวเย็นแล้ว”

จูเซิ่งหนานลงมาแล้ว เธอยืนอยู่หน้าห้องเล็กนั่นอย่างเชื่อฟัง

คุณย่าเปิดประตูและเดินเข้าไป มีดปรากฏอยู่ในมือของคุณย่า และคุณย่าก็ขอให้เธอถอดเสื้อผ้าออก ได้แผลเพิ่มขึ้นบนตัวอีกแผล เลือดสดๆ เริ่มไหลรินออกมา

คุณย่าคุกเข่าลงบนพื้นและเริ่มร้องไห้ กอดเธอไปร้องไห้ไป

“หลานสาวผู้โชคร้ายของข้า ขอเทพยดาทั้งหลายทรงเบิกเนตร หลานสาวผู้น่าสังเวชของข้า แก้วตาดวงใจของข้า…”

คุณย่ามักจะร้องไห้ เธอคิดว่าว่า หากอาศัยการร้องไห้จะสามารถทำให้พระโพธิสัตว์และยมทูตทั้งสองในภาพซึ้งใจได้

มันก็เหมือนการร้องไห้ในงานศพตามชนบท ก่อนจะเข้าไปพวกสะใภ้ยังพูดคุยหัวเราะคิกคักกันอยู่เลย แต่จู่ๆ ก็ร้องไห้ราวกับ ‘โลกแตกสลาย’ ได้ทันที คุณย่าก็น่าจะสืบทอดทักษะนี้มาด้วยเช่นกัน

คุณย่าบอกว่าพระโพธิสัตว์ยุ่งมาก ถ้าเธอไม่ตะโกนให้ดังกว่านี้ พระองค์ก็จะได้ยินไม่ชัด ถ้าพระองค์ได้ยินไม่ชัดก็จะไม่สนใจ

จูเซิ่งหนานมองคุณย่าที่คุกเข่าและกอดเธออยู่บนพื้นสลับกับมองไปข้างหน้า ทันใดนั้นเธอมองเห็นคนทั้งสองในภาพวาดเหมือนจะขยับเล็กน้อย ใช่ พวกเขาขยับเล็กน้อย และหนึ่งในนั้นดูเหมือนจะส่งยิ้มให้เธอด้วย เธอจึงรีบตะโกนทันที

“คุณย่า คนในภาพวาดขยับค่ะ”

เธอมีความสุข กระทั่งกระโดดด้วยความดีใจ บางทีตอนที่คุณพ่อกับคุณย่าทำพิธีสำเร็จแล้ว เธอก็จะหลุดพ้นจากชีวิตที่ตายด้านนี้ได้ใช่หรือไม่

สิ่งที่ทำลายยากที่สุดและฆ่าได้ยากที่สุดมักจะเป็นความเพ้อฝัน

‘เพียะ!’

คุณย่าตบหน้าจูเซิ่งหนานไปฉาดหนึ่งแล้วดุด่า

“นังเด็กบ้านี่ แกหลอกใคร! พูดจาเหลวไหลอะไร!”

…………………………………………

[1] เซิ่งหนาน มีความหมายว่า เหนือกว่าผู้ชาย

[2] เจี่ยหมู่ มีศักดิ์เป็นย่าของเจี่ยเป่าอี้ ตัวละครหลักของเรื่องความฝันในหอแดง เป็นสตรีตรงตามแบบขนบธรรมเนียมประเพณีจีนในช่วงนั้น ที่ตระกูลสูงส่งมั่งคั่งมากมี และยังเป็นคนให้หลินไต้อวี้หลานสายนอกของตนเข้ามายังในตระกูลจนได้พบรักกับเจี่ยเป่าอี้อีกด้วย

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

Status: Ongoing
หลังจากการตายที่ไม่คาดคิด สิ่งที่เขาได้รับคือ ตัวตนใหม่ ร้านหนังสือใกล้เจ๊ง และตำแหน่งยมทูตจำเป็น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท