ตอนที่ 452 ท่านสี่เคลียร์พื้นที่
“พี่อัน พายุจะมาแล้ว ข้าเสี่ยวซื่ออยู่ข้างล่างก็รู้สึกหวั่นใจนัก” ท่านสี่รู้สึกปลงอนิจจัง เงาหลังของเขาให้ความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย ราวกับแฝงไปด้วยความทุกข์และความกลัดกลุ้มใจที่ไม่อาจพูดออกมาได้
โจวเจ๋อรู้สึกเสียดายที่ท่านสี่ตายเร็วไปหน่อย ไม่อย่างนั้นถ้าเขาไม่ได้ไปแสดงละครคงเสียดายแย่ ฝีมือการแสดงยอดเยี่ยมกว่านักแสดงรุ่นเก่า หน้าตาก็หนุ่มแน่นวัยละอ่อน ต้องดังเป็นพลุแตกแน่นอน
ทนายอันหัวเราะ ลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ลมนี้ เคยหยุดด้วยเหรอ”
ท่านสี่ได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึง ไม่พูดอะไรอีก
ทนายอันหันมาพูดกับโจวเจ๋อ “เถ้าแก่ พวกเราไปกันเถอะ”
โจวเจ๋อลุกขึ้นเดินออกไปนอกศาลาพร้อมกับทนายอัน ระหว่างที่เดินก็คอยระวังหลังไปด้วย เพื่อป้องกันการโจมตีกะทันหันของท่านสี่ แต่ตอนที่พวกเขาเดินออกมาจนมองศาลาข้างหลังไม่เห็นแล้ว ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น
“ทำไมผมรู้สึกว่าเขายังรักคุณอยู่” โจวเจ๋อเอ่ยปาก เขาจะปล่อยพวกเขาทั้งสองคนไปแบบนี้จริงๆ เหรอ รู้สึกเหมือนไม่ใช่ความจริงอยู่บ้าง
“เหอะๆ” ทนายอันหัวเราะ ไม่พูดอะไร แต่ชี้นิ้วไปข้างหน้าแล้วตะโกนเสียงดัง “เถ้าแก่ อีกไม่ไกลก็ถึงทางเดินน้ำพุเหลืองแล้ว พวกเราพุ่งเข้าหาวัยหนุ่ม พุ่งเข้าหาความฝัน พุ่งเข้าหาอนาคต พวกเราพุ่งไปกันเถอะ!”
โจวเจ๋อรู้สึกว่าทนายอันยังปรับอารมณ์ได้ไม่ดีพอ ไม่อย่างนั้นด้วยระดับของเขาแล้วคงไม่พูดจาไร้สาระเหมือนตัวละครในการ์ตูนแบบนี้ เขาหันกลับไปมองอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีใครไล่ตามมา
ไม่ว่าท่านสี่จะปล่อยพวกเขาทั้งสองคนด้วยสาเหตุอะไรกันแน่ แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาได้ออกมาอย่างปลอดภัยถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างหนึ่ง
…
“ท่านสี่ ไม่ตามไปจริงหรือเจ้าคะ” ชุ่ยฮวาตัวอวบขาวหยิบมีดหั่นผักขึ้นมา นี่คือมีดที่หั่นผักดองเมื่อครู่ เธอไม่ค่อยเกลียดทนายอันเท่าไร แต่สำหรับโจวเจ๋อนั้นกลับเต็มไปด้วยความแค้นเคือง!
ท่านสี่เอามือไพล่หลัง เหมือนทอดมองออกไปไกล เอ่ยขึ้นมา “พวกนั้นไปแล้ว”
“ไปแล้วหรือเจ้าคะ” ชุ่ยอวาเอ๋อร์ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร
“ท่านสี่ พวกเขาไปแล้วจริงๆ หรือเจ้าคะ”
ท่านสี่ส่ายหน้า นั่งลงข้างโต๊ะอีกครั้ง ชุ่ยฮวาก็ตักน้ำแกงให้หนึ่งถ้วยด้วยความรู้ใจ ท่านสี่เป่าถ้วยน้ำแกงแล้วดื่มไปสองคำจึงวางถ้วยน้ำแกงแล้วเอ่ยว่า “ไม่ใช่พวกเขา แต่เป็นคนอื่น”
“แถวนี้มีคนอื่นด้วยหรือเจ้าคะ” ชุ่ยฮวาตกใจอยู่บ้าง เพราะเธอไม่รู้สึกถึงสิ่งใดเลย
“เจ้าอย่าดูถูกอันปู้ฉี่เกินไป” ท่านสี่หยิบตะเกียบขึ้นมาเลือกผักดองหนึ่งชิ้น ใส่ปากเคี้ยวอย่างช้าๆ “ดูถูกอันปู้ฉี่ ก็เท่ากับดูถูกข้า ไม่ว่ายังไง เขาก็เป็นคนสอนวิชาให้กับข้า”
“ชุ่ยฮวาเปล่าเจ้าค่ะ”
“ตอนนั้นเขาทำผิดหนีออกไป แต่ก็ยังใช้ชีวิตในโลกมนุษย์ได้เป็นอย่างดี แถมยังติดต่อกับสหายในอดีตได้อีกด้วย เมื่อกี้นี้ ข้ารู้สึกว่ามีสายตาของคนหลายกลุ่มกำลังจ้องมองมาที่นี่ตลอดเวลา ทันทีที่ข้าลงมือกับอันปู้ฉี่ พวกเขาก็อาจจะโผล่หน้าออกมา”
“อาจจะหรือเจ้าคะ”
“อืม อาจจะไม่โผล่หน้าออกมาก็ได้ พวกเขาคงอยากจะให้อันปู้ฉี่ตายมากกว่าข้า แต่ข้าไม่อยากเดิมพัน” สายตาของท่านสี่มองไปยังทิศทางที่โจวเจ๋อกับทนายอันเดินออกไปด้วยสายตาลึกล้ำ
“แต่มิตรภาพที่เกิดจากการติดหนี้น้ำใจแบบนี้ ใช้ครั้งเดียวก็หมดแล้ว คนพวกนั้นก็ไม่ได้เปิดโรงทานเสียหน่อย ครั้งนี้ก็แค่อยากปล่อยเขาไปเท่านั้น”
“จริงๆ แล้วเป็นเพราะท่านสี่ไม่อยากฆ่าเขาใช่ไหมเจ้าคะ”
“ฆ่าหรือไม่ฆ่าเขา ต้องดูว่ามีข้อดีอะไร” เมื่อพูดจบ ท่านสี่ก็วางตะเกียบแล้วเดินออกจากศาลาไป
“ท่านสี่ รอชุ่ยฮวาเดี๋ยวเจ้าค่ะ ขอเก็บของก่อน” ท่านสี่ไม่รอชุ่ยฮวา มัวแต่เดินไปข้างหน้าลูกเดียว ไม่ช้าชุ่ยฮวาก็ตามมาทันพร้อมกับแบกเตาร้อนๆ รวมทั้งชาม หม้อ บวกกับโต๊ะและเก้าอี้ขนาดเล็กไว้บนหลัง
ท่านสี่เดินมือเปล่า ชุ่ยฮวากลับแบกของสูงเป็นภูเขา ทุกย่างก้าวของท่านสี่สามารถเดินออกไปได้ไกลมาก ชุ่ยฮวาเดินได้ไม่ไกลขนาดนั้น แต่เธอเดินเร็ว เหมือนกับเป็นมอเตอร์ติดตัวขนาดเล็กตามท่านสี่ไปติดๆ โดยที่หน้าไม่แดง ไม่หายใจหอบ เธอมีร่างกายแข็งแรง เลี้ยงเธอด้วยผักดองจนตัวสูงใหญ่และผิวขาวขนาดนี้ มีประโยชน์มากจริงๆ
ขณะที่เดินไปเรื่อยๆ ในที่สุดท่านสี่ก็หยุดเดิน เบื้องหน้าเป็นซากปรักหักพังของศาลาริมน้ำแห่งหนึ่ง ชุ่ยฮวาจึงหยุดเดินเช่นกัน วางเก้าอี้ตัวหนึ่งที่แบกอยู่ข้างหลังเพื่อให้ท่านสี่นั่งลง จากนั้นหยิบหม้อต้มใบเล็กเตรียมก่อไฟต้มผักดองทั้งหมดทั้งมวลถูกกระทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เจ้านายกับคนใช้สองคนใช้ชีวิตอยู่ในนรกจนมีความสนิทสนมและรู้ใจกันเป็นอย่างดีมานานแล้ว
บางครั้งท่านสี่พลิกตัว ชุ่ยฮวาก็รู้ว่าท่านสี่อยากกินผักดองแล้ว ท่านสี่หาว ชุ่ยฮวาก็รู้ว่าท่านสี่อยากกินผักดองแล้วท่านสี่ถอนหายใจ ชุ่ยฮวาก็รู้ว่าท่านสี่อยากกินผักดองแล้ว จริงๆ แล้วท่านสี่กินผักดองจนเบื่อนานแล้ว แต่ก็ยังกินมันอยู่ทุกครั้ง
ไม่ใช่เพื่อรักษาน้ำใจของสาวใช้ที่อยู่ดูแลข้างกายตัวเอง แต่เป็นเพราะเขารู้สึกว่าทุกครั้งที่กินของที่ตัวเองไม่ชอบถือว่าเป็นการเตือนตัวเองอย่างหนึ่ง หลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองหยิ่งผยองมากเกินไป คล้ายกับคนที่เข้มงวดกับตัวเองมุมานะอยากลบคำสบประมาทของคนอื่น
หญิงชราเดินออกมา พร้อมกับมีผู้หญิงใส่ชุดกี่เพ้าตามมาข้างหลังเป็นขบวน แต่ตอนนี้ผู้หญิงใส่ชุดกี่เพ้าพวกนั้นราวกับเพิ่งล้างเครื่องสำอางออก ไม่สะสวยเช่นเดิม และไม่มีความอรชรอ้อนแอ้นของสตรีอีกแล้ว
“ท่านผู้ตรวจสอบ จับคนได้แล้วหรือยังเจ้าคะ” หญิงชราถามด้วยท่าทีเกรงใจมาก ท่านสี่ส่ายหน้า หญิงชราอ้าปากอยากจะถามอะไรอีก แต่กลับรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องถามต่อ จึงลังเลเล็กน้อยแล้วพูดตามตรงว่า “พวกเขาจะไปที่ทางเดินน้ำพุเหลือง พวกเขาคิดจะกลับไปโลกมนุษย์ ข้าสามารถไปตามจับพวกเขาได้ด้วยตัวเองเจ้าค่ะ”
“ไม่จำเป็นแล้ว” ท่านสี่ยกมือขึ้น
ทำไมหรือเจ้าคะ”
“เพราะเดี๋ยวเจ้าก็ตายแล้ว” ท่านสี่พูดอย่างเงียบสงบ หญิงชราจ้องมองนิ่ง วินาทีต่อมาผู้หญิงใส่ชุดกี่เพ้าที่อยู่ข้างหลังเธอรีบมาปรากฏตัวตรงหน้าเธออย่างรวดเร็ว คอยปกป้องเธอไว้
“ท่านผู้ตรวจสอบ กำลังล้อเล่นใช่ไหม” ถึงแม้จะถามแบบนี้ แต่คำพูดและการกระทำของหญิงชรากลับตรงข้ามกัน สั่งให้ผู้หญิงใส่ชุดกี่เพ้าโอบล้อมคอยปกป้องตัวเองทันที
“ไม่ได้พูดล้อเล่น ข้าพูดจริง”
“เจ้านายของข้าเป็นผู้พิพากษาแห่งยมโลกเชียวนะ!” หญิงชราพูดเสียงแหลม
“ตายไปตั้งเกือบร้อยปี น้ำชาถ้วยนี้เย็นชืดไปนานแล้ว” สายตาของท่านสี่เหลือบมองไปที่ซากปรักหักพังที่อยู่ด้านหลังของหญิงชรา แล้วพูดต่อ “ถ้าจะโทษ ก็ต้องโทษที่เจ้าเลือกให้ตัวเองยังอยู่ที่นี่ พื้นที่แถบนี้ ข้าต้องใช้ ข้าต้องการเวนคืน”
“ต่อไปข้าจะไม่มาเหยียบที่นี่อีก!”
“โถ ไม่ได้หรอก เวนคืนที่ดินหากไม่มีคนตายสักสองสามคน รู้สึกหมดสนุกไปหน่อย เหมือนกินข้าวแล้วไม่มีผักดอง” ขณะที่เขาพูด ชุ่ยฮวาที่อยู่ข้างกายเข้าใจทันที หยิบมีดหั่นผักขึ้นมาแล้วพุ่งเข้าหาหญิงชราโดยตรง
ชุ่ยฮวาต่อสู้ด้วยความจริงใจและเรียบง่ายเสมอมา ต่างจากตอนที่เธอไปโลกมนุษย์ ตอนที่เธอไปโลกมนุษย์ไม่ได้ตั้งใจใช้วิขายืมศพคืนชีพเป็นพิเศษ แต่มักจะสิงร่างของศพชั่วคราว ดังนั้นเธอจึงไม่ได้แสดงพลังของตัวเองออกมาทั้งหมดแต่เมื่ออยู่ในนรก เธอสามารถปล่อยพลังออกมาได้อย่างอิสระ
ผู้หญิงใส่ชุดกี่เพ้าเข้ามาขัดขวางชุ่ยฮวา แต่กลับขวางมีดหั่นผักของเธอไม่ได้ ดังนั้นผู้หญิงใส่ชุดกี่เพ้าแต่ละคนจึงโดนฟาดฟันจนร่างกายแหลกเหลว เนื้อเละ และยังมีแมลงพิษคลานออกมาจากร่างกายอีก เป็นภาพที่น่าสะอิดสะเอียนอยู่บ้าง
สาเหตุอาจเป็นเพราะโดนโจวเจ๋อดูดพลังชี่ไปเมื่อครู่ หรือไม่ก็มีดหั่นผักของชุ่ยฮวาคมเกินไป อย่างไรก็ตาม ผีผู้หญิงไร้หน้าเป็นเพียงแตงโมที่อยู่ตรงหน้าชุ่ยฮวา ทำได้เพียงรอให้เธอเฉือนอย่างเดียวเท่านั้น
หญิงชราสีหน้าเคร่งขรึม หยิบโคมไฟออกมาแล้วถูโคมไฟบนฝ่ามือไม่หยุด ไฟนรกรวมตัวกันทันที
ท่านสี่ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ แล้วมาปรากฏตัวข้างกายของหญิงชราในวินาทีต่อมา หญิงชราตกใจเป็นอย่างมาก รีบดึงไฟนรกออกมาทันที เธอคิดว่าต่อให้ต้องตายตกไปพร้อมกัน ก็จะต่อต้านสุดฤทธิ์
ทว่าท่านสี่เพียงแค่อ้าปาก ไฟนรกที่เพิ่งจะลอยออกมาจากโคมไฟก็ลอยเข้าไปในปากของเขาทั้งหมด เขารู้สึกคอแห้งเล็กน้อย อึดอัดหน้าอก ตอนนี้ท่านสี่คิดอยากกินผักดองขึ้นมาในทันใด จะได้ช่วยปรับความสมดุลพอดี
จากนั้นก็มีเงาดำปรากฏอยู่ด้านหลังของท่านสี่ ปีศาจเลือดตัวหนึ่งแผดเสียงคำรามออกมา จากนั้นพุ่งกระโจนเข้าหาหญิงชรา
หญิงชรายกโคมไฟขึ้นมาต่อสู้ แต่ปีศาจเลือดกลับทะลุผ่านโคมไฟเข้าสู่ร่างของหญิงชราโดยตรง ชั่วพริบตาเดียวพวกผู้หญิงใส่ชุดกี่เพ้าที่ชุ่ยฮวายังฆ่าไม่หมดกลับยืนนิ่งไม่ขยับ เหมือนของเล่นบังคับที่สูญเสียการควบคุม
ร่างกายของหญิงชราเริ่มแห้งเหือดช้าๆ ควันสีดำเริ่มลอยฟุ้งออกมาจากศีรษะของเธอแล้วไล่ลงไปอย่างต่อเนื่อง เหมือนกับหม้อต้มน้ำที่กำลังเดือดปุดๆ ไม่หยุด จนกระทั่ง…น้ำแห้งเหือด
‘ปัง!’ คนตายแล้วกลายเป็นผี ผีตายแล้วกลายเป็นความว่างเปล่า ร่างกายของหญิงชราระเบิดออกสลายกลายเป็นควัน เท่ากับถูกลบร่องรอยของการมีตัวตนออกไปอย่างสิ้นเชิง จากนั้นปีศาจเลือดก็สลายร่างกลับเข้าไปอยู่ในร่างของท่านสี่เช่นเดิม
พวกผู้หญิงใส่ชุดกี่เพ้าแต่ละคนยืนอยู่กับที่ และดูท่าแล้วคงไม่อาจขยับตัวได้อีกต่อไป กลายเป็นหุ่นที่ตั้งโชว์อยู่หน้าร้านเสื้อผ้าตามห้างสรรพสินค้าอย่างสิ้นเชิง
“ท่านสี่” ชุ่ยฮวายกเก้าอี้เข้ามาอีกครั้ง ท่านสี่ส่ายหน้า เริ่มเดินเล่นอยู่ในสถานที่รกร้าง ชุ่ยฮวาเก็บของเรียบร้อยแบกใส่หลัง แล้วเดินเล่นไปพร้อมกับท่านสี่
“นางสมควรตาย” ท่านสี่พูด
“เจ้าค่ะ ท่านสี่บอกว่านางสมควรตาย อย่างนั้นนางก็สมควรตายจริงๆ เจ้าค่ะ”
“เพราะว่านางมองเห็น”
“เจ้าค่ะ”
“แล้วก็ ต่อไปที่นี่จะเป็นที่ทิ้งขยะของหัวหน้า ต้องรักษาความสะอาดให้ดี”
“เจ้าค่ะ”
“ต่อจากนี้ไป รอให้เจ้าหมักผักดองเสร็จแล้วต้องมาดูแลที่นี่เป็นระยะ ถ้ามีเศษขยะก็จัดการให้เรียบร้อย”
“เจ้าค่ะ”
เจ้านายและคนใช้สองคนเดินเล่นในซากปรักหักพังต่อ เหมือนนักท่องเที่ยวที่กำลังเดินชมพระราชวังในโลกมนุษย์
“ท่านสี่ ถ้าหากครั้งหน้าข้าเจอลุงอันอีกต้องทำยังไงเจ้าคะ”
“ถ้าฆ่าเขาได้ ก็ฆ่าเขาเลย”
“เจ้าค่ะ”
“ถ้าหากฆ่าไม่ได้ ก็ต้องลองดู อาจจะฆ่าได้สำเร็จก็ได้”
“ท่านสี่พูดมีเหตุผลเจ้าค่ะ!” ชุ่ยฮวาทำสีหน้าเลื่อมใส
“อ้อใช่ ผู้ชายที่อยู่กับอันปู้ฉี่ เจ้าเคยเจอเขามาก่อนเหรอ”
“เจ้าค่ะ เล็บของเขาร้ายกาจมาก!”
“อ้อ อันปู้ฉี่บอกว่าเขาเป็นคนเก่งลึกลับ เป็นโอกาสของเขา” ท่านสี่พูดแล้วก็หัวเราะขึ้นมา “เขาน่าจะเจอคนที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษารุ่นก่อนจากที่ไหนสักแห่ง เขาคงคิดจะอาศัยโอกาสนี้กลับมาที่นรกอีกครั้ง”
“ท่านสี่ คนคนนั้น ชุ่ยฮวาสามารถรับประกันได้เลยว่าเขาทำไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”
เขาทำไม่ได้หรือ “หืม”
“เขาขี้เกียจมาก วันๆ เอาแต่นอนอาบแดดแล้วก็อ่านหนังสือพิมพ์”
“อ้อ”
“พอจะมองออกว่าลุงอันเอือมระอากับเขาไม่น้อย”
“เหอะๆ”
ท่านสี่โน้มตัว ชี้ไปที่ลำธารเล็กที่อยู่เบื้องหน้าซากปรักหักพัง แล้วเอ่ยว่า “ชุ่ยฮวา รู้หรือไม่ว่านั่นคือแม่น้ำอะไร”
“แม่น้ำหรือเจ้าคะ ท่านสี่ ชุ่ยฮวาเห็นแต่ลำธารเล็กๆ เจ้าค่ะ”
“ใช่แล้ว ลำธารเล็ก ในอดีตที่นั่นคือดวงตาของทะเลแห่งความตาย สุดท้ายทุกคนต่างแยกตัวกัน เจ้าเอาส่วนหนึ่ง ข้าเอาสามส่วน จากผืนน้ำที่กว้างใหญ่โดนแบ่งจนเหลือแค่ลำธารเล็กๆ เท่านั้น”
“ชุ่ยฮวาไม่เข้าใจ หมายถึงอะไรเจ้าคะ”
“ความหมายว่า ต่อให้อันปู้ฉี่อยากจะเกาะขาใคร แต่ก็ไร้ค่าในท้ายที่สุด เขากำลังหลอกตัวเองและผู้อื่นอยู่เท่านั้นเอง”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ต้องเป็นแบบนั้นแน่นอน”
“เขาในตอนนั้น ไร้เดียงสาเกินไป หลงชอบผู้หญิงคนนั้น ทำให้เขาจากที่มีความหวังจะได้เลื่อนขั้นเป็นผู้พิพากษาต้องตกต่ำแบบนี้ และดูจากตอนนี้แล้ว เขาก็ยังไร้เดียงสาเช่นเดิม เฮ้อ ไร้เดียงสาก็ดี”
ขณะที่พูด ท่านสี่กลั้นขำไม่อยู่ “ชุ่ยฮวาเอ๋อร์ เจ้ารู้ไหมว่าที่นี่เมื่อก่อนเป็นวังของใคร”
“ไม่รู้เจ้าค่ะ”
“เป็นวังของผีดิบที่ดุร้ายมากในอดีต ตอนนั้นคนผู้นั้นอาศัยอยู่ที่นี่ คอยปราบปรามทะเลแห่งความตาย ก่อนที่เขาจะดับสูญ ที่นี่เคยเป็นทะเลที่กว้างใหญ่สมบูรณ์มาก่อน หลังจากเขาตายแล้ว ที่นี่จึงกลายเป็นลำธารเล็ก”
“ฟังดูแล้วคงจะเก่งกาจมากนะเจ้าคะ”
“ใช่ จะพูดแบบนั้นก็ได้” ท่านสี่ยืนตัวตรง เท้าเหยียบเศษกระเบื้องที่อยู่ข้างๆ แล้วเอ่ยว่า “เขาอันปู้ฉี่ ถ้าอยากจะกลับบ้านเกิดก็ต้องเกาะบารมีของคนที่มีระดับคล้ายเจ้าของวังแห่งนี้เท่านั้น”
“ฮ่าๆๆๆ จะเป็นไปได้ยังไงเจ้าคะ ท่านสี่”
ท่านสี่ยื่นมือลูบศีรษะของชุ่ยฮวา แต่ชุ่ยฮวาตัวสูงไปหน่อย ท่านสี่ต้องเขย่งปลายเท้าจึงจะลูบถึง แต่ชุ่ยฮวารู้ใจจึงย่อตัวลงมา เพื่อให้ท่านสี่วางมือบนศีรษะของตัวเองได้สะดวก
ท่านสี่สบายใจแล้ว เขาลูบศีรษะขณะพูด “ใช่แล้ว จะเป็นไปได้ยังไง”
………………………………………………………………………..