ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล – ตอนที่ 438 อีกนิดเดียว อีกแค่นิดเดียว!

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

ตอนที่ 438 อีกนิดเดียว อีกแค่นิดเดียว!

ที่ด้านนอกศูนย์รับซื้อของเก่า มีขยะรีไซเคิลกองอยู่มากมาย และถูกแยกออกเป็นหมวดหมู่ ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย ส่วนด้านในมีเพิงที่พักสร้างขึ้นมาแห่งหนึ่ง มีอยู่สี่ห้องด้วยกัน

ด้านนอกมีเคาน์เตอร์ที่วางเตาแก๊สอยู่มันเป็นที่สำหรับเอาไว้ทำอาหาร ในเวลานี้ผู้หญิงในวัยสี่สิบห้าสิบปีคนหนึ่งกำลังยืนผัดผักอยู่ตรงนั้น เห็นได้ชัดว่าฝีมือการทำอาการของเธอไม่เลวเลย ผัดผักได้ช่ำชองมาก และเห็นได้ว่าเธออารมณ์ดี แถมยังฮัมเพลงพื้นบ้านอีกด้วย

ชายชราหลังค่อมกำลังนั่งยองๆ อยู่บนธรณีประตู และคาบบุหรี่ไว้ในปากพร้อมทั้งสูบ ‘ฟืดฟาด’ ตลอดเวลาจนตอนที่มันไหม้ใกล้จะหมดมวนถึงค่อยยอมทิ้งมัน ใต้ฝ่าเท้าเต็มไปด้วยก้นบุหรี่เรี่ยราดอยู่เต็มพื้น

“ร้องอยู่ได้ น่ารำคาญชะมัด” ชายชราหลังค่อมบ่น

“ไม่ได้ร้องให้คุณฟังเสียหน่อย คุณอารมณ์เสียเรื่องอะไรกัน”

ผู้หญิงคนนั้นเอี้ยวตัวของเธอ หน้าตางั้นๆ อายุก็มากแล้ว แต่ยังมีแรงให้ท่าได้ตามปกติ

“ของขายไม่ได้ ยังมีอารมณ์ร้องเพลงอีกเหรอ” ชายชราหลังค่อมถามด้วยความสงสัยเล็กน้อย “ครั้งนี้รวบรวมมาได้ตั้งมากมาย หากว่าขายไม่ออกก็เสียเปล่าน่ะสิ”

“เสียเปล่าก็เสียไปสิ หลายปีมานี้คุณหาเงินได้ไม่พออีกเหรอ” ผู้หญิงคนนั้นเหลือบมองชายชราหลังค่อมด้วยสายตาดูถูก “ลูกชายคนโต คนกลาง และคนเล็กของคุณแต่งเมียไปหมดแล้วนะ แถมสร้างบ้านใหม่ในหมู่บ้านอีกต่างหาก คุณมีทุนพอแล้ว ถ้าขายไม่ออกจริงๆ คุณก็ถือโอกาสเอากลับไปอุ่นเตียงให้ตัวเองสักคนเลยสิ”

“ฮึ จะเอาผู้หญิงพวกนั้นน่ะ สู้เอาเธอไปเลยดีกว่า” ชายชราหลังค่อมด่า

“คุณนี่มันเป็นไอ้แก่ใจดำจริงๆ ตอนที่ฉันอายุสิบเจ็ดปีก็เคยถูกลักพาตัวไปขายรอบหนึ่งแล้ว คุณยังคิดจะลักพาตัวฉันไปขายรอบที่สองอีกหรือไง”

“ผมว่าพวกผู้หญิงร่านๆ อย่างคุณ ตอนแรกที่ตัวเองถูกลักพาตัวก็ร้องห่มร้องไห้จะเป็นจะตาย แต่พอทำอาชีพนี้เป็นแล้วในตอนนี้กลับไร้เมตตาเสียนี่”

เห็นได้ชัดว่าชายชราหลังค่อมรู้เส้นสนกลในและยังรู้กิตติศัพท์ของผู้หญิงคนนี้ดีอีกด้วย เธอโลดแล่นอยู่ในพื้นที่มาเป็นเวลานาน แถมยังมีชื่อเสียงและถูกเรียกว่า ‘แม่สื่อ’ ถ้าหาภรรยาตบแต่งไม่ได้ก็มาหาเธอ เธอจะบันดาลให้คุณเอง

“ทำไม ไม่ได้หรือไง คนเราเกิดมาก็มีปากแล้ว ฉันไม่ต้องกินข้าวหรือไง” ผู้หญิงคนนี้ยกอาหารขึ้นมา “เสร็จแล้ว รอพี่เหล่าซานกลับมาพวกเราก็กินข้าวกัน ฉันจะเอาไปส่งให้คนข้างในก่อน”

“อืม มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ฉันไม่เคยเข้าใจเลย” ชายชราหลังค่อมยื่นมือไปคว้าแขนของผู้หญิงคนนี้เอาไว้และถามขึ้น “หลอกเด็กวัยรุ่นโง่ๆ บางคนออกมามันง่ายกว่าตั้งเยอะ ทำไมครั้งนี้พี่เหล่าซานจะต้องดึงดันจับสาวน้อยในเมืองมาด้วย แล้วกล้องวงจรปิดในเมืองก็มีเยอะฉิบหายเลย มันเสี่ยงเกินไปแล้วมั้งเนี่ย อีกอย่างยังเป็นเด็กน้อยหน้าตาดีและมีภูมิหลังดีเป็นพิเศษอีกต่างหาก นี่มันไม่ใช่การหาเหาใส่หัวหรือไง”

“พี่ซานจะต้องมีวิธีของเขาแน่ๆ คุณจะรีบร้อนไปทำไม ว่าแต่คุณล่ะ เมื่อวานแอบหาที่ลับๆ เสนอขายสาวน้อยเข้าคลับเองด้วยซ้ำ แต่ยังดีที่พวกเขาไม่รับน่ะ คุณไม่เห็นดวงตาแดงๆ ตอนที่พี่ซานกลับมาแล้วพบว่าสาวน้อยหายไปสินะ”

“แดงแล้วไงล่ะ” ชายชราหลังค่อมพูดอย่างมีน้ำโห “สาวน้อยคนนี้ทำให้มือเท้าแปดเปื้อนไปแล้ว ถ้าเราลงมือเร็วภาระก็คงจะน้อยลงสักหน่อย เดินอยู่ริมแม่น้ำมาตั้งนาน รองเท้าก็เปียกโชกอีกต่างหาก ขาดทุนชะมัด!”

“เมื่อวานพี่ซาน…” ผู้หญิงคนนั้นลดเสียงลงและกระซิบกับชายชราหลังค่อม “ร้อนใจเสียจนอยากจะฆ่าคนจริงๆ”

ชายชราหลังค่อมตื่นตระหนกและเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย “ไม่ใช่หรอกมั้ง ฉันไม่ได้ขายเพื่อจะฮุบเงินเองนี่นา นี่มัน…”

“เด็กผู้หญิงคนนี้สำคัญต่อพี่ซานมาก คุณไม่จำเป็นต้องคิดถึงเรื่องอื่นแล้ว นี่เป็นออเดอร์ชุดสุดท้ายแล้ว เมื่อทำเสร็จเรื่องแล้วทั้งคุณและฉันก็เตรียมเกษียณอายุได้เลย ฉันเตือนคุณเลยนะ อุตส่าห์ระวังตัวมาทั้งชีวิต ไม่เคยถูกตำรวจจับ อย่าต้องมาตายด้วยน้ำมือของคนกันเองเลย อย่าเห็นว่าปกติพี่ซานเป็นคนยิ้มแย้มและดูพูดคุยง่ายกับทุกคน แต่ฉันได้ยินมาว่าช่วงปีแรกๆ มือพี่ซานน่ะแปดเปื้อนชีวิตผู้คนมามากมายเชียวนะ”

ชายชราหลังค่อมพยักหน้าบ่งบอกว่าเขาเข้าใจแล้ว พลางสูบบุหรี่ของตัวเองไปเงียบๆ จุดไฟแช็กสองสามครั้งแต่ก็จุดไม่ได้เพราะมือสั่นเทา

ผู้หญิงคนนั้นเหลือบมองชายชราหลังค่อมที่ดูตื่นตระหนกและหวาดกลัว พลางกลอกตาและยกอาหารเข้าไปในบ้าน

ในบ้านมีอยู่สามคน ผู้ใหญ่สองคน เด็กหนึ่งคน ผู้ใหญ่ทั้งสองคนอายุประมาณยี่สิบปี ถูกมัดมือมัดเท้าและถูกปิดปากแน่น หลังจากเห็นคนเข้ามาแววตาก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและขอร้องอ้อนวอน

ผู้หญิงคนนั้นส่งเสียง ‘หึ’ แล้วเอาอาหารวางไว้ตรงหน้าพวกเธอพร้อมกับพูดขึ้น

“เดี๋ยวจะปล่อยให้พวกแกกินข้าว พวกแกอย่าแหกปากโวยวายเชียวนะ ที่นี่มันนอกตัวเมือง แกตะโกนจนคอแตกก็ไม่มีใครได้ยินหรอก! เจ๊เองก็เคยผ่านมันมาก่อน ผู้หญิงน่ะ ใช้ชีวิตอยู่กับใครก็เป็นการใช้ชีวิตเหมือนกันไม่ใช่เหรอ

ถึงยังไงเรื่องมันก็มาถึงขนาดนี้แล้ว อะไรที่พวกแกควรจะร่วมมือก็ร่วมมือซะ ถ้าไม่ร่วมมือก็ต้องร่วมมืออยู่ดี พอส่งมอบถึงมือคนอื่นแล้ว พวกแกก็เชื่อฟังด้วยล่ะ จะได้ลำบากน้อยลงหน่อย ถึงเวลานั้นก็คลอดลูกสักสองคนให้เขาไป ใช้ชีวิตให้ผ่านไปทั้งอย่างนี้แหละ ถึงจะอยากกลับไปเยี่ยมบ้านมันก็ไม่ได้ไม่ใช่เหรอ แต่ว่าพวกแกอย่าโวยวายเด็ดขาด ไม่งั้นเจ๊จะฉีกลิ้นพวกแกเข้าให้! แผนการพวกนั้นในใจของพวกแกน่ะ เจ๊รู้ดีหรอกย่ะ!”

ขณะที่พูด ผู้หญิงคนนั้นก็ดึงผ้าที่ยัดปากหญิงสาวทั้งสองออก หญิงสาวทั้งสองไม่รีบกินข้าว แต่กลับร้องไห้และอ้อนวอนผู้หญิงคนนั้นให้ปล่อยพวกเธอไป

“พวกโง่ไม่มีสมอง เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้วยังจะร้องไห้อ้อนวอนอยู่ได้ พวกแกไม่กินใช่ไหม ไม่กินก็อย่ากินมันเลย!”

ผู้หญิงคนนั้นออกแรงกระชากผมของพวกเธอ และทึ้งศีรษะของพวกเธอขึ้น พลางยัดผ้ากลับเข้าไปในปากของหญิงสาวทั้งสองคนอีกครั้ง ถึงอย่างไรก็ไม่อดตายภายในสองวันนี้หรอก แถมไม่ต้องกังวลเรื่องการขายหญิงสาวสองคนนี้ พี่ซานออกไปตกลงพูดคุยแล้ว คาดว่าช่วงบ่ายก็คงจะส่งคนไปถึงที่นั่น

ขอเพียงแค่ทิ้งไว้ที่หมู่บ้านแบบนั้น มันก็เป็นโลกอีกใบหนึ่งไปแล้ว แม้ว่าตำรวจจะทราบและอยากจะช่วยเหลือก็ยากแล้ว หมู่บ้านทั้งสองแห่งนั้นผู้หญิงคนนี้รู้ดี หญิงสาวค่อนครึ่งหมู่บ้านล้วนถูกลักพาตัวเข้าไปทั้งนั้น เด็กและผู้ใหญ่ทั้งหมู่บ้านร่วมแรงร่วมใจกันในเรื่องนี้อย่างมาก จับตามองผู้หญิงเหล่านี้ด้วยกัน และไม่มีทางที่จะปล่อยให้ผู้หญิงคนใดในครอบครัวหนีไปได้เด็ดขาด พยานหลักฐานที่เป็นมนุษย์ตัวเป็นๆ ออกมาไม่ได้ พวกค้ามนุษย์อย่างพวกเขาก็ปลอดภัย

ผู้หญิงคนนั้นเดินไปอีกมุมหนึ่ง เด็กผู้หญิงบอบบางคนหนึ่งถูกมัดมือทั้งสองข้างนั่งอยู่ตรงนั้น แววตาของเด็กผู้หญิงเต็มไปด้วยความสับสนและหวาดกลัว

“มา นี่ให้เธอกิน” ผู้หญิงคนนั้นยื่นหมั่นโถวออกไป

หวังหรุ่ยรับเอาหมั่นโถวก้อนนี้มา กระทั่งพยักหน้าอย่างไม่รู้ตัวพลางพูด ‘ขอบคุณ’ จากนั้นเอาหมั่นโถวเข้าปากและกัดไปหนึ่งคำ ยังไม่ทันเคี้ยว หยาดน้ำตาใสๆ ก็เริ่มคลอในดวงตา

ผู้หญิงคนนี้มองดูท่าทางที่น่าสงสารของเด็กผู้หญิงและไม่รู้ว่าทำไม เธอที่เป็นคนจิตใจหยาบกระด้างคนหนึ่งคิดไม่ถึงว่าจะใจอ่อนลงไม่น้อย แต่เธอก็ถนัดในการกำจัดความรู้สึกใจอ่อนแบบนี้ทิ้งไปมานานแล้ว

ตอนที่เธอยังสาวๆ ถูกลักพาตัวขายเข้าไปในหุบเขา หลังจากหลบหนีออกมาอย่างยากลำบากได้ในที่สุด คนในครอบครัวกลับไม่ต้องการเธอแล้ว พร้อมกับขังเธอเอาไว้นอกบ้าน รังเกียจหาเธอว่าทำให้อับอายขายขี้หน้า!

คนอื่นทำกับเธอได้ ทำไมเธอจะทำกับคนอื่นไม่ได้ล่ะ

“กินอย่างเชื่อฟัง ไม่โวยวายก็พอแล้ว” ผู้หญิงคนนั้นวางหมั่นโถวเอาไว้อีกสองก้อนแล้วลุกขึ้นเดินออกไป

ในห้องเหลือเพียงผู้ใหญ่สองเด็กหนึ่งอีกครั้ง ผู้ใหญ่สองคนยังร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุด

หวังหรุ่ยนั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ และถือหมั่นโถวไว้ในมือ เธอกลัวมาก กลัวมากจริงๆ เธอไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ราวกับความฝันอันยาวนาน แต่พอตื่นจากฝันเธอกลับถูกคนมัดเอาไว้ที่นี่

ในเวลานี้ ถ้าหากมองอย่างละเอียดละก็ จะพบว่ามีมวลสีดำบางอย่างกะพริบอยู่ในส่วนลึกของดวงตาหวังหรุ่ยอย่างต่อเนื่อง คล้ายกับมีอะไรบางอย่างภายในต้องการจะพุ่งออกมา แต่พยายามอยู่หลายครั้งและล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นกัน สิ่งนี้ทำให้รูม่านตาของหวังหรุ่ยดำมืดไปชั่วครู่แล้วกลับมาเป็นปกติ

สิ่งที่สอดคล้องกับเรื่องนี้ นั่นก็คือรูปปั้นพระโพธิสัตว์ที่วางอยู่ในกองสิ่งของกระจุกกระจิกและเสื้อผ้าบนโต๊ะกลางห้อง หรือก็คือรูปปั้นที่มีเลือดหมาดำเปื้อนอยู่ตรงฐานชิ้นนั้น อันที่จริงแล้วรูปปั้นสั่นไหวและเขย่าไปมาเบาๆ ไม่หยุด เพียงแต่การสั่นมันเบาบางมาก เบาเสียจนถ้าไม่ทันสังเกตดีๆ ก็จะมองไม่ออก ในที่สุดรูปปั้นก็เขย่าโยกเยกไปจนถึงขอบโต๊ะ และกำลังจะหล่นลงมาในอีกไม่ช้า

สีสันในดวงตาของหวังหรุ่ยเริ่มปั่นป่วนมากขึ้น แต่ตัวหวังหรุ่ยเองกลับไม่รู้สึกอะไรเลย หลังจากกัดหมั่นโถวแล้วก็กัดคำต่อไปทันที เธอจำคำของพ่อที่พูดกับตัวเองได้ว่า เมื่อเจออันตรายและคนชั่วควรเรียนรู้ที่จะปกป้องตัวเอง เอาแต่ร้องไห้อย่างเดียวนั้นไม่มีประโยชน์

ในเวลานี้มีเพียงการอาศัยจินตนาการถึงพ่อของเธอเท่านั้น ถึงจะทำให้ตัวเองไม่ลุกลี้ลุกลนจนสูญเสียสติของตัวเองไป ไม่ใช่ว่าหวังหรุ่ยมีสภาพจิตใจดีกว่าหญิงสาวอายุมากกว่าอีกสองคน แต่เป็นเพราะหวังหรุ่ยยังเด็ก รู้น้อย และคิดน้อย เธอยังเชื่อว่าอีกไม่นานพ่อของเธอก็จะหาเธอจนเจอ

ในอีกมุมหนึ่ง เงาของหวังหรุ่ยเริ่มกระสับกระส่ายไปมา ราบกับว่ามีคนถูกขังอยู่ข้างในและพยายามดิ้นรนอย่างหนักเพื่อจะออกไป ในที่สุดรูปปั้นพระโพธิสัตว์ใกล้จะร่วงลงมาแล้ว อีกนิดเดียว อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น!

ตอนนี้เอง ประตูถูกเปิดออกอีกครั้ง ชายชราคนขับรถที่ยิ้มแย้มให้ทุกคนและเมื่อวานเพิ่งจะดื่มเหล้าคุยโม้กับนักพรตเฒ่าเดินเข้าไป ชายชรายังสวมแว่นตากันแดดอีกด้วย

หลังจากเดินเข้ามา เขาเหลือบมองหญิงสาวสองคนที่โตกว่าหน่อย แต่ไม่ได้พูดอะไร จากนั้นเขาเดินไปที่มุมผนัง มองหวังหรุ่ยที่กำลังสะอึกสะอื้นและกัดหมั่นโถวอยู่

“ใช่แล้ว ของที่ควรกิน” ชายชราโน้มตัวยื่นมือไปลูบหัวของหวังหรุ่ย เขาสัมผัสได้ถึงแรงสั่นจากหวังหรุ่ยตอนที่เขาวางมือไว้บนหัวของเธอ

“ไม่ต้องกลัว ปู่ชอบเด็กน้อยที่เชื่อฟังที่สุดเลยละ คืนนี้จะพาหนูไปเจอพ่อกับแม่ของหนู หนูกินข้าวอย่างเชื่อฟัง อย่างอแงนะ รู้หรือเปล่า”

หวังหรุ่ยพยักหน้าเงียบๆ เธอรู้ว่าตัวเองต้องกินอาหาร ไม่อย่างนั้นจะหิวแย่ หิวแล้วก็จะไม่มีแรง ตอนที่พ่อหาเธอเจอแล้ว เธอจะไม่มีแรงเดิน

ชายชราร้อง ‘เอ๊ะ’ เบาๆ แล้วนั่งลงมา พลางจับใบหน้าของหวังหรุ่ย และมองเข้าไปในดวงตาของเธอ เมื่อครู่นี้ดูเหมือนว่าเขาจะเห็นแสงอะไรแวบๆ ในดวงตาของหวังหรุ่ย แต่หลังจากดูดีๆ แล้วกลับพบว่ามันไม่มีอะไรเลย

เขาคงตาลายแล้วละมั้ง เฮ้อ อายุมากแล้ว สงสัยจะต้องเกษียณจริงๆ แล้วสินะ

ชายชราคนขับรถยืนขึ้น เตรียมจะออกไปกินข้าว เขาหาครอบครัวที่จะซื้อขายหญิงสาวทั้งสองคนได้แล้ว ช่วงบ่ายจะจัดส่งไปให้ อีกทั้งติดต่อครอบครัวที่จะซื้อขายเด็กผู้หญิงคนนี้เรียบร้อยแล้ว คืนนี้เขาจะไปส่งให้ด้วยตัวเอง

พวกเขาให้เงินมัดจำล่วงหน้ามาแล้ว เจาะจงชัดเจนว่าอยากได้เด็กผู้หญิงในเมืองสไตล์ฝรั่งๆ และสะอาดสะอ้าน ให้ราคาสูง เมื่อได้เงินมัดจำบวกกับเงินงวดสุดท้าย เขาก็สามารถเกษียณได้จริงๆ แล้ว

เมื่อเดินออกมาข้างนอกและผ่านโต๊ะตัวนั้น เห็นว่ารูปปั้นพระโพธิสัตว์ถูกวางอยู่ตรงขอบโต๊ะจนดูเหมือนจะร่วงตกได้ทุกเมื่อ ชายชราจึงหยิบรูปปั้นขึ้นมาวางลงกลางโต๊ะเหมือนเดิม จากนั้นก็ปัดมือและผลักประตูเดินออกไป

หลังจากชายชราออกไปแล้ว เสียงคำรามเงียบๆ ที่คนทั่วไปไม่ได้ยินเริ่มก้องกังวานอยู่ในห้อง ทั้งโกรธจัดและบ้าคลั่งมาก อีกแค่นิดเดียว อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น!!!

…………………………………………………………….

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

Status: Ongoing
หลังจากการตายที่ไม่คาดคิด สิ่งที่เขาได้รับคือ ตัวตนใหม่ ร้านหนังสือใกล้เจ๊ง และตำแหน่งยมทูตจำเป็น

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท